Tor Thanapob Leeratanakajorn
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ต่อ ธนภพ: “ทุกวันนี้ผมพยายามทำทุกตัวละครออกมาเพื่อฆ่าไผ่”

สัมภาษณ์พิเศษนักแสดงหนุ่มถึงบทบาทใหม่ และการเติบโตในฐานะนักแสดงอย่างเต็มตัว

Sopida Rodsom
Top Koaysomboon
เขียนโดย
Sopida Rodsom
และ
Top Koaysomboon
การโฆษณา

เราแทบไม่ต้องแนะนำว่า ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร คือใคร

สี่ปีที่แล้ว ต่อ-ธนภพ คือ “ไผ่ ฮอร์โมนส์” แบดบอยหน้าหล่อจากซีรีส์วัยรุ่นที่ดังที่สุดในทศวรรษ ความดังของไผ่ ส่งให้นักแสดงหนุ่มโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงไทยมาเกือบ 4 ปี แต่ไม่ว่าจะผ่านการแสดงหลายบทบาท ทั้งในละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์จอใหญ่ และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงชายรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในความสามารถ ต่อ ก็ยังเป็น ไผ่ ในภาพจำของหลายคน

สี่ปีให้หลัง ต่อ-ธนภพ เปิดตัวครึ่งปีหลังของ พ.ศ. 2560 กับบท “พี่ยิม” วัยรุ่นออทิสติกผู้มีความสามารถในการเล่นกีฬาแบดมินตันเทียบขั้นอัจฉริยะที่ต่อสวมบทบาทได้ดีจนกวาดคำชมจากแทบจะทุกนักวิจารณ์ จนเราคิดว่าบทพี่ยิมนี่แหละ ที่อาจจะเป็นสปริงบอร์ดที่ช่วยส่งให้ ต่อ-ธนภพ ก้าวข้ามความเป็น “นักแสดงวัยรุ่น” และก้าวเข้าสู่ความเป็น “นักแสดง” จริงๆ ได้สักที

ครั้งแรกที่เห็นตัวเองในจอในบทบาท “พี่ยิม” รู้สึกอย่างไรบ้าง
ก็รู้สึกว่าว้าวมั้งครับ มีคำถามว่านี่ใช่เราจริงหรอ รู้สึกด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนแรกเลยว่ามันไม่ใช่เรา แต่ก็ไม่กล้าคอนเฟิร์มเพราะดูเข้าข้างตัวเอง ก็เลยดูฟีดแบ็กต่างๆ แล้วพบว่าจริงว่ะ คนเขาดูแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เราจริงๆ รู้สึกดีใจครับที่คนไม่เอาชื่อเสียงของผมมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความยากของนักแสดงคือพอมีชื่อเสียงปุ๊ป คนดูจะติดภาพบางอย่าง ไม่ว่าจะเล่นบทอะไร ก็เห็นเป็นเราอยู่แบบนั้น ทำให้เราไม่สามารถเข้าสู่คำว่า “นักแสดง” ได้สักที แต่สิ่งที่ผมต้องการคือการเป็นนักแสดงจริงๆ ซีรีส์เรื่องนี้ก็เลยตอบโจทย์ครับ

พูดได้ไหมว่าที่ต่อรับเล่นเรื่องนี้ ก็เพื่อจะออกจากการเป็นนักแสดงวัยรุ่น และก้าวสู่นักแสดงจริงๆ
ความจริงแล้วผมไม่ได้เลือกบทเองแต่เป็นการท้าทายจากพี่บอส (นฤเบศ กูโน) ผู้กำกับมากกว่า เหมือนเขารู้ว่าเราชอบทำอะไรที่เหนือกว่ากำลังตัวเอง ครั้งนี้เลยเหมือนมาตอบโจทย์มากกว่าว่าคุณจะทำมันได้หรือเปล่า เหมือนเวลานั่งเรียนอยู่ดีๆ แล้วครูก็บอกว่ามีสอบแบบไม่ตั้งตัว เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีบทนี้ จนบทเสร็จก็แบบ หืม...เอาจริง?

