
หน้าหลัก Time Out Bangkok
เอดิชันภาษาไทยของมีเดียแพลตฟอร์มระดับโลกที่อัปเดตไลฟ์สไตล์คนเมืองมาตั้งแต่ปี 1968

Restaurants
Time Out ชวนผมมาแชร์ลิสต์คาเฟ่เปิดใหม่ที่ชอบที่สุด และระหว่างที่กำลังรวบรวมรายชื่ออยู่นั้น ผมก็ย้อนคิดไปถึงจุดเริ่มต้นตั้งแต่แรกเริ่มตลอดแปดปีที่ผ่านมา...

Things to do
อีเวนต์น่าสนใจในกรุงเทพฯ ตลอดเดือนสิงหาคมนี้
ก้าวเข้าสู่เดือนสิงหาอย่างเป็นทางการ พร้อมกิจกรรมหลากหลายที่รอให้ทุกคนได้ออกมาใช้เวลาด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตจากศิลปินหลายแนว...

Things to do
กิจกรรมน่าทำในกรุงเทพฯ สุดสัปดาห์นี้ (14 - 17 สิงหาคม)
ควันหลงวันแม่เพิ่งผ่านไป อย่าปล่อยให้วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ผ่านไปแบบเฉยๆ ออกไปสนุกกับกิจกรรมน่าทำที่พวกเรา Time Out คัดมาให้แล้วครบทุกสไตล์...

Travel
พาทัวร์ย่านประวัติศาสตร์ใจกลางมาเก๊า ร่วมย้อนยุคแบบสนุกไปกับสถาปัตยกรรมจีนผสานตะวันตก
การเดินชมย่านประวัติศาสตร์ในมาเก๊าไม่น่าเบื่อหรือมีแต่ศิลปะแบบจีนอย่างที่คิด เพราะรากทางวัฒนธรรมจีนและโปรตุเกสได้ฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั่วทั้งเมือง...

Art
พบกับ Taylor Srirat เจ้าของช่องพอดแคสต์ ‘House of TayTay’
ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้...
การโฆษณา
อีเวนต์และกิจกรรมน่าสนใจในกรุงเทพฯ
อัปเดตข่าวล่าสุดจาก Time Out กรุงเทพฯ

Things to do
เม่นวรรณกรรมเปิดตัวโปรเจกต์ เธอทำลาย, เธอกล่าว สำรวจมิติความสัมพันธ์ผู้หญิงผ่านผู้หญิง
จริงอยู่ที่งานวรรณกรรมดูเป็นอะไรที่เข้าถึงยาก และด้วยยุคสมัยนี้การไม่มีพื้นที่สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ไม่มีบรรณาธิการ ไม่มีสำนักพิมพ์ ยิ่งดูเป็นเรื่องยากเข้าไปอีก
แม้แต่งานรวมเรื่องสั้น คนที่อยู่ในวงการวรรณกรรมพูดเป็นเสียงเดียวว่าเป็นเรื่องท้าทาย แต่นิวัต พุทธประสาท เจ้าของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรมเชื่อว่านักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นได้ ถ้ามีเรื่องราวดีๆ ที่ไม่เคยเล่าที่ไหน ซึ่งประจวบกับ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา มีแพสชั่นด้วยเรื่องราวของนักเขียนหญิงใน ‘ยุคสมัยนี้’ และเป็นเรื่องราวสดใหม่ จึงเกิดเป็นโปรเจกต์ ทำลาย, เธอกล่าว และโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง เธอทำลาย, เธอกล่าว ขึ้น
โปรเจกต์เล่มแรกคือ ทำลาย, เธอกล่าว คือผลงานรวมเรื่องสั้น 11 เรื่องสั้น 10 นักเขียนหญิงรุ่นใหม่ที่เล่าเรื่องราวสังคมในยุคปัจจุบัน ผ่านการเล่าเรื่องของยุคสมัยที่กำลังมาถึง (ซึ่งมีเรื่องสั้น 1 เรื่องที่ไม่ปรากฏนามนักเขียน) โดยมีวิวัฒน์เป็นบรรณาธิการคัดสรรและดูแลเนื้อหา
Photograph: Porcupinebook
มาปีนี้ เม่นวรรณกรรมมีโปรเจกต์เล่มที่สองต่อจาก ทำลาย, เธอกล่าว ก็คือ เธอทำลาย, เธอกล่าว โดยนักเขียนหญิง 8 คนที่ขลุกในวงการวรรณกรรมและภาพยนตร์อย่าง จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท, ตินกานต์, พิราอร กรวีร์, Mind da hed, อุรุดา โควินท์, อินทิรา เจริญปุระ, ใหม่ ศุภรุจกิจ และพวงสร้อย อักษรสว่าง
ซึ่งยังมีวิวัฒน์เป็นผู้ริเริ่มโปรเจกต์และบรรณาธิการเช่นเคย เขาบอกถึงเนื้อหาเล่มนี้ว่าเป็นการสำรวจการทำลายล้างเพื่อสร้างสิ่งใหม่ ซึ่งมีน้ำเสียง (ของผู้หญิง) ที่ทั้งอ่อนโยนแต่เข้มแข็ง เกรี้ยวกราดแต่ปลอบประโลม แปลกประหลาดแต่สวยงาม ผ่านมุมมองอันลึกซึ้งของผู้หญิงถึงผู้หญิงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
Photograph: Porcupinebook
สำรวจมิติความสัมพันธ์หลากรูปแบบระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง
เธอทำลาย, เธอกล่าว หนังสือเล่มใหม่ของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม เป็นการกล่าวถึงการทำลายของเหล่าผู้หญิงที่จะสร้างความหมายใหม่ผ่านปลายปากกาของนักเขียนหญิงร่วมสมัย 8 คน ด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแตกต่างกัน แต่ภายใต้ความเรียบง่ายกลับมีแรงกระเพื่อมอันทรงพลังที่ทำลายภาพจำเดิมของพวกเธอทั้ง 8 ไม่ว่าจะในฐานะแม่ ศัตรู คู่รัก หรือคนแปลกหน้า พูดง่ายๆ ว่าเป็นการสำรวจมิติความสัมพันธ์หลากรูปแบบระหว่างหญิงกับหญิงผ่านมุมมองและความเข้าใจใหม่ๆ
Photograph: Porcupinebook
เธอทำลาย, เธอกล่าว โปรเจกต์สำคัญต่อจาก ทำลาย, เธอกล่าว
นิวัต พุทธประสาท เจ้าของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม บอกว่าเขาตื่นเต้นกับโปรเจกต์นี้ซึ่งเป็นโปรเจกต์ต้นตอจากวิวัฒน์ ว่าอยากรวบรวมเรื่องสั้นของนักเขียนหญิงต่อจาก ‘ทำลาย, เธอกล่าว’ ที่ตีพิมพ์ไปราว 5 ปีก่อนเพื่อสะท้อนถึงเสียงของ ‘ผู้หญิง’ อีกครั้ง
สำหรับ เธอทำลาย, เธอกล่าว คือโปรเจกต์หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรมที่รวบรวมผลงานจาก 8 นักเขียนหญิงไทยร่วมสมัย ได้แก่ จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท, ตินกานต์, พิราอร กรวีร์, Mind da hed, อุรุดา โควินท์, อินทิรา เจริญปุระ, ใหม่ ศุภรุจกิจ และพวงสร้อย อักษรสว่าง
นักเขียนทั้งหมดจะนำเสนอเรื่องเล่าผ่านโจทย์ ‘เสียงของผู้หญิงที่เขียนถึงผู้หญิงด้วยกันเอง’ ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ทับซ้อนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา หญิงสาวกับแม่ คู่รักหญิง-หญิง แม้แต่เรื่องราวของเพื่อนบ้าน โดยเปรียบได้กับการซุกซ่อนอารมณ์ที่พร้อมระเบิดออกมาราวกับการจิบซุปใสแล้วจึงพบรสชาติที่ซ่อนไว้
Photograph: Porcupinebook
ผ่านปลายปากกาของผู้หญิงในงานวรรณกรรมร่วมสมัยและภาพยนตร์
ไม่ว่าอย่างไร รวมเรื่องสั้นเล่ม เธอทำลาย, เธอกล่าว เนื้อหาจะครอบคลุมถึงการเล่าผ่านเสียงของผู้หญิงที่เขียนถึงผู้หญิงด้วยกันเอง ซึ่งบรรณาธิการคัดสรรนักเขียนที่นำเสนอเรื่องเล่าได้เก่งกาจ เฉียบคม และมองเห็นรายละเอียดอย่างที่คนอ่านบางคนนึกไม่ถึง
เพราะส่วนใหญ่ผู้เขียนจะคลุกคลีกับความสัมพันธ์เกี่ยวกับคนใกล้ชิด คนรัก การพบเจอ การสูญเสีย จากพราก และการมองเห็นความสัมพันธ์ในแง่มุมใหม่ นักเขียนบางคนเป็นมือรางวัลซีไรต์ บางคนคร่ำหวอดในวงการกรรณกรรมที่เขียนด้วยสำนวนสละสลวย (ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น) แม้กระทั่งบางคนควบทั้งนักเขียนและผู้กำกับที่มีการเล่าเรื่องผ่านเลนส์หลายเลนส์ หนังสือจึงเต็มไปด้วยความจริงเกี่ยวกับผู้หญิงผ่านเรื่องเล่าเสมือนจริง
อย่างเช่น ทราย-อินทิรา เจริญปุระ เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผู้หญิงทุกคนมีเรื่องเล่าอยู่ในคลัง แต่อาจจะเคยเล่ามากหรือน้อย ซึ่งในบางครั้งการแชร์ให้แม่ เพื่อน หรือคนใกล้ตัวฟังอาจจะไม่ได้รับการเข้าใจเสมอไป ตรงนี้เลยอาจจะโหดร้ายหรือเจ็บปวดสำหรับผู้หญิงบางคนเลยก็ได้ เพราะคนที่ Judge หรือถูกตัดสินแรงมากก็คือผู้หญิง และผู้หญิงมักเป็นฝ่ายผิดหวังง่ายเสมอ ซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงกับยุคสมัยนี้ที่สุด
ติดตามรายละเอียด เธอทำลาย, เธอกล่าว ได้ทางเพจ porcupinebook

