จาก Van Gogh สู่ Monet & Friends และตอนนี้ก็เป็นคิวของ Leonardo da Vinci ที่เราจะได้ดูผลงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์ในรูปแบบนิทรรศการดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟในชื่อ Da Vinci Alive Bangkok ซึ่งถือเป็นการจัดแสดงผลงานของ Leonardo da Vinci ในรูปแบบ Immersive Exhibition ครั้งแรกในประเทศไทย และยังเป็นการจัดแสดงที่รวบรวมผลงานของเขาไว้ละเอียดครบถ้วนที่สุดในโลกโดยความร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี (Museo Leonardo da Vinci) ในกรุงโรม และผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจากอิตาลีและฝรั่งเศส นิทรรศการจะแบ่งพื้นที่จัดแสดงภายใต้ธีมต่างๆ มากกว่า 17 ธีม มีสิ่งประดิษฐ์จำลองที่เป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่มากกว่า 75 ชิ้นงาน รวมถึงผลงานอื่นๆ ของ Leonardo da Vinci กว่า 200 ชิ้น โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ The Genius of Creation – จัดแสดงชิ้นงานที่ถือเป็นไฮไลต์ของศิลปิน ได้แก่ ตำราโบราณโคเด็กซ์, การศึกษาเครื่องจักรกลการบิน, ไฮดรอลิกส์และเครื่องจักรทางน้ำ, วิศวกรรมทางการทหาร, The Vitruvian Man, เครื่องจักรกลโยธา, เครื่องดนตรี เลนส์ และเวลา, หลักการฟิสิกส์และกลศาสตร์, การตีความ Da Vinci Alive, ภาพเขียนเลโอนาร์โด ดา วินชี, The Last Supper, Anghiari Battle, ประติมากรรมรูปม้า และ Da Vinci Theatre ฯลฯ The Secrets of the Mona Lisa – โซนที่เปิดเผยความลับของภาพวาด Mona Lisa ผลงานศิลปะอันเลื่องชื่อของ Leonardo da Vinci ซึ่งเป็นข้อมูลจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์โดย Pascal Cotte วิศวกรเชิงวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์งานศิลปะชาวฝรั่งเศส ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลฝรั่งเศสและพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ให้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับภาพวาด Mona Lisa ในช่วงปลายปี 2004 เราจะได้เห็นการขยายและวิเคราะห์ภาพและอธิบายโดยละเอียดถึงความลับที่ทำให้ภาพสุดพิเศ
ไม่พบหน้าที่คุณกำลังค้นหาอยู่
เราได้ย้ายหน้าหรือไม่มีหน้าอยู่อีกต่อไปแล้ว เรามีผลลัพธ์ใกล้เคียงการค้นหาที่คุณอาจน่าสนใจ
Time Out ร่วมฉลองจิตวิญญาณของตัวตนและความรักที่หลากหลาย ผ่านภาพยนตร์ ซีรีส์ และสารคดี 30 เรื่อง ผ่านโปรเจ็กเล็กๆ ของเราที่ชื่อว่า Time Out Pride Cinema RECOMMENDED: ตัวละครจากหนังและซีรีส์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกแถบสีของความรัก
Time Out ได้คัดสรรโมเต็ลสำหรับคู่รักในวันวาเลนไทน์ ทั้งบรรยากาศดี แถมราคายังเป็นมิตรสุดๆ เพียงที่ละไม่ถึงพัน (หรืออาจจะเกินนิดๆ แต่รับรองว่าคุ้ม) และมีหลากหลายไตล์ ทั้งแบบห้องคาราโอเกะ ห้องอวกาศ ห้องเมืองนิวยอร์ค ห้องการ์ตูนและอื่นๆ อีกมากมายให้คุณได้เลือกในแบบที่ชอบ