จากการทำการบ้านหลายเดือนก่อนเริ่มแสดงเราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับโรคออทิสติกบ้าง
ทั้งหมดเลยครับ ทั้งด้านกายภาพ จิตใจ ศักยภาพ อุปนิสัยเบื้องต้น แค่เบื้องต้นนะครับ เพราะอุปนิสัยเชิงลึกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พูดได้ว่าผมได้แก่นของออทิสติกว่าเราจะเป็นโรคนี้จริงๆ ได้อย่างไร ตอนเริ่มต้นเวลาผมทำบท ผมจะทำยังไงก็ได้ แต่เราต้องเข้าใจตัวละครนี้เพื่อเป็นเขาได้เต็มที่ แต่ผมพบว่าเข้าใจอย่างเดียวมันทำไม่ได้ เข้าใจนะ แต่พอเอาออกมาทำแล้วมันดูปลอม เลยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไม่อยาก “เข้าใจ” ละ อยาก “เป็น” ขอเป็นหน่อยสักครั้ง ลองเป็นมันทั้งแบบนี้แหละ แล้วเอามาผสมกับสิ่งที่รีเสิร์ชมา พอเริ่มได้แก่นปั๊ป โคตรสนุกเลย คือทำอะไรก็ได้ ไม่มีผิดหรอก อยากให้เล่นกับต้นไม้ก็เล่นได้ ผมเอาออกมาใช้จริงข้างนอกตลอดอยู่กับมันให้ชิน ทำให้เป็นธรรมชาติที่สอง ที่เราสวิตช์เปลี่ยนได้ตลอดเวลา

 

พอได้เรียนรู้แล้ว ต่อคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคออทิสติกมากที่สุด

คนไทยชอบเอาคำว่า “ออทิสติก” กับ “เอ๋อ” เอามารวมกัน ขนาดซีรีส์ออนแล้วก็ยังมีคนหลุดมาว่า “ทำไมเอ๋อจัง” ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าเราเอ๋อ เขาจะพูดว่าเราเล่นเหมือนออทิสติกจัง แต่เป็นการบิดของภาษาที่เขาเรียนรู้มาแบบนี้ เราเหมารวมว่าคนที่ไม่เหมือนพวกเราต้องเป็นคนเอ๋อทันที สิ่งที่ผมอยากเล่าผ่านซีรีส์นี้ก็คือเปิดใจหน่อย ผมอยากฉายความสวยงามของเด็กพิเศษว่าเขาสวยงาม มีมุมน่ารัก มุมที่ดี มุมที่บริสุทธิ์ เขาเก่ง เขาไม่ได้ไร้ความสามารถ เขาแค่เลือกเกิดไม่ได้ ไม่มีใครตั้งใจหรอก เด็กพวกนี้รู้ตัวนะว่าเขาเป็นอะไร และรู้ด้วยว่าคนมองเขายังไง ซึ่งยิ่งทำให้เขาแปลกเขาไปอีก เพราะเสียความมั่นใจ

รู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้แสดงเกินความเป็นจริง
อืมม เรื่องนี้ตอบไม่ได้ครับ เพราะว่าเรายังแยกไม่ออกเลยว่าเด็กแปดขวบทั้งโลกมีความรู้แค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าผมคือเด็กแปดขวบคนไหน สำหรับผมแสดงเกินไม่เกินไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือผมช่วยเด็กเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ ถ้าบอกว่าเกินจริง แต่ช่วยได้จริง ผมก็พร้อม ผมมาถึงจุดที่รู้จักคำว่า “ให้” ที่แท้จริงจากเรื่องนี้ คนเราเวลาให้แบบไม่หวังผลคือการอยากทำให้ดีที่สุดทั้งๆ ที่ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าเขาจะโอเคกับสิ่งที่เราเป็นไหม หรือโอเคกับเรามากแค่ไหน

 

แฮปปี้กับผลตอบรับไหม
แฮปปี้นะครับ ผมขอบคุณทุกคำขอบคุณเลยผมว่าสิ่งที่ success ที่สุดคือตอนที่ได้อ่านคอมเมนต์จากคุณแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติก เป็นการยอมรับของทุกคนที่ทำให้ตัวละคร success เพราะผมไม่เคยพูดว่าผมทำถูก และอย่างน้อยๆ ก็ขอขอบคุณเพจการแพทย์เพจนึงที่เขียนว่าไม่มีอะไรที่เขาอยากจะติถึงพี่ยิมเลย