Restaurants
กรุงเทพฯ เตรียมเปิดฟู้ดคอร์ทสไตล์สิงคโปร์แห่งแรกของไทย
กรุงเทพฯ ที่ไม่มีสตรีทฟู้ด ก็เหมือนส้มตำที่ขาดพริก คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะออกมาเป็นยังไง ถ้าอาหารขึ้นชื่อเมืองไทยหายไป ไม่ว่าจะเป็นหมูปิ้งควันคลุ้งจามริมฟุตบาท ไปจนถึงผัดกะเพราตามรถเข็น วัฒนธรรมการกินแบบวุ่นๆ แต่น่าหลงใหลล่าสุด กรุงเทพฯ กำลังจะยกระดับความวุ่นวายนี้ให้เป็นระเบียบมากขึ้น ด้วยการสร้าง Lumphini Hawker Centre หรือ ศูนย์อาหารที่รวบรวมร้านอาหารริมทางหรือแผงลอยไว้ในที่เดียว บนถนนราชดำริ ติดสวนลุมพินี คาดว่าจะเปิดต้นปี 2569 คอนเซ็ปต์คล้ายฮอว์กเกอร์ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ว่าได้ใส่กลิ่นอายแบบไทยๆ ที่รับรองว่ายังคงเผ็ดร้อนจนเหงื่อซึมเหมือนเดิม
ศูนย์นี้จะประกอบด้วย 176 ร้านอาหารแบ่งออกเป็น 2 เวลาได้แก่ รอบเช้าตี 5 ถึง 16.00 น. ซึ่งเหมาะกับสายวิ่งสวนลุมฯ และรอบเย็นบ่าย 4 ถึงเที่ยงคืนที่เหมาะกับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ทุกแผงได้พื้นที่ขนาดมาตรฐาน 2x2 เมตร พร้อมคุมราคาให้สบายกระเป๋าเหมือนเดิม แถมบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เคยถูกเคลียร์พื้นที่จากฟุตบาทแถวนี้ จะได้สิทธิ์เลือกทำเลก่อนใคร นั่นหมายความว่า ร้านโปรดของคุณอาจกลับมาในบ้านหลังใหม่ที่มีหลังคาคุ้มแดดฝนแล้ว
Photographer: Bangkok Metropolitan Administration
สำหรับคนกรุง นี่อาจหมายถึงการได้นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ก่อนเข้าออฟฟิศ หรือผัดไทยตอนเที่ยงคืนหลังเลิกงาน โดยไม่ต้องเสี่ยงหลบมอเตอร์ไซค์กลางถนน ส่วนฝั่งแม่ค้า พ่อค้า ก็ได้ที่ยืนถาวรไม่ต้องลุ้นทุกวันว่าจะถูกไล่หรือไม่ แต่คำถามคือการย้ายเข้าไปในฮอว์กเกอร์ฮอลล์แบบนี้ จะทำให้เสน่ห์ของสตรีทฟู้ดกรุงเทพฯ หายไปหรือเปล่า? เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร แต่เป็นเรื่องบรรยากาศที่เต็มไปด้วยควันโขมง เสียงเจ๊ขายส้มตำเจื้อยแจ้ว และความตื่นเต้นจากการเจอร้าน ‘เจ้าประจำ’ ที่ทำรสถูกปากแบบเป๊ะๆ
Photographer: 3days-away
แม้ว่าสิงคโปร์จะมีฮอว์กเกอร์เวิลด์คลาส จนได้ขึ้นทะเบียน UNESCO แต่หลายเสียงก็บอกว่ามนตร์เสน่ห์มันหายไป ส่วนปีนังยังคงเลือกใช้พื้นที่เปิดโล่ง ที่ยังให้ความรู้สึกถึงความเป็นสตรีทฟู๊ดจริงๆ ฮอว์กเกอร์ลุมพินีจึงเหมือนอยู่ระหว่างกึ่งกลาง ที่ทั้งมีความสะอาด มีพื้นที่เขียว และเป็นระบบระเบียบ แต่ยังคงแก่นแท้ของสตรีทฟู้ดไทย
โครงการนี้ไม่ได้ริเริ่มเพื่อยกระดับอาหารไทยเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบเมือง รวมทั้งต้นไม้ที่ต้องย้ายระหว่างก่อสร้าง ได้ถูกนำไปพักไว้ และจะถูกย้ายกลับเมื่อสร้างเสร็จ ตัวอาคารจะใช้ระบบระบายอากาศธรรมชาติแทนเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งหลังคายังเลือกสีเพื่อลดมลภาวะทางแสงด้วย
Photographer: Bangkok Metropolitan Administration
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผลักดันไอเดียย้ายแผงค้าเข้าสู่พื้นที่ที่จัดไว้ เหมือนโมเดลสิงคโปร์เป๊ะ ถ้าสำเร็จ เมืองหลวงของเราอาจได้โมเดลใหม่ที่คงเสน่ห์สตรีทฟู้ดไว้ได้ ที่ทั้งปลอดภัยและยั่งยืนขึ้น แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไรหรอก รถเข็นเจ้าเก่าที่คุณชอบยังคงไม่หายไปไหน จนกว่าจะถึงปี 2569 เราก็คงยังได้นั่งกินหมูปิ้งริมถนน พร้อมตั้งคำถามแบบชาวกรุงเทพฯ ว่า ‘เราจะจัดระเบียบให้กับสตรีทฟู้ตอย่างไร โดยไม่ทำให้ความขลังของกรุงเทพฯ หายไป’