เมืองไทยของเราก็มีเมนูตามฤดูกาล หรืออาหารที่จะกลับมาเพียงปีละครั้งเหมือนกัน และหนึ่งในนั้นก็คือ "ข้าวแช่" ของว่างคลายร้อนตามฉบับชาววัง โดยส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ จะมีขายเฉพาะช่วงฤดูร้อนในเดือนเมษายนเท่านั้น สำหรับวัยรุ่นที่อาจจะไม่คุ้นกับเมนูนี้ ข้าวแช่ เป็นอาหารไทยโบราณที่ปกติจะเสิร์ฟเฉพาะช่วงหน้าร้อน เดิมทีเป็นอาหารมอญที่ไทยรับธรรมเนียมมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้าวแช่ คือข้าวสวยที่แช่อยู่ในน้ำลอยดอกมะลิ เสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง เช่น ลูกกะปิ (กะปิปั้นเป็นก้อนกลมทอด) หอมแดงยัดไส้ (หอมแดงสอดไส้หมูฝอยทอด) หมูฝอย และอีกหลากหลายจาน ในอดีตข้าวแช่จะรับประทานกันเฉพาะในรั้วในวังและบ้านของชนชั้นสูงเท่านั้น ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะมันต้องใช้วัตถุดิบชั้นยอด ฝีมือการทำครัว และเวลาน่ะสิ แต่ในปัจจุบันข้าวแช่สามารถหากินได้ทั่วไปแล้ว เพราะหลายๆ ร้านอาหารก็มีสูตรตกทอด คิดค้นขึ้นมาเป็นของตัวเอง ทำให้ทุกคนสามารถตามลิ้มลองได้ง่ายขึ้น และสำหรับคนไหนที่ยังไม่เคยชิม หรือกำลังตามหาข้าวแช่ร้านที่ถูกใจ มาลองดูร้านอาหารที่เราหยิบมาแนะนำได้ด้านล่างได้เลย
ใครที่เคยติดใจไอศกรีมโยเกิร์ต Yolé ที่สิงคโปร์และมาเลเซีย ตอนนี้แบรนด์ไอศกรีมโยเกิร์ตชื่อสเปนสัญชาติเอเชียสีเขียวสดใสแบรนด์นี้มาถึงไทยแล้ว โดยเปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 7 (ข้างๆ After You) ไปหมาดๆ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Yolé เริ่มที่สิงคโปร์โดยนักธุรกิจชาวสเปน ขายดิบขายดีจากไอศกรีมโยเกิร์ต (frozen yoghurt หรือที่เรียกติดปากกันว่า froyo) ทำจากน้ำนมสด หวานธรรมชาติโดยไม่ต้องเติมน้ำตาล ให้แคลเลอรีต่ำ และมีท็อปปิ้งให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นซอสหลากชนิด (โกโก้, ถั่วพิสตาชิโอ, สตรอวเบอร์รีเชื่อมม ฯลฯ) และผลไม้หั่นเป็นชิ้นเล็ก Yolé นั้นมีสาขาอยู่ในหลายที่ทั่วโลก มากที่สุดคือที่สิงคโปร์บ้านเกิด กว่า 26 สาขา มาเลเซีย 18 สาขา อินโดนีเซีย 5 สาขา ส่วนในสเปนนั้น มี 6 สาขา ซึ่งรวมถึงที่ Ibiza เกาะปาร์ตี้ระดับโลก ทั้งนี้ ทางแบรนด์กำลังเปิดรับผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากในหลายประเทศ Yolé อาจจะทำให้หลายคนนึกถึงแบรนด์โฟรโยดังจากสเปนที่เคยมาเปิดอยู่พักนึงที่แพลตินัมอย่าง llaollao (ออกเสียงว่า yao yao) – เรื่องของเรื่องคือ ร้าน Yolé ในสิงคโปร์ก็เคยเป็น llaollao มาก่อนนี่แหละ แต่เมื่อผู้นำเข้าบอกเลิกสัญญากัน ก็เลยเปลี่ยนร้านทั้งหมดที่ตนดูแลเป็นโฟรโยแบรนด์ใหม่ Yolé ซึ่งแม้จะปรับสูตรและรสชาติ แต่ภาพรวมๆ ก็เลยจะคล้ายคลึงกันเพราะด้วยเหตุนี้ - ส่วน llao llao ที่เห็นที่สิงคโปร์ในปัจจุบันเป็นของผู้นำเข้าอีกเจ้าหนึ่ง ถึงจะเป็นลูกครึ่งสแปนิช-สิงคโปร์ แต่เราว่า Yolé ก็เป็นโฟรโยที่อร่อยเข้มข้นดี ถามไถ่ได้ความว่าใช้น้ำนมไทยคุณภาพระดับท็อป เพื่อความสดใหม่ ในขณะที่วัตถุดิบหลายอย่างนำเข้าจากสเปน ราคาในไทยเริ่มต้นที่ถ้วยเล็ก 109 บาท เพิ่ม 1 ท็อปปิ้ง 129 บาท และถ้วยกลาง 2 ท็อปปิ้ง 159 บาท และถ้าใครไม่กินนม ก็มีแบบ
หลายครั้งบาร์ในโรงแรมอาจจะเสิร์ฟค็อกเทลไม่ถูกใจนัก แต่ตอนนี้โรงแรมต่างๆ พยายามปรับปรุงในส่วนของบาร์ และหนึ่งในโรงแรงเหล่านั้นก็คือ Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park ที่เปิดตัว ABar พร้อมกับร้านอาหาร Akira Back โดยตัวบาร์จะแบ่งออกเป็นโซนบาร์แบบยุควิตอเรียนสุดหรูหรา และโซนรูฟท็อปบาร์ด้านบน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปใน ABar เราจะเห็นการตกแต่งสุดอลังการที่เน้นไม้สีเข้ม หินอ่อนสีดำ และทองเหลือง รวมไปถึงการจัดไฟที่ให้อารมณ์ดาร์กๆ ของบรรยากาศในยุควิคตอเรียนของอังกฤษ (ที่ดูเหมือนกับหลุดออกมาจากฉากในภาพยนตร์เรื่อง Fantastic Beasts and Where to Find Them) ส่วนของระเบียงด้านนอกก็ตกแต่งด้วยที่นั่งพร้อมวิวสวยๆ ของย่านสุขุมวิท ABar ออกแบบโดย Rojanat Chareonsri ที่เคยฝากฝีมือไว้กับ Nopa Kitchen + Bar ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี และร้าน Fillets ในกรุงเทพฯ ค็อกเทลของที่นี่เน้นหนักไปที่กลุ่ม dark spirits แบบพรีเมียม ดังนั้นที่ร้านจะมีทั้งวิสกี้ รัม และคอนยัค ในเมนูเครื่องดื่ม (ถึงแม้เราจะแอบเห็นบางตัวที่มีจินเป็นเบสด้วยก็ตาม) เริ่มด้วย Study in Stone มีเบสเป็นรัม Nusa Cana ผสมกับเชอร์รีครีม citrus oleo saccharum (น้ำมันเลม่อนหมัก) และเลม่อน (415 บาท) อีกแก้วคือ The Oxford ที่เป็นการตีความค็อกเทลคลาสสิคอย่าง Harvard ใหม่ โดยการใช้คอนยัค Martell VSOP ผสมกับไซรัปกระวานเทศ และบิตเตอร์ (435 บาท) ในขณะที่บาร์หลักมีความหรูหรา ส่วนรูฟท็อปของที่นี่จะให้ความรู้สึกสบายๆ ขึ้นมาหน่อย เพราะตกแต่งด้วยต้นไม้ ซึ่งบาร์ชั้นบนนี้จะแตกต่างจากชั้นล่าง เนื่องจากเน้นไปที่จินเป็นหลัก ซึ่งที่นี่มีจินถึง 55 ชนิด มิกโซโลจิสต์ Saimai Nantarat รับหน้าที่ควบคุมบาร์จินแห่งนี้ และสร้างสรรค์เครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Be Gin (375 บา
ในปี 2567 นี้ สยามพิวรรธน์ได้รับเกียรติจากแบรนด์ Louis Vuitton ให้บริหาร ‘Le Café Louis Vuitton คาเฟ่สุดหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุง ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้และสร้างกระแสความสนใจได้ในวงกว้าง นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดลักชูรีบูติกอีกกว่า 20 แบรนด์ ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม อีกทั้งคาดการณ์จะเปิดป๊อปอัปสโตร์และนิทรรศการอีกถึง 23 งานต่อเนื่องทั้งปี โดยเฉพาะที่ไอคอนสยาม เตรียมขยายพื้นที่ลักชูรีเพิ่มอีกเท่าตัวในปีนี้ พร้อมเผยโฉมร้านใหม่ในรูปแบบดูเพล็กซ์จากแบรนด์ดังซึ่งจะเป็นบูติกแห่งแรกของแบรนด์ในไทยเร็วๆ นี้ จะเป็นแบรนด์อะไรนั้น ต้องลุ้นกัน! Siam Piwat Siam Piwat Siam Piwat Siam Piwat การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เองที่ทำให้ทั้งสยามพารากอนและไอคอนสยามสามารถครองแชมป์ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกันสูงสุดในตลาดลักชูรีรีเทลของไทย และได้รับการพิจารณาให้เป็น ‘preferred choice’ จากบรรดาแบรนด์ดังต่างๆ ที่ต้องการเปิดสาขาแรกในไทย หรือขยายธุรกิจด้วยการสร้างแฟล็กชิปสโตร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง Siam Piwat Siam Piwat ในปี 2566 แบรนด์หรูระดับโลกได้เปิดลักชูรีบูติกแห่งใหม่ของตัวเอง ทั้งในสยามพารากอนและไอคอนสยาม มากถึง 35 แบรนด์ ในจำนวนนี้มีแบรนด์แฟชั่นมากมาย เช่น Loro Piana แบรนด์เรียบหรู quiet luxury จากอิตาลี ที่เลือกมาเปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทยที่สยามพารากอน รวมไปถึง Louis Vuitton และ Fendi ที่เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกในศูนย์การค้าแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีนาฬิกาแบรนด์ดังมากมายเข้าร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น Breitling, Chopard, Franck Muller, Gucci Watch, IWC, Jaeger Le Coultre, Panerai, Piaget, Rolex, Tag Heuer, Tudor, Vacheron Constantin และ Zenith ซึ่งเป็น
ร้านอาหารแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Louis Vuitton โดยเป็นการจับมือกับเซเลบร้ตี้เชฟดัง Gaggan Anand Gaggan at Louis Vuitton เปิดราคาที่ 4,000 บาท สำหรับมื้อกลางวัน 8 คอร์ส และ 8,000 บาท สำหรับมื้อค่ำ 17 คอร์ส สามารถเลือกจับคู่กับไวน์เพิ่มเติมได้ในราคาเริ่มต้น 3,500 บาท
หลังจากเป็นกระแสในโซเชียลมาพักนึงว่า Louis Vuitton จะมาเปิดที่ Gaysorn Amarin จริงไหม? สรุปก็คือจริง โดยจะมาในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่จะมีคาเฟ่และร้านอาหาร ความพิเศษคือจะเป็นร้านอาหารแบรนด์ Louis Vuitton แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นการจับมือกับเซเลบริตี้เชฟดัง Gaggan Anand ร้านอาหารที่ว่านี้จะชื่อว่า Gaggan at Louis Vuitton ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของ Gaysorn Amarin โดยจากข้อมูลบนเว็บไซต์ ร้านนี้จะเสิร์ฟเมนูที่ “สะท้อนการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และเชฟระดับโลก” ซึ่งโด่งดังจากการอาหารโปรเกรสซีฟที่เปลี่ยนภาพอาหารอินเดียเดิมๆ Gaggan at Louis Vuitton เปิดราคาที่ 4,000 บาท สำหรับมื้อกลางวัน 8 คอร์ส และ 8,000 บาท สำหรับมื้อค่ำ 17 คอร์ส สามารถเลือกจับคู่กับไวน์เพิ่มเติมได้ในราคาเริ่มต้น 