บทแบบไหนที่จะ challenge เราได้อีก?
ไม่ว่าบทไหนก็ challenge ได้หมดถ้าเราละเอียด ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่า “ก็แหม บทออทิสติกมันมีอะไรให้เล่นเยอะนี่” แต่ผมจะบอกให้ว่าคนปกติมีอะไรให้เล่นเยอะกว่าอีก เพราะบทออทิสติกโดนบีบด้วยโรค ถ้าเราละเอียดกับบทจริงๆ ไม่ได้แค่อ่านตัวหนังสือ แต่ละบทโคตรจะมีเสน่ห์เลย เพราะมนุษย์ทุกคนมีเสน่ห์อยู่แล้วอย่างน้อยๆ คนละหนึ่งอย่าง แต่ถ้าเป็นตัวแสดง ทำสิบอย่างไปเลย นักแสดงเลยเป็นอาชีพที่เหมือนนักลงทุนนะ เพราะถ้าไม่ลองเลยจะไม่รู้ว่าทำได้ไหม ต้องลงไปทำ เจ๊งก็ต้องเอาใหม่ แต่ถ้า success ก็ win-win
        ผมไม่เคยทำให้ตัวละครตัวไหนแบนเลย ผมปล่อยไม่ได้ถึงแม้จะเห็นว่าบทมันแบน ล้มมาเยอะครับ แล้วก็เจ็บมาก็เยอะ เคยถอดใจก็ตั้งหลายครั้ง แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเราไม่ยอมแพ้ซะอย่าง มันก็ไปได้นะ ทุกคนต้องผ่านกำแพงหมด รู้สึกว่าเจอกำแพงที่เราข้ามไปไม่ได้ แต่จะยอมแพ้จริงๆ ป่าวล่ะ

ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองแสดงเก่งขึ้นหรือยัง
ไม่ได้รู้สึกว่าเก่งขึ้นครับ รู้สึกว่าโตขึ้นมากกว่า ได้เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างไม่มีคำว่าที่สุดหรอก เราทำได้ดีก็ได้ประสบการณ์เยอะหน่อย ถ้าทำไม่ดีก็ได้ประสบการณ์เยอะเหมือนกัน แต่เป็นประสบการณ์ที่เราควรเรียนรู้ ทุกอย่างให้เราหมด

อายุทำให้ความคิดเปลี่ยนไปหรือเปล่า?
เปลี่ยนครับ พอโตขึ้นผมชัดเจนว่าจะทำอะไร ความจริงคือถ้าผมรับทุกบทที่ผ่านมา ไม่ต้องทำอะไรเลยอ่ะ ความสำคัญอันดับหนึ่งของอาชีพนี้คือการแสดง เพราะถ้าไม่มีการแสดง อย่าหวังได้งานอื่น งานถ่ายแบบ อีเว้นต์พรีเซนเตอร์ ไม่ต้องเอาหรอกถ้ามันไม่ดีจริง ทุกคนก็อยากทำให้ตัวเองอยู่ในที่ดีๆ แต่ถ้ามันอยู่ในที่ดีๆ แต่ไม่มี quality ก็ไม่โอเคนะ เราต้องอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ห้ามคิดว่าตัวเองเก่ง เพราะคิดว่าตัวเองเก่งเมื่อไหร่ ก็จบเมื่อนั้นอ่ะ ตาย ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงไป เมื่อก่อนชอบมีคนพูดว่า “โอ้ย เด็กใหม่มันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยนะ ระวังเถอะ” แต่มีผู้ใหญ่ท่านนึงสอนผมว่า มันขึ้นเป็นเห็ดก็จริง แต่เป็นเห็ดเข็มทอง ถ้ามึงเป็นมึงจริงๆ ใครก็แทนไม่ได้ มึงต้องทำตัวเหมือนเห็ดหอม หัวเมิงต้องใหญ่ ต่อให้ [นักแสดงรุ่นใหม่] ขึ้นมาเขาก็แซงมึงไม่ได้ เหมือนพี่นักแสดงรุ่นเก๋าๆ เขาอยู่ได้จริง เพราะเขาเป็นยังงั้นจริงๆ เขามีพลังมาก เขาชัดเจน เขาเป็นคนแบบนี้ ไม่เปลี่ยน และไม่ต้องมาขอให้เปลี่ยนด้วย

เรียกตัวเองว่าเป็นนักแสดงอย่างเต็มปากเต็มคำตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตั้งแต่เริ่มครับ ผมกล้าพูดว่าไม่เคยใช้ชีวิตแบบดารา สิ่งที่ทำให้วันนี้คนของผมยังอยู่กับผม ก็เพราะผมไม่เคยเป็นดารา