Restaurants
พูดคุยกับ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์’ ผู้ผลักดันกฎหมายใหม่ว่าด้วยอนาคตสุราไทย
ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง ไม่ว่าจะเป็นการรวมญาติ งานมงคล หรือแม้แต่งานเลี้ยงเล็กๆ ระหว่างเพื่อนๆ ‘สุรา’ มักเป็นหนึ่งในสิ่งที่เพิ่มรสชาติและความรื่นรมย์ในกับงานต่างๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เครื่องดื่มเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ถูกตีกรอบไว้ด้วยกฎหมายและข้อห้ามนานัปการ
ตั้งแต่การผลิตที่ผู้ประกอบการรายเล็กแทบไม่มีที่ยืน การจำหน่ายที่มีข้อกำหนดเข้มงวด ไปจนถึงเวลาที่อนุญาตให้ซื้อขาย และในหลายๆ ครั้งทำให้วงการสุราไทยติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้เข้ามาสร้างสีสันในซีนนี้สักเท่าไหร่
ที่ผ่านมา เราจึงเห็นเพียงไม่กี่แบรนด์ใหญ่ที่ครองตลาดไทยมาอย่างยาวนาน ขณะที่ผู้ผลิตรายเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสุราคราฟต์หรือสุราท้องถิ่น ที่ต้องเจอกับข้อจำกัดมหาศาลในการเล่าเรื่องราวและการสร้างแบรนด์ของตัวเอง บางครั้ง การพูดถึงไวน์ไทยหรือคราฟต์เบียร์อาจดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้บริโภค แต่สำหรับผู้ผลิต มันคือการต่อสู้กับข้อกฎหมายที่มองไม่เห็นนานหลายปี
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวดีครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การปรับแก้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ลดข้อจำกัดในการสื่อสาร แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ผลิตรายเล็กได้มีสิทธิ์และเสียงมากขึ้น สามารถเล่าเรื่อง แบ่งปันตัวตน และเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และหนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ ผู้บริหารไร่องุ่น ‘GranMonte’ แบรนด์ไวน์ไทยที่เติบโตจากความพยายามของครอบครัว จนกลายเป็นชื่อที่นักดื่มไวน์ทั้งในและต่างประเทศให้การยอมรับ มีมี่ไม่เพียงแค่ดูแลธุรกิจครอบครัว แต่ยังลงแรงในเชิงนโยบายเพื่อผลักดันให้วงการสุราไทยมีพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่
วันนี้ Time Out ได้มีโอกาสนั่งคุยกับเธอถึงเรื่องราวเบื้องหลังการขับเคลื่อนกฎหมายใหม่ กับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมถึงวิสัยทัศน์ของเธอที่อยากเห็นวงการไวน์และสปิริตไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
จากงานอดิเรกของครอบครัว สู่ไวน์ไทยระดับประเทศ
Photographer: Granmonte Co., Ltd.
‘มีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ ทายาทรุ่นที่สองของ GranMonte ธุรกิจไวน์ไทย ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2542 ในไร่องุ่นเล็กๆ ของครอบครัวโลหิตนาวีที่เขาใหญ่ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเพียงงานอดิเรก กลับกลายเป็นก้าวแรกของการสร้างชื่อเสียงให้กับวงการไวน์ไทยในวันนี้
สองทศวรรษผ่านไป ภาพที่เคยเป็นเพียงความพยายามเล็กๆ กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในมุมของผู้บริโภคในยุคที่เปลี่ยนผ่าน คนไทยหลายคนต่างอยากลอง อยากดื่ม และที่สำคัญคือเริ่มเข้าใจไวน์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น ทางแบรนด์จึงต้องการท่ีจะสร้างภาพลักษณ์และตัวตนในฐานะ ผู้ผลิตไวน์ไทยแท้ 100%
‘การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดคือคนไทยยอมรับไวน์ท้องถิ่นแล้ว มันไม่ใช่ของแปลกอีกต่อไป’
มีมี่เน้นย้ำกับเรา ไม่เพียงแค่รสนิยมที่เปลี่ยนไปแต่แนวคิดของผู้บริโภคก็โตขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันคำว่า ‘ความยั่งยืน’ และ ‘การสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น’ ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้นในการบริโภคสินค้า เนื่องจากไวน์ของ GranMonte ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในเชิงการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ทางแบรนด์อยากเป็นตัวกลางในการสื่อสารและให้ความรู้แก่นักดื่มทุกคน เนื่องจากมองเห็นว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บทบาทของไวน์ไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยถูกมองว่าเป็นของหรูหราสำหรับโอกาสพิเศษกลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น
มีมี่อธิบายต่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการให้ความรู้และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกคน และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แน่นอนว่าจะทำให้ผู้ผลิตรายเล็กมีพื้นที่ในการเล่าเรื่องได้อย่างอิสระมากขึ้น
การฝ่าฟันด้านกฎหมายสุรา
Photographer: mamalovesphuket
มีมี่เล่าอย่างจริงจังว่า ก่อนปี 2563 ผู้ผลิตสุรารายเล็กในไทยต้องประกอบอาชีพที่ไม่สามารถเปิดเผยหรือพูดถึงสินค้าได้โดยตรง เพราะจะพูดมากไปก็เสี่ยงเดือดร้อน จะโพสต์ขวดไวน์หรือขวดสุราลงอินสตาแกรมก็ยังกลายเป็นเรื่องน่าหวาดเสียว ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ ดันใช้ช่องโหว่ในการทำการตลาดได้แบบเนียนๆ ผ่านแคมเปญ CSR หรือการเล่นกับแบรนด์ดิ้ง
จนกระทั่งมาถึงกระแสการปฏิรูปที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างจริงจังในปี 2564 ซึ่งนี่ไม่ถือเป็นการแข่งขันวิ่งในระยะสั้น แต่มันคือ ‘มาราธอน’ ที่เต็มไปด้วยการประชุม การถกเถียง และการแก้ร่างกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าที่สภาผู้แทนราษฎรจะไฟเขียวโหวตอนุมัติหลักการ ก่อนจะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาจนท้ายที่สุดลงมติผ่านมาจนได้
‘หลังจากทั้งหมดนั้น กฎหมายก็ผ่านทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา’
มีมี่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายที่จะเกิดขึ้นว่า หัวใจของการปฏิรูปคือการให้ เสียงแก่ผู้ผลิตรายเล็ก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มาตรา 32/1 จากเดิมที่เขียนว่า ‘ห้ามผู้ใดโฆษณา’ ซึ่งตีความคำว่าโฆษณาไม่ได้เลย แต่กฎหมายใหม่แยกเป็นหลายข้อย่อย ตั้งแต่ มาตรา 32/1 ที่กำหนดว่าผู้ประกอบการสามารถโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือให้ความรู้ได้ โดยต้องอยู่ในกรอบที่กฎหมายลูกกำหนด ไปจนถึง มาตรา 32/2 เป็นเรื่องของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีชื่อเสียงที่รับผลประโยชน์ทางการค้า ห้ามใช้ชื่อเสียงหรืออิทธิพลเพื่อชักชวนให้คนอื่นดื่ม ซึ่งเป็นการปิดช่องโหว่ที่บริษัทเคยใช้จ้าง อินฟลูฯ ให้ทำคอนเทนต์แนวชวนดื่ม ส่วนประชาชนทั่วไปหากโพสต์รูปดื่มหรือแสดงความชอบในช่องทางส่วนตัว ไม่ได้รับผลประโยชน์ทางการค้า อันนี้ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ อีกประเด็นคือ CSR และการสปอนเซอร์ก็มีความชัดเจนขึ้น ผู้ผลิตสามารถสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้ แต่ห้ามใช้โลโก้เพื่อการโฆษณาแฝง เช่น เป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลแล้วติดโลโก้เบียร์บนเสื้อ กฎหมายใหม่ห้ามชัดเจน เพราะถือว่าเป็นการโฆษณาแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้ห้าม CSR โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ต้องไม่ทำให้กลายเป็นการโปรโมตแบรนด์โดยตรง
‘ในที่สุด ผู้ผลิตรายเล็กก็สามารถพูดคุยกับผู้บริโภคได้โดยตรง โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป มันคือชัยชนะครั้งใหญ่จริงๆ’
และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของโพสต์บนอินสตาแกรมหรือแบนเนอร์โฆษณา แต่กฎหมายใหม่นี้มีผลกระทบกับทุกมิติของตลาดแอลกอฮอล์ สิ่งที่เปิดกว้างขึ้นคือ พื้นที่สำหรับการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตรายเล็กเฝ้ารอมาโดยตลอด
สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับร่างกฎหมายใหม่?
Photographer: tippsymarketplace
แล้วผู้บริโภคทั่วไปจะได้อะไร?
สำหรับคนทั่วไป กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนั้น แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ อย่างเช่นการโพสต์รูปไวน์ลงโซเชียล ตอนนี้ทำได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวที่เบื่อกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วง 14.00–17.00 น. หรือวันพระใหญ่ วันสำคัญทางศาสนา ก็จะได้เห็นความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงแรมและสถานที่ที่มีใบอนุญาตถูกต้อง
สำหรับผู้ผลิตรายเล็กกฎหมายใหม่ยังช่วยให้มีความชัดเจนเรื่องการขายอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การตรวจบัตรประชาชน หรือการปฏิเสธไม่ขายให้กับลูกค้าที่มีท่าทีเมาเกินพอดี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่กฎหมายข้อบังคับบนกระดาษ แต่มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ผู้ผลิตสามารถพูดกับสังคมได้ว่า ‘พวกเราขายอย่างมีความรับผิดชอบ และเราควบคุมสถานการณ์ได้’
‘กฎหมายนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเชิญชวนให้คนเมาหนักขึ้น แต่มันคือการเปิดโอกาสให้คนได้เลือกอย่างมีข้อมูล’
นักท่องเที่ยวเองก็จะได้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สร้างความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอินโรงแรมในค่ำคืนอันยาวนาน แล้วสามารถหยิบไวน์หรือเบียร์ท้องถิ่นจากล็อบบี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อห้ามที่ซับซ้อน หรือการเข้าร่วมงานเฟสติวัล เทศกาลท้องถิ่นที่มีผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาสนับสนุน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบ เงินทุนเหล่านี้ก็จะถูกนำไปช่วยขับเคลื่อนดนตรีสด เวิร์กช็อป และกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน แทนที่จะเป็นเพียงโลโก้ที่ปรากฏอยู่ตามมุมต่างๆ ของงานเพียงเท่านั้น
การเล่าเรื่องสำคัญมากกว่ายอดขาย
Photographer: Granmonte Co., Ltd.
สำหรับมีมี่ เธอมองว่านี่คือสิ่งที่สามารถช่วยผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยได้อีกรูปแบบหนึ่ง มีมี่บอกกับพวกเราว่า มันไม่ใช่แค่การดื่มไวน์ แต่มันคือการดื่มด่ำเรื่องราว และตอนนี้เรามีโอกาสในการพูดถึงมันแล้ว ซึ่งการดื่มไวน์มันไม่ใช่แค่การลิ้มรสชาติ แต่มันคือภูมิศาสตร์ เรื่องเล่า และความพยายามที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด และตอนนี้เราสามารถแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคนได้จริงๆ
การปฏิรูปกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะทางธุรกิจเท่านั้น แต่มันคือแรงผลักทางวัฒนธรรม ที่มีมี่เน้นย้ำกับเราว่าเธอไม่ได้ต้องการสร้างนักดื่มหน้าใหม่ เราต้องการให้คนหันมาดื่มอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่การดื่มในปริมาณมากขึ้น แต่เป็นการดื่มอย่างมีสุนทรียภาพ มีความสุขกับการได้เลือกสิ่งที่หลากหลาย
เป้าหมายของการออกกฎหมายใหม่ในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกระตุ้นให้คนออกมาดื่มเพิ่มขึ้น แต่มันคือการสร้างวัฒนธรรมการดื่มที่มีความรับผิดชอบ ผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่อยู่ในแก้ว รู้แหล่งที่มา และตระหนักถึงผลกระทบของมัน
ดื่มให้กับการเปลี่ยนแปลง
Photograph: Dua Lipa
กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตขนาดเล็กเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าของพวกเขาได้เฉิดฉาย ผู้บริโภคไม่ได้เพียงลิ้มรสเครื่องดื่ม แต่ยังได้สัมผัสเรื่องราว ความตั้งใจ และแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด
ร่างกฎหมายนี้เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ให้ซีนเครื่องดื่มของไทยเต็มไปด้วยความหลากหลาย สิ่งที่เราดื่มไม่ใช่แค่ไวน์หรือสุรา แต่คือเรื่องราว การสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมที่สามารถสื่อสารได้อย่างอิสระ เป็นสัญลักษณ์ของความกล้า การเปลี่ยนแปลง และโอกาสใหม่ๆ ที่ช่วยให้วงการเครื่องดื่มของไทยเติบโตควบคู่ไปกับผู้ดื่มที่เข้าใจและรับผิดชอบ
ส่วนกฎหมายลูกและข้อบังคับต่างๆ ที่จะตามมา ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะออกมาในรูปแบบใด มีรายละเอียดหรือเงื่อนไขอะไรให้ลุ้นกันอีกบ้าง รอติดตามไปพร้อมๆ กันได้เลย

Music
Yonlapa วงดนตรีอินดี้ป๊อปที่น่าจับตาที่สุดในปีนี้ กับเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงกลิ่นอายในกรุงเทพฯ
ไม่รู้ทำไม เวลาฟังเพลงวง Yonlapa ทีไร เหมือนโดนสะกดให้หลงอยู่ในวงกตกรุงเทพฯ สักแห่งทุกที
แม้จะเป็นวงดนตรีจากเชียงใหม่ แต่พวกเขาเป็นที่คุ้นเคยในกลุ่มวงดนตรีอินดี้ในกรุงเทพฯ เช่นล่าสุดที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Music Exchange 2025 จาก CEA และ THACCA ไปแสดงดนตรีในเทศกาลฟูจิร็อก (Fuji Rock Festival) ที่ญี่ปุ่น อาจพูดได้ว่าเป็นเทศกาลที่น่าจับตาที่สุดสำหรับ Yonlapa ตั้งแต่ก่อตั้งวงก็ว่าได้
Photograph: Yonlapa
Yonlapa หรือยลภา คือวงดนตรีอินดี้ป๊อปจากเชียงใหม่ที่รวมตัวกันเมื่อปี 2019 พวกเขาเคยสังกัดค่ายเพลง Minimal Records (หนึ่งในวงที่สังกัดค่ายนี้เช่น Solitude is Bliss) ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ที่มีสมาชิกคือ น้อยหน่า (ร้องนำ-กีตาร์) อานุภาพ (กีตาร์-คีย์บอร์ด) นาวิน (เบส) และชลันธร (กลอง) ซึ่งแนวดนตรีจะเป็นดรีมป๊อปและซูเกซ (แนวดนตรีลูกหม้อของอัลเทอร์เนทีฟร็อก) ด้วยท่วงท่าดนตรีที่ฟังเพลิน แต่ก็มีจังหวะหนักหน่วงแบบทีเล่นทีจริง
Photograph: Yonlapa
แต่ความเฉพาะตัวของวงคือไม่มีเนื้อเพลงภาษาไทยแม้แต่เพลงเดียว เหตุผลคืออะไรรู้ไหม คนแต่งเพลงหลักของวงอย่างน้อยหน่าบอกว่า เวลาที่เธอเล่นกีตาร์หรือแต่งเพลง เมโลดี้ไม่เคยเข้ากับภาษาไทยเลย (เพราะด้วยการใส่วรรณยุกต์) แต่หากเมโลดี้เป็นภาษาอังกฤษจะเข้ากับคอร์ดและลื่นไหลมากกว่า
Photograph: Yonlapa
ส่วนการแต่งเพลงก็ได้แรงบันดาลใจเวลาออกไปเดินเล่น ไปพบเจอผู้คน หรือมาจากวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกในใจอย่าง Flyleaf, Paramore และ No More Belts วงอินดี้ไทยยุค 2000 โดยรวมมีอารมณ์ของความรัก ความสัมพันธ์ ชีวิต และเรื่องราวที่เป็นตัวเอง และด้วยจังหวะดนตรีและน้ำเสียงของน้อยหน่าที่มีเอกลักษณ์ เมื่อฟังแล้วทำให้รู้สึกถึงรอบตัวที่หมุนช้าลง หรือรู้สึกได้ถึงความฟุ้งลอยแต่ไม่เพ้อฝันราวกับออกไปเดินเล่นสักที่ในกรุงเทพฯ
Photograph: Yonlapa
เราเลยหยิบ 8 เพลย์ลิสต์ของ Yonlapa ที่ฟังแล้วเหมือนการได้ซูมอินถึงบรรยากาศตามสวนลุม ศาลาแดง หัวลำโพง บางลำพู ท่าพระจันทร์ แม้แต่ย่านพร้อมพงษ์ที่ดูวุ่นวายจัดๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าเพลงของ Yonlapa กลับทำให้อะไรที่วุ่นวายรอบตัวโฟลว์ขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ นี่ไม่ได้ล้อเล่น
แม้แต่เพลงอย่าง Sweetest Cure ที่ผู้กำกับเต๋อ–นวพล ยังหยิบเพลงนี้ไปประกอบงานกำกับโฆษณาของ Central The 1 ที่ชื่อว่า Everything has a point อีกด้วย
1. Sunday Gloming
เนื้อเพลงของ Sunday Gloaming ฟังแล้วพาให้เรานึกถึงวันอาทิตย์บ่ายๆ เช่นมิวเซียมสยามหรือสถานที่ใกล้ๆ กันคือวัดโพธิ์ ที่อยากชวนเพื่อน-ใครสักคนออกไปสูดกลิ่นอายโลคัลบวกกับเดินเล่นรอบๆ พิพิธภัณฑ์หรือย่านวัฒนธรรม วัดวาอาราม ได้จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน
2. Let me go
เนื้อดนตรีแบบนี้ชวนให้เรานึกถึงย่านบางลำพู ถนนข้าวสาร เอามากๆ ที่กลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จักพาไปเจออะไรใหม่ๆ ซึ่งในย่านนี้ถ้าเดินเลาะตามซอกซอยก็มักจะเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง เช่น เจอโรงแรมลับๆ ร้านอาหารโลคัลเล็กๆ แม้แต่บาร์ที่ไม่ได้อยู่กระแสตั้งอยู่ประปรายพอควร เหมือนว่ากลุ่มเพื่อนเหล่านี้พาไปเปิดโลกปล่อยจอยชิลๆ
3. I’m just like that
แวบเดียวที่ฟังเพลงนี้ เราแทบอยากจะลุกออกไปเดินเล่นแถวศาลาแดงที่เคยเดินเมื่อหลายปีก่อน เพราะศาลาแดงเหมาะกับเดินทะลุซอยนั้นออกซอยนี้ได้ค่อนข้างง่าย เป็นย่านที่อยู่ใจกลางเมืองแต่รู้สึกถึงความเป็นชุมชนที่เข้าถึงง่าย มีร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ สถานที่อำนวยความสะดวก สำหรับเรา (ถ้าพูดให้เว่อร์หน่อย) ย่านศาลาแดงเดินริมถนนได้สบายๆ แต่ต้องเดินในช่วงที่มีแสงแดดพอประปรายจะดีมาก ประมาณว่า Something like a little sunshine ยังได้
4. Saltburn
รู้ๆ กันอยู่ว่าย่านพร้อมพงษ์คือย่านที่คึกคักมากเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าขึ้นชื่อว่าสุขุมวิท เราจะนึกถึงย่านหนึ่งที่ไม่เคยหลับใหลอย่างย่านพร้อมพงษ์จนถึงเอกมัยขึ้นมาเสมอ แต่เพลง Saltburn เหมือนทำมาเพื่อล้อย่านพร้อมพงษ์เอาจริงเอาจัง ย่านพร้อมพงษ์คือจุดรวมตัวของนักท่องเที่ยวนานาชาติ แหล่งที่พัก ย่านศูนย์การค้า บาร์ คาเฟ่ ร้านอาหาร สวนสาธารณะยังมี ด้วยดนตรี Saltburn ที่ฟังแล้วคึกคักจนตื่นตัวกับสิ่งรอบตัวได้ไม่น่าเบื่อเกินไป
5. Why Why Why
แม้เนื้อเพลงอาจดูหม่น แต่เอาเข้าจริง ฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงตอนเดินแถวหัวลำโพงช่วงค่ำ ยาวไปจนถึงย่านเยาวราชที่เต็มไปด้วยสตรีตฟู้ด บาร์ และพื้นที่ชวนให้ตั้งคำถามเอามากๆ ซึ่งเนื้อเพลงที่บอกว่า Why Why Why ก็เหมาะแล้วที่จะชวนให้ค้นหาร้านลับๆ หรือเจออะไรที่เซอร์ไพรส์ได้ตลอดแนวย่านหัวลำโพง-เยาวราชสุดๆ
6. I love to sleep more than you
จริงๆ แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงของวง Door Plant วงอินดี้ป๊อปไทยที่ฟีทเจอริ่งกับ Yonlapa เพลงนี้ฟังแล้วนึกถึงลานหญ้ากว้างๆ ที่สวนรถไฟที่แทบอยากจะปูเสื่อแล้วล้มลงนอนเล่น เสียบหูฟัง-ฟังเพลง อ่านหนังสือ จมไปกับไวบ์รอบๆ เพราะด้วยเนื้อเพลงที่บอกตายตัวอยู่แล้วว่า รักการนอนยิ่งกว่าสิ่งไหน สำหรับเราจึงไม่มีอะไรจะเหมาะมากไปกว่าฟังเพลงนี้ที่สวนรถไฟอีกแล้ว
7. Two Kites
เป็นอีกเพลงที่น้อยหน่าฟีทเจอริ่งกับ STUTS โปรดิวเซอร์สุดเท่จากญี่ปุ่น ถ้าได้ดูเอ็มวีอาจเห็นว่าเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกทัชราวกับเดินเล่นอยู่กลางป่าไม้เขียวขจีก็ได้ แต่เห็นว่ากลิ่นอายของเพลงนี้ทำให้เรานึกถึงเวลาได้เดินเล่นตามแนวรอบย่านท่าพระจันทร์ ท่ามหาราช ยาวเลยไปจนถึงสนามหลวงที่ชัดสุดๆ เลย
8. Sweetest Cure
Sweetest Cure คือเพลงที่เต๋อ-นวพล หยิบไปเป็นเพลงประกอบงานกำกับโฆษณา นั่นคือ Everything has a point (Central The 1) ซึ่งเป็นการกำกับโฆษณาที่มีนักแสดงอย่างแจน ใบบุญ นางแบบไทยที่ได้ขึ้นปก Voque ของเกาหลี และปริมมี่จาก Analog Squad ฯลฯ
ถึงแม้เพลงจะออกแนวผิดหวัง แต่เมื่อเพลงนี้เป็นเพลงประกอบงานกำกับโฆษณาของเต๋อแล้วกลับลงตัวเฉยเลย และเอกลักษณ์ของเนื้อเพลง ดนตรี รวมถึงท่วงท่าน้ำเสียงของน้อยหน่าทำให้รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ของคู่รักสักคู่ที่ชวนกันไปเดินเล่น-ถีบรถเป็ดที่สวนลุมฯ แต่อาจจบวันด้วยฟ้าฝนที่เทกระหน่ำไม่รู้อิโหน่อิเหน่จนต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง (ก็ได้)
ติดตามข่าวสารของ Yonlapa เพิ่มเติมได้ที่ IG: Yonlapa และ FB: Yonlapa

Things to do
นิทรรศการสนูปปี้สุดยิ่งใหญ่ มาเยือนกรุงเทพฯ แล้ว
จากการ์ตูนสั้นสี่ช่องสู่แอนิเมชันที่ครองใจผู้คนนับล้านทั่วโลก ‘Snoopy’ เจ้าหมาน้อยช่างฝัน ได้กลายมาเป็นน้องหมาบีเกิลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และตลอดเวลากว่า 7 ทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าหมาสีขาวและแก๊งเพื่อนของพวกเขาได้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนมาทุกเจเนอเรชัน และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เนื่องในปีนี้เป็นโอกาสที่พีนัทมีอายุครบรอบ 75 ปี ประเทศไทยของเราก็ไม่พลาดที่จะร่วมฉลองไปกับงาน How Do You Do, Snoopy? 75 Years: A Journey of Friendship Through Art
โดยงานนี้จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน - 7 ธันวาคม ยาวไปตลอดทั้งปี ณ River City Bangkok ที่จะถูกเนรมิตให้เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานสุดพิเศษของเจ้าสนูปปี้ ผ่าน 4 โซนนิทรรศการ โดยมีทั้งผลงานดั้งเดิมจาก 25 ศิลปิน และผลงานครีเอทีฟดีไซน์จาก 24 แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ นอกจากนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าที่รอให้เราได้ค้นพบมากกว่า 50 ชิ้น ตั้งแต่การ์ตูนสั้นสี่ช่องสุดคลาสสิก ไปจนถึงโมเมนต์สุดฮิตจากแอนิเมชันให้แฟนชาวไทยได้อินไปกับโลกของสนูปปี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพื่อเป็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ นิทรรศการในครั้งนี้ยังได้นำผลงานจาก 10 ศิลปินไทยมากความสามารถมาจัดแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็น 2Choey, Mackcha และ Munins ที่จะนำพาโลกของพีนัทมาถ่ายทอดผ่านผลงานสุดสนุกและเซอร์ไพรส์ ทั้งในรูปแบบภาพวาดและประติมากรรม
ต้องบอกเลยว่า งานนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้รับชมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะภายในงาน ยังมีกิจกรรมสุดพิเศษที่พร้อมมอบประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟอื่นๆ รอคุณอยู่อีกเพียบ ภายในงานแถลงข่าวล่าสุด ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ได้จัดเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยการเปิดตัว Mega Display บอลลูนเจ้าหมาสนูปปี้ขนาดยักษ์ ที่สร้างบรรยากาศความสนุกสนานให้กับผู้คนในงานเป็นอย่างมากพร้อมส่งสัญญาณกลายๆ ว่า ยังมีอะไรเด็ดๆ รอให้คุณมาค้นพบอีกเพียบ
ในปีนี้ ประเทศไทยมีโอกาสได้ต้อนรับนิทรรศการจากนานาชาติมาหลากหลาย ทั้งงานแอนิเมชันจากญี่ปุ่น และงานอาร์ตอินสตอลเลชันขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้งานครั้งนี้แตกต่างออกไปคือการเชื่อมโยงทั้งศิลปินไทยและต่างชาติให้มาร่วมตีความเรื่องราวของพีนัทในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ผู้ชมได้เห็น สนูปปี้, ชาร์ลี บราวน์ และแก๊งผองเพื่อนในรูปแบบที่แปลกใหม่และคาดไม่ถึง
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพูดถึงศิลปะ กรุงเทพฯ ก็ยังคงพิสูจน์ตัวเองต่อไปว่า พื้นที่แห่งนี้คือเมืองที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง

Attractions
รวมพิกัดตลาดน่าเดินในลอนดอน สายช็อปและสายชิลต้องไปสัมผัส
ใครเป็นสายรักการเดินตลาดต้องถูกใจสิ่งนี้ แต่ถ้าใครยังไม่เคย อยากให้ลองเปิดใจดู เพราะการเดินช็อปในตลาดมันเต็มไปด้วยความสุขแบบบอกไม่ถูก ยิ่งเวลาได้ซื้อของและนั่งภูมิใจกับสิ่งที่ซื้อมา แค่นี้การซื้อของก็กลายเป็นเรื่องสนุกแทนที่จะเป็นงานบ้านธรรมดาๆ ลองเดินชิลๆ ผ่านแผงชีสเกรดดี ผลไม้สด และเค้กโฮมเมดที่คนทำตั้งใจคัดมาให้แล้ว แทนที่จะเดินเข็นรถเข็นในซูเปอร์ หรือจะเสียเวลาหาของขวัญร้านเชนที่ใครๆ ก็มีทำไม ในเมื่อสามารถเดินเลือกเครื่องประดับแฮนเมดที่มีชิ้นเดียวในโลกได้!ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของตลาดในเมืองนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะมีให้เลือกเดินได้ตามความต้องการ ถ้าอยู่แถว London Bridge ก็ต้องแวะจิบชาสักแก้วที่ Borough Market ถ้าคิดถึง Paddington Bear ก็ต้องไป Portobello Road ส่วนใครอยากปรับสไตล์ ก็ลองเดินเล่น Broadway Market ท่ามกลางแฟชั่นนิสต้า หรือถ้าอยากลองอะไรใหม่ๆ ก็ต้องไป Camden Market หาของกินที่กำลังไวรัล ตลาดในลอนดอนเต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่น ไม่ว่าจะเลือกซื้อผักสดใหม่จากฟาร์ม ลองสไตล์ใหม่ๆ ลิ้มรสสตรีทฟู้ด หรือค้นหาแรร์ไอเท็มจากลังไม้เก่าๆ เงินทุกปอนด์ที่ใช้จ่ายก็ตรงถึงผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

Restaurants
รวมร้านอาหารในโฮจิมินห์ ลัดเลาะไปลิ้มรสอาหารเวียดนามดั้งเดิมและร้านฟิวชันหลากสัญชาติ
หลายเสียงจากนักท่องเที่ยวได้กล่าวว่าโฮจิมินห์เป็นฟู้ดคอร์ตขนาดยักษ์ ซึ่งเต็มไปด้วยตัวเลือกร้านอาหารที่หลากหลายในทุกมุมถนน เพราะนอกจากสตรีตฟู้ดและอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิมที่โดดเด่นอยู่แล้ว ที่นี่ยังมีอาหารสัญชาติอื่นที่รังสรรโดยเชฟผู้คร่ำหวอดในวงการอาหาร โดยมักซ่อนอยู่ในสถานที่ที่หลายคนอาจมองข้ามไป
ในฐานะที่ Time Out เป็นไกด์ประจำตัวของผู้อ่านทุกคน เราขออาสาพาทุกคนไปสำรวจร้านอาหารน่าสนใจในโฮจิมินห์ มีตั้งแต่อาหารเวียดนามที่คนท้องถิ่นทานกันทุกวัน อาหารฟิวชันดีกรีรางวัลมิชลิน อาหารทะเล มังสวิรัติ ไปจนถึงฝรั่งเศสและละตินอเมริกัน โดยสามารถลัดเลาะไปลิ้มรสได้ตั้งแต่เขตฝูหย่วน (Phu Nhuan) ในชานเมือง ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างเขต 1

Things to do
ออกไปเต้นกันเถอะ! ครั้งเดียวในรอบปีกับงานเต้นสวิงแดนซ์สุดคลาสสิกที่หัวลำโพง
Swing dance isn't just about steps — it's about feeling ประโยคนี้น่าจะบอกได้ครอบคลุมถึงคนที่ชอบและหลงใหลการเต้นสวิงแดนซ์ได้ดี นั่นก็เพราะการเต้นสวิงแดนซ์ได้รับความนิยมจากคนทุกเจนเนอเรชั่น
Photograph: Jelly Roll Jazz Club
ซึ่งเชื่อเถอะว่าเหล่าสวิงแดนซ์คงเนื้อเต้นแน่ๆ ครั้งนี้โรงเรียนสอนเต้นที่สร้างคอมมูนิตี้นักเต้นโดยเฉพาะอย่าง Jelly Roll Jazz Club จับมือกับ ททท. และ กทม. จัดงานเต้นสวิงแดนซ์ Amazing Thailand: Swing Dance Hualamphong ครั้งเดียวในรอบปี ด้วยการรวมตัวของนักเต้นมืออาชีพกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และเพิ่มบรรยากาศให้วงเต้นสนุกขึ้นไปอีกกับวงดนตรีแจ๊ซระดับแถวหน้า พร้อมเปิดฟลอร์ให้เต้นกันแบบสุดสวิงริงโก้ท่ามกลางพื้นที่สุดคลาสสิกอย่างสถานีรถไฟหัวลำโพง
Photograph: Jelly Roll Jazz Club
ภายในงานเหล่านักเต้นจะได้พบกับทีมนักเต้นท็อปฟอร์มระดับโลกจากสวีเดนที่หลายคนอาจคุ้นเคย รวมถึงนักเต้นระดับนานาชาติมาสร้างความสนุกให้ครั้งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของ Step into Swing ส่วนวงแจ๊ซมีทั้งยุโรป ญี่ปุ่น ไทย ไม่ว่าจะเป็นวง Carolina Reapers Swing จากฝรั่งเศส Clap Stomp Swingin’ จากญี่ปุ่น ส่วนวงไทยสุดเก๋า เช่น Yusu Jazz Band เป็นต้น
Photograph: Jelly Roll Jazz Club
หรือใครที่กังวลว่าถ้าเต้นไปแล้วกลัวตัวเองจะเก้ๆ กังๆ หรือเพิ่งมางานนี้ครั้งแรก อยากให้ลองเข้าคลาสสอนเต้นชื่อว่า Free Dance Class ซึ่งเหมาะสำหรับปูพื้นฐานการเต้นสวิงดูก่อน ที่จะสอนโดยครูเต้นมืออาชีพจาก Jelly Roll Jazz Club ที่เผลอๆ อาจได้เพื่อนใหม่ไม่รู้ตัว
Photograph: Jelly Roll Jazz Club
แล้วมาเปลี่ยนฟลอร์สวิงแดนซ์ให้กลายเป็นจุดเช็กอินคลาสสิกที่น่าจดจำ เจอกันวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคมนี้ เวลา 17.00 - 19.00 น. ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง (อย่าลืมแต่งกายวินเทจให้เข้ากับงานเพื่อเพิ่มความสนุกด้วยก็จะดี)
Photograph: Jelly Roll Jazz Club
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน คลิกที่ลิงก์นี้เลย: https://ticket.jellyrolljazzclub.com/hualampong2025
สอบถามเพิ่มเติมหรือติดตามรายละเอียดได้ที่ IG: @jellyrolljazzclub และ FB: Jelly Roll Jazz Club
Photograph: Jelly Roll Jazz Club

Things to do
กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Gen Z ในปี 2568
Time Out จัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดของชาว Gen Z เป็นครั้งแรก โดยอ้างอิงข้อมูลจากผลสำรวจ Best Cities ประจำปี และให้คนอายุต่ำกว่า 30 ปีจากทั่วโลกเป็นผู้โหวต ผลปรากฏว่า กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 ไปครอง ทั้งด้านการใช้ชีวิตที่น่าพึงพอใจ ค่าครองชีพที่เข้าถึงได้ง่าย และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนในชุมชน
นี่คือครั้งแรกของ Time Out กับการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดที่จะต้องเป็นที่จดจำว่าเมืองที่ดีต้องเป็นแบบไหน (เมืองนั้นคือกรุงเทพฯ ยังไงล่ะ) โดยให้กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปีร่วมกันโหวตจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่ม Gen Z ซึ่งใช้ชุดข้อมูลเดียวกับแบบทดสอบการสำรวจเมืองประจำปีที่ครอบคลุมที่สุด ด้วยการคัดเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเมืองที่พวกเขาอาศัย ซึ่งไม่เพียงแค่การใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังสนใจเรื่องเศรษฐกิจและสังคมด้วย
และเมืองที่คู่ควรกับการครองอันดับหนึ่งในปี 2568 จะเป็นที่ไหนไปได้ นอกจากกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความวุ่นวาย แต่ก็น่าหลงใหลไม่เบา
ชัยชนะครั้งนี้จึงส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเมือง ในขณะที่คนรุ่นก่อนอาจให้ความสำคัญกับความมั่นคงในอาชีพการงานหรือชีวิตที่เงียบสงบแถบชานเมือง แต่ Gen Z ไม่ใช่แบบนั้น เขาคือกลุ่มคนที่เติบโตในยุคดิจิทัลบนความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการเลือกที่จะทำงานอิสระเป็นอันดับหนึ่ง แต่บางครั้งกลับโหยหาบางสิ่งที่ต่างไปจากเดิม อย่างการแสวงหาประสบการณ์อันเปี่ยมไปด้วยพลัง การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนในชุมชนนั้นๆ มีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ในชีวิตการทำงาน และสำคัญที่สุดคือ การมีอิสรภาพทางการเงินเพื่อเพลิดเพลินกับสิ่งที่แสวงหามาทั้งหมด
อาจบอกได้ว่านี่คือที่สิ่งที่กรุงเทพฯ แสดงออกมาได้ชัดเจนที่สุด เพราะเมืองนี้ไม่ได้เป็นเพียงเมืองที่น่าพอใจสำหรับใครต่อใครเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่ครองอันดับหนึ่งสำหรับคนรุ่นนี้ไปแล้วด้วย
โดยจากผลการสำรวจ พบว่า 84% ของ Gen Z ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ล้วนมีความพึงพอใจกับชีวิตในเมืองนี้ และ 71% เห็นตรงกันว่า ค่าครองชีพเอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ทั้งยังเป็นเมืองที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ลงความเห็นว่ามองหาเพื่อนใหม่ได้ง่ายที่สุดในโลก
ปีนี้กรุงเทพฯ จึงเอาชนะเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ใน 5 อันดับต้นๆ ของโลกมาได้ เช่น เมลเบิร์น เคปทาวน์ นิวยอร์ก และโคเปนเฮเกน ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมืองที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องมีตัวเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ความมั่นคงทางการเงิน หรือการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะกรุงเทพฯ เลือกได้ทั้งสองอย่างพร้อมกันด้วยซ้ำ
สรุปผลการจัดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Gen Z ในปี 2568 ได้แก่
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย
เมลเบิร์น, ประเทศออสเตรเลีย
เคปทาวน์, ประเทศแอฟริกาใต้
นิวยอร์ก, ประเทศสหรัฐอเมริกา
โคเปนเฮเกน, ประเทศเดนมาร์ก
บาเซโลน่า, ประเทศสเปน
เอดินเบิร์ก, สหราชอาณาจักร
เม็กซิโกซิตี้, ประเทศเม็กซิโก
ลอนดอน, สหราชอาณาจักร
เซี่ยงไฮ้, ประเทศจีน

Things to do
รวมที่เที่ยวหนึ่งวันย่านตลาดน้อย กิน ดื่ม เที่ยว ช็อปปิง ครบจบได้ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน
ตลาดน้อย ถือเป็นหนึ่งในย่านเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไม่เคยหลับใหล เนื่องด้วยเป็นพื้นที่ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ความงดงามของชุมชน และสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี โดยในอดีตตลาดน้อยขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของชาวไทยเชื้อสายจีน และเป็นแหล่งค้าขายสำคัญมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
แต่ในปัจจุบันตลาดน้อยได้กลายเป็นแลนด์มาร์กยอดนิยมของคนยุคใหม่ ทั้งสตรีทอาร์ตที่กระจายอยู่แทบทุกมุม คาเฟ่สุดฮิปที่เราสามารถแวะจิบกาแฟคุณภาพได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ร้านอาหารเก่าแก่และสตรีทฟู้ดรสเลิศ นอกจากนี้ยังมีแหล่งช็อปปิ้งเสื้อผ้าวินเทจมือสอง ไปจนถึงคอมมูนิตี้สเปซที่ทุกคนสามารถมาใช้เวลาแฮงก์เอาท์กับเพื่อน หรือจะอยากนั่งชิลในบาร์บรรยากาศเท่ๆ ก็มีครบ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตลาดน้อยกลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่ใครๆ ก็อยากตามมาเช็กอิน วันนี้ Time Out ได้จัดลิสต์แลนด์มาร์กยอดนิยมเอาใจคนรุ่นใหม่ให้ได้สัมผัสครบทั้งรสชาติ กลิ่นอาย และเสน่ห์ของตลาดน้อยแบบครบจบในทริปเดียว จะมีอะไรให้จดลงลิสต์บ้างไปดูกัน!
การโฆษณา
เผื่อคุณจะพลาดสิ่งนี้ไป...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
พาแม่เดินชมสวนดอกไม้กว่า 1 ล้านดอก ที่งาน ‘The Mall Lifestore Women Inspired’
วันแม่ปีนี้ ถ้าใครที่ยังไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปไหน เราขอชวนทุกคนพาคุณแม่ไปชมมหัศจรรย์สวนดอกไม้กลางห้าง กับ ‘The Mall Lifestore Women Inspired’...

LGBTQ+
ได้รับการสนับสนุน
ดื่มด่ำไปกับความหลากหลาย
งานไพรด์ในประเทศไทยมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ใหม่ในการเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
ฉลองเทศกาลดนตรีระดับโลก! ที่ Bangkok World Music Day 2025 ที่ One Bangkok และ Alliance Française Bangkok 14 มิ.ย.นี้ ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะ “เทศกาลดนตรีกรุงเทพ ’68” (Bangkok World Music Day ’25) กำลังจะมาสร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกครั้งในวันที่...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
Pride Film Festival เฉลิมฉลองเดือนไพรด์ด้วยหนังคุณภาพ ที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนพิเศษสำหรับชุมชน LGBTQIA+ และ Kimpton Maa-Lai Bangkok ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเฉลิมฉลองด้วยการจัด Pride Film Festival ปีที่ 5 ขึ้นในวันที่ 13 -...

Travel
ได้รับการสนับสนุน
ยกระดับทริปเที่ยวมาเก๊า กับ 48 ชั่วโมงในโรงแรมสุดหรู THE KARL LAGERFELD MACAU
ทริปมาเก๊าครั้งนี้ เราได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมเดอะ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาเก๊า (THE KARL LAGERFELD MACAU) โรงแรมห้าดาวในเครือแกรนด์ ลิสบัว พาเลซ รีสอร์ต มาเก๊า...
รีวิวร้านอาหารและคาเฟ่ในกรุงเทพฯ

Restaurants
Gordon Ramsay Bread Street Kitchen & Bar ICONSIAM
หลายปีหลังจากกระแสความนิยมของรายการทำอาหารที่พุ่งสูงขึ้น เชฟหลายคนได้กลายเป็นขวัญใจของคนรักอาหารทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ เชฟกอร์ดอน แรมซีย์...

Restaurants
Tapori
เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสตรีตฟู้ดที่พ่วงมากับรถเข็น หรือตลาดที่มีผู้คนชุกชุม...

Restaurants
โสมะ
ตั้งแต่ร้านอาหารไทยได้รับรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะมิชลินไกด์ Thailand’s Favourite Restaurant หรือ The Worlds 50 Best Restaurants...

Restaurants
Olivetto
สาวกพาสต้าทั้งหลายคงคุ้นชินกับเบคอนในคาโบนารา หรือแซลมอนย่างในซอสเพสโต้ ราวกับเป็นสูตรสำเร็จของเมนูเส้นยอดนิยมจากอิตาลี...

Restaurants
Bisou
Bisou แกสโตรไวน์บาร์สไตล์ฝรั่งเศสเปิดใหม่ล่าสุด ย่านหลังสวน เสิร์ฟจริตปาริเซียงสุดเท่และเซ็กซี่...
บทสัมภาษณ์ล่าสุด

Art
พบกับ Taylor Srirat เจ้าของช่องพอดแคสต์ ‘House of TayTay’
ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้...

Restaurants
พูดคุยกับ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์’ ผู้ผลักดันกฎหมายใหม่ว่าด้วยอนาคตสุราไทย
ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง...

Movies
มาร์ค วีนส์ กับชีวิตที่ดำเนินด้วย “อาหาร” จากยูทูปเบอร์สู่รายการ Food Affair ทาง HBO
ด้วยจำนวนผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนในช่องยูทูป ถ้าเราจะเรียก มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ผู้นี้ว่าเป็นศาสนดาแห่งอาหารก็คงจะไม่เกินจริง...
รีวิวบาร์ในกรุงเทพฯ
Bars
Lost in Thaislation
ข้าวมันไก่ ผัดไทย หมูสับเกี้ยมบ๊วย ข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งหมดนี้คือชื่อเมนูค็อกเทลของร้าน Lost in Thaislation บาร์ใหม่ย่านทองหล่อโดย ‘ฝาเบียร์ - สุชาดา...
Bars
#FindTheLockerRoom
แม้จะเป็นที่รู้จักจากรางวัลการันตีคุณภาพมากมายทั้งที่มอบให้ร้านและบาร์เทนเดอร์แต่ก็ยังยืนหนึ่งเรื่องการเป็น ‘บาร์ลับ’ อยู่ดี สำหรับ...
Bars
Falcon Secret Bar
ตอนที่ร้าน Marie Guimar (มารี กีร์มาร์) ร้านอาหารไทยบนชั้น 28 ของโรงแรม Wyndham Bangkok Queen Convention Centre เปิดใหม่ๆ...
แนะนำโรงแรมทั่วกรุงเทพฯ

Travel
Kimpton Kitalay Samui
ใครอยากหนีไปพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็อยากเจอบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้รู้สึกได้มาพักผ่อน เราว่าอาจจะชอบรีสอร์ทแห่งใหม่ Kimpton Kitalay Samui (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย)...

Hotels
Capella Bangkok
โรงแรมคาเพลลา (Capella) แห่งแรกในประเทศไทยตั้งอยู่บนที่ดินผืนงามริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนเจริญกรุง ให้บริการห้องพัก ห้องสวีท และวิลลา 101 ห้อง...

Hotels
W Bangkok
ถ้าจะบอกว่า W Bangkok คือหนึ่งในโรงแรมหรูที่เท่ที่สุด คูลที่สุด ฮิปที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คงไม่ผิด ตั้งแต่สถานที่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ แยกสาทร...

Hotels
Sindhorn Kempinski Hotel
สินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนเขียวชอุ่มของสินธรวิลเลจ ใกล้กับโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok และห้าง Velaa เป็นโรงแรมเคมปินสกี้แห่งที่ 2...

Hotels
Kimpton Maa-Lai Bangkok
โรงแรมแห่งแรกจากแบรนด์ Kimpton ที่เข้ามาเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและการผสมผสานกันอย่างลงตัวของทุกองค์ประกอบ...
Quick Meal: ดูคลิปเมนูทำง่ายจากร้านดังทั่วกรุงเทพฯ

Restaurants
พล่ากุ้งอบวุ้นเส้น
Time Out: Quick Meal คลิปนี้ ชวนเชฟเรณู หอมสมบัติ จากร้าน Saffron โรงแรม Banyan Tree กรุงเทพฯ หนึ่งในร้านอาหารที่ร่วมฉลองครบรอบ 25 ปีเบียร์ช้าง ในงาน Time Out...