3,500 บาท Gaggan at Louis VuittonGaggan at Louis Vuitton นอกจากนั้นร้าน Louis Vuitton ใหม่นี้ยังจะมีส่วนของคาเฟ่ ชื่อว่า Le Café Louis Vuitton โดยจะเป็นที่ที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถัดจากสิงคโปร์ที่จะเปิดในเดือนนี้ ส่วนราคาส่วนคาเฟ่นั้น เรายังไม่มีในตอนนี้ โดยทั้ง Le Café และ Gaggan at Louis Vuitton เริ่มเปิดรับจองแล้วตั้งแต่ตอนนี้ สำหรับเดือนมีนาคมเป็นต้นไป Louis Vuitton นั้นเปิดคาเฟ่และร้านอาหารแรกที่โอซาก้าในปี 2020 ในชื่อว่า Le Café V and Sugalabo V และเพิ่งจะเปิดร้านอาหารป๊อปอัปที่ St. Tropez ร่วมกับเชฟ Arnaud Donckele และเชฟ Maxime Frédé ไปเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้ว ส่วน Gaysorn Amarin ที่ปรับปรุงใหม่หมดหัวจรดเท้าจากศูนย์การค้าอมรินทร์พลาซ่า ก็น่าจะเปิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
ปล่อยให้คิดถึงอยู่นาน ล่าสุด Find the photo booth ก็กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งแล้ว พร้อมย้ายโลเคชั่นใหม่ไปอยู่บนถนนบรรทัดทอง และเพิ่งจัดงาน Grand Opening ไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนที่ผ่านมา Find the photo booth เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2018 และปิดตัวไปในช่วงล็อกดาวน์ปลายปี 2021 เป็นบาร์ที่ต่อยอดความสำเร็จของ Find the locker room (อันดับ 78 จาก Asia’s 50 Best Bars 2023) บาร์ลับหลังห้องล็อกเกอร์ย่านทองหล่อ โดยทีมผู้ก่อตั้งเดียวกัน ประกอบด้วย 5 บาร์เทนเดอร์สายแข็งของเอเชีย ได้แก่ 1. หนึ่ง - รณภร คณิวิชาภรณ์ (มหานิยม กรุงเทพฯ) 2. แจน - เจนญ์ณรงค์ ภูมิจิตร (มหานิยม กรุงเทพฯ) 3. Colin Chia (Nutmeg and Clove, Last Word สิงคโปร์) 4. Nick Wu (Bar Mood ไทเป) 5. Hidetsugu Ueno (Bar High Five โตเกียว) กลับมารอบนี้การันตีความปังด้วยทีมผู้ก่อตั้งเดิม แต่องค์ประกอบอื่นๆ ยกเครื่องใหม่หมด ตั้งแต่ที่ตั้งของร้านที่ย้ายจากซอยสุขุมวิท 11 ไปอยู่บนถนนบรรทัดทอง ทำเลทองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และยังอัปเกรดทางเข้าร้านจากที่เคยเป็นตู้ถ่ายรูปธรรมดาๆ ให้ดูเป็นร้านถ่ายรูปริมถนนร้านนึงไปเลย และจริงจังถึงขั้นที่ว่า เข้ามาถ่ายรูปกันได้จริงๆ มีพร็อปให้เสร็จสรรพ ส่วนการตกแต่งด้านในร้านยังเน้นโทนสีน้ำตาล ภาพรวมยังคงสวยและน่านั่งเหมือนเดิม มีพื้นที่ของวงดนตรีอยู่กลางร้าน มอบความบันเทิงได้ทั่วถึง มาที่เครื่องดื่ม เปิดตัวด้วยคอนเซ็ปต์ 7 Chords นำคลาสสิกค็อกเทล 7 แก้วที่เปรียบเสมือนคอร์ดดนตรี 7 คอร์ดมาทวิสต์เป็นซิกเนเจอร์ค็อกเทล 7 แก้วที่ตั้งชื่อเป็นคอร์ดดนตรี ถ้าอยากรู้ว่าแก้วไหนคาแร็กเตอร์เป็นยังไงให้ดูที่เครื่องหมายกุญแจเสียง (key signature) หรือ คีย์ ที่กำกับอยู่ ได้แก่ 7 จะเด่นเรื่องความเปรี้ยว, Flat เด่นที่รสช