แล้วมองความสำเร็จของอาชีพนักแสดงไว้ที่ไหน?
ไม่มีครับ อาชีพนี้ไม่มีคำว่าสำเร็จ เพราะบทไม่เคยหยุด แต่ผมเชื่อว่ามันมีจุดที่เราอิ่มตัวที่สุด ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ มันต้องมีสักบทที่เราขอฝังเก็บไว้ในความทรงจำว่านี่มันคือ legend ของเรา แล้วเราก็เดินหน้าต่อไป แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีนะครับ ทุกวันนี้ผมพยายามทำทุกตัวละครออกมาเพื่อฆ่าไผ่ ฆ่าในที่นี้หมายถึงฆ่าจากใจคนดูนะ ผมไม่เคยฆ่าไผ่ได้สักที เพราะความชัดของตัวละครมันหนักมาก แถมเป็นเรื่องแรกด้วย คนก็เลยติดภาพอีก จนวันนี้ผมแอบลุ้นเหมือนกันว่าพี่ยิมจะฆ่าไผ่ได้หรือเปล่า

ความสุขของต่อในฐานะนักแสดงคืออะไร
สิ่งแรกคือการได้รับความเชื่อใจในการได้รับบทใหม่ๆ ซึ่งยากมากในประเทศเรา พูดง่ายๆ คือสมัยผมเป็นไผ่ มีงานติดต่อผมเป็นสิบเลยนะ แต่บทเดียวกันเป๊ะ แล้วมันจะเป็นนักแสดงได้ยังไง เพราะนักแสดงคือบุคคลที่สวมบทเป็นใครก็ได้ เราจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง ด้วยความเชื่อใจไง ความเชื่อใจจากผู้กำกับและทีมงาน เราเคยเห็นไอ้ต่อเป็นสิ่งนี้ได้ แต่เราต้องฉีกไอ้ต่อว่ะ หาบทใหม่มา แล้วให้มันทำให้ได้ นี่สิคือความเชื่อใจ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เราด้วยที่ต้องแสดงให้เห็นว่าเราทำได้
        อีกเรื่องก็คือการทำลายความเชื่อ กำแพงสำหรับอาชีพนักแสดงคือคนมักเรียกเราว่าดารา สองอาชีพนี้คร่อมกันอยู่ เพราะดารามีภาพพจน์ แต่นักแสดงไม่มี การทำลายความเชื่อคือการทำลายภาพพจน์เหล่านั้น ทำลายเพื่อที่เราจะเอาศักยภาพออกมาแสดงให้ได้

#ต่อผู้มีอินสตราแกรมแล้ว

จาก #ต่อผู้ไม่มีอินสตาแกรม ตอนนี้ต่อเปิดไอจีแล้ว ได้เรียนรู้อะไรจากโซเชียลมีเดียบ้าง

ได้เรียนรู้ว่ายังมีคนอีกมากที่รอเราอยู่ ผมพูดแทนถึงคนที่อยู่ไกลๆ ทั้งคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ชาวต่างชาติ หรือคนต่างจังหวัด จำนวนเยอะมากที่เขารอมานานแล้ว พอได้มาเล่นจริงแล้วรู้สึกว่าสิ่งนี้มันคือเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ร่นระยะทาง เวลาผมโพสต์รูป มันเหมือนผมสามารถ touch ทุกคนได้ มันช่วยได้ถ้าเราใช้ในระดับที่โอเค 

 

A post shared by Thanapob_Lee (@thanapob_lee) on

Read more interviews

  • Music

เวลา 12 ปีในวงการเพลงไทย มีงานเพลงต่อเนื่อง แถมเพลงฮิตอีกเป็นกะตัก ไม่แปลกที่ แสตมป์ อภิวัชร์ จะเป็นหนึ่งในศิลปินที่เราคุ้นเคยกันดีกับมุกสุดฮา เพลงสนุกๆ ไปจนถึงเพลงรักเรียกน้ำตา ล่าสุดศิลปินหนุ่ทเซอร์ไพรซ์ซะเอาเราเกือบตกเก้าอี้ กับการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ล่าสุด STAMPSTH (Stamp Something) ที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่ในบ้านเรา โดยทุกเพลงในอัลบั้มเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา