[title]
ถ้าจะบอกว่าแบรนด์รถยนต์ GWM หรือ Great Wall Motor จากประเทศจีนที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยจะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ร้อนแรงที่สุด ณ นาทีนี้ก็คงไม่ผิด หลังจากเปิดตัวด้วยรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV รถยนต์เอสยูวียอดนิยมจาก HAVAL ไปเป็นรุ่นแรกไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดถึงคิวของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ดีไซน์น่ารักอย่าง ORA Good Cat ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองกว่า 4,296 คัน ภายใน 24 ชั่วโมงแรก ที่มีการเปิดจอง และยังคงมียอดจองสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564
การใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งในระบบ 100% หรือระบบ hybrid เป็นหัวใจของแบรนด์ GWM ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและใช้นวัตกรรมยานยนต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายคนที่ใส่ใจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียวอยากหันมาใช้รถยนต์ยี่ห้อนี้กันมากขึ้น
และเมื่อรถยนต์ล้ำขนาดนี้ โชว์รูมแฟลกชิปที่เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยามก็ล้ำไม่แพ้กัน ในชื่อ “GWM Experience Center” ที่จัดเต็มประสบการณ์ใหม่ที่จะทำให้ทุกคนอยากใช้เวลาทำความรู้จัก และอยากสัมผัสความน่าสนใจของรถยนต์ไฟฟ้าให้นานขึ้นกว่าเดิม — และวันนี้เราจะพาไปดู Experience Center ที่จะทำให้คุณลืมภาพของโชว์รูมรถยนต์แบบเดิมๆ นี้ก่อนใคร
GWM Experience Center ตั้งอยู่บนชั้น 3 และ 4 ของ ICONSIAM มีพื้นที่โดยรวมทั้งหมดประมาณ 1,600 ตารางเมตร ผสมการตกแต่งด้วยเส้นสายล้ำสมัยและรายละเอียดที่สะท้อนถึงธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไม้สีอ่อน หินขัดและสีเขียวจากต้นไม้ต่างๆ พร้อมแสงธรรมชาติที่ทำให้บรรยากาศดูพร้อมต้อนรับและชวนผ่อนคลาย สะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ที่ต้องการรวมให้เทคโนโลยีและธรรมชาติอยู่ร่วมกัน แบบที่ถ้าหากใครเดินผ่านไปมาอาจคิดว่าเป็นโชว์รูมรถยนต์ธรรมดาๆ หรืออาจคิดว่าเป็นเวิร์กกิ้งสเปซไปเลยก็ได้นะ เพราะด้านในแบ่งพื้นที่ได้ถึง 7 โซนด้วยกัน สำหรับทำกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์คนแทบทุกกลุ่ม ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่
เอาล่ะ หลายคนน่าจะอยากรู้กันแล้วว่าด้านในพื้นที่แห่งนี้จะมีความพิเศษแบบไหนให้ตามไปลองเปิดประสบการณ์ได้บ้าง เราจะพาทุกคนไปชมพร้อมๆ กันเดี๋ยวนี้เลย
ที่ทางเข้าบนชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้น 1 ของ Experience Center แห่งนี้คือส่วนของ Mobolity Experience Park หัวใจหลักของสเปซ ซึ่งคุณจะได้รับการต้อนรับด้วย LED Sphere ลูกโลก LED ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 1.8 เมตร ซึ่งจะฉายวิดีโอภาพที่สื่อถึงการอยู่ร่วมกันของธรรมชาติและเทคโนโลยีเพื่อการเดินทางอย่างยังยืนในอนาคตซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์ และเราว่าจะกลายเป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินที่ยอดฮิตในอนาคตแน่นอน
Mobolity Experience Park บริเวณชั้นล่างนี้เป็นพื้นที่จัดแสดงรถยนต์รุ่นล่าสุดของแบรนด์ GWM ซึ่งในปัจจุบันมีจำหน่าย 2 โมเดล คือ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ทั้งรุ่น Ultra และ รุ่น Pro อีกครั้ง ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังถูกพูดถึงจอดให้ชมคันจริง (ซึ่งน่ารักมาก!)
และตรงกลางจะเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ Amphitheatre เตรียมพร้อมไว้สำหรับการจัดกิจกรรมสนุกๆ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในอนาคต บริเวณนี้มีกิมมิกน่ารักๆ ตรงที่เราอาจจะเห็นว่ามีเก้าอี้ไม่กี่ตัว แต่ทุกตัวถูกออกแบบมาให้ถอดออกมาเป็น 3 ชิ้นได้ นั่นหมายถึงสามารถรองรับคนได้มากถึง 100 ที่นั่งเลย
ด้านขวาจะเป็นอีกโซนที่เรียกว่า Technology Lab ซึ่งมีไฮไลต์เป็นหน้าจอ LED ขนาดยาวถึง 14 เมตร ที่จะเล่าเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ตรงนี้พวกเราสามารถร่วมสนุกพร้อมกันได้สูงสุด 5 คน สามารถดูภาพรถยนต์ได้แบบ 360 องศา และทำความรู้จักฟีเจอร์พิเศษของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นได้ด้วย
ด้านในสุดคือ Conference Hall เป็นห้องประชุม 2 ห้องที่รองรับได้ 40 ที่นั่ง การจัดให้อยู่ด้านในสุดและใช้กระจกใสเต็มบานทำให้ทุกคนจะได้นั่งประชุมไปพร้อมมีวิวริมแม่น้ำให้ชมด้วย ความพิเศษของห้องประชุมที่นี่ก็คือ จอสมาร์ทบอร์ด (Smart Board) แบบอินเตอร์แอคทีฟทัชสกรีน มีขนาดเท่ากระดานไวท์บอร์ดจริงๆ หรือจะใช้เป็นจอโปรเจคเตอร์ ใช้ประชุมผ่านวิดีโอ conference ก็ได้อีกเช่นกัน แถมยังสามารถบันทึกไฟล์บนจอแล้วส่งเข้าแล็ปท็อป หรือสมาร์ทโฟนได้หลังจบการประชุมอีกด้วย
ถ้าหากใครเดินเข้ามาทางชั้น 4 ก็จะได้เจอ GWM Cafe & Co-Kitchen เป็นอันดับแรก ความน่าสนุกอยู่ตรง แก้วกาแฟของคุณจะเสิร์ฟบน ‘หน้าจออินเตอร์แอคทีฟ’ เมื่อบาริสต้าวางแก้วลงไปก็จะขึ้นไอค่อนให้เราเลือกรูปที่ต้องการ แล้วสัตว์หรือดอกไม้ต่างๆ ก็จะปรากฎขึ้นมาตามคำสั่งให้ทุกคนถ่ายภาพเคลื่อนไหวลงโซเชียลกันได้อย่างไม่เหมือนใคร และยังมีส่วนของ co-kitchen ที่จัดเตรียมไว้เพื่อการจัดกิจกรรมทำอาหารสนุกๆ แบบไม่เหมือนใคร
ส่วนตรงข้ามกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่มก็จะเป็นโซน Car Mapping ให้ทุกคนระบายสี ตกแต่งโมเดลรถยนต์ของ GWM กันได้อย่างสร้างสรรค์ แล้วสีต่างๆ ที่เราตกแต่งผ่านหน้าจอก็จะปรากฎอยู่บนรถยนต์ ตรงนี้เปิดให้ทุกคนมาอวดฝีมือการแต่งรถกันได้เต็มที่
เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเป็นโซนดิจิทัลอินเตอร์แอคทีฟ GWM Story กำแพงเล่าประวัติของแบรนด์ GWM ที่เราสามารถแตะเลือกภาษาและช่วงเวลาที่อยากอ่านประวัติได้ เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1984 ไปจนถึงการพัฒนาลวดลาย ขั้นตอนการผลิตรถยนต์ มุมนี้จะทำให้ทุกคนได้ทำความรู้จักแบรนด์กันมากขึ้นนั่นเอง
ส่วนด้านติดกระจกและนอกระเบียงของทั้งสองชั้นจะเป็นพื้นที่ของ Living Room และ Sky Garden ซึ่งเปิดให้ทุกคนสามารถมานั่งจิบกาแฟ ทำงาน จัดเวิร์กช็อป หรือนั่งพักผ่อนหลังจากเดินช็อปปิ้งก็ได้ แน่นอนว่าหากวันไหนอากาศดีๆ ก็อยากให้ทุกคนมาลองนั่งชิล ชมวิวแม่น้ำไปด้วยก็น่าจะดี
จุดนี้คงเป็นไฮไลต์ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องชอบ เพราะทั้งสองชั้นของ GWM Experience Center จะเชื่อมกันด้วยบันไดไม้ (ที่กระซิบว่าถ่ายรูปสวยมาก) และ สไลด์เดอร์ขนาดใหญ่ สูงเกือบ 7 เมตรและยาวถึง 15 เมตร ซึ่งสไลด์เดอร์นี้ก็ผ่านการออกแบบโดยทีมวิศกรของ GWM มาเป็นอย่างดี ถ้าหากใครสวมถุงรองนั่งอย่างถูกต้องแล้วสไลด์ลงมาล่ะก็ รับรองจะลงจอดตรงปลายทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มาถึงตรงนี้ทุกคนก็คงพอรู้แล้วว่า GWM Experience Center เป็นเหมือนศูนย์รวมเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์มากกว่าเป็นโชว์รูมรถทั่วไปๆ อีกทั้ง เปิดให้ทุกคนสามารถแวะมานั่งเล่น จัดอีเวนต์พิเศษๆ เป็นของตัวเองได้อย่างไม่จำกัดอีกด้วย ถ้าใครอยากรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า หรือแค่อยากแวะมานั่งเล่นดื่มกาแฟ ที่นี่ยัง Experience Center Specialist คอยดูแล ให้คำแนะนำ และช่วยจัดกิจกรรมในแต่ละโซน เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบประสบการณ์ที่ทั้งสนุกและได้ความรู้ให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างเต็มที่
แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า เครื่องดื่มของที่นี่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินนะ ทุกคนต้องสะสมคะแนนผ่านแอปพลิเคชั่น GWM แล้วนำคะแนนมาแลกเป็นเครื่องดื่มแทน ซึ่งคะแนนก็ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นโดย GWM Experience Center เป็นกิจกรรมสนุกๆ อย่างเช่น การจัดสวนขวด การตอบคำถาม หรือกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถติดตามได้ผ่านแอปพลิเคชั่น
GWM Experience Center เปิดให้บริการทุกวัน ตามเวลาของศูนย์การค้า ตั้งอยู่บนชั้น 3 และ 4 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม สามารถติดตามหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/GWMThai
