Hands-on | Samsung Galaxy S9+ น่าซื้อจริงไหม?

Top Koaysomboon
เขียนโดย
Top Koaysomboon
การโฆษณา

เปิดตัวมาได้สักพัก สำหรับ Galaxy S9 และ Galaxy S9+ แฟลกชิปสมาร์ทโฟนสมาร์ทโฟนล่าสุดประจำปี ค.ศ. 2018 ของซัมซุง ที่ถึงแม้จะหน้าตาละม้ายคล้ายกับแฟลกชิปโฟนรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S8 และ S8+ แต่พี่เบิ้มเกาหลียืนยันว่าภายในจัดหนักจัดเต็มด้วยฟีเจอร์ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องคู่ (ในรุ่น S9+) ที่รับประกันว่าถ่ายภาพได้สวยมหัศจรรย์ในหลากหลายสถานการณ์ และฟังก์ชั่น AR Emoji ที่พร้อมเปลี่ยนตัวคุณเป็นตัวการ์ตูนคิ้วท์ๆ ไว้ส่งหาเพื่อน จนทำให้หลายคนกระเป๋าสตางค์ถึงกับสั่น แต่ด้วยราคาค่าตัวเหยียบสามหมื่นเรื่อยไปถึงสามหมื่นกว่าบาท หลายคนก็ยังตั้งคำถามว่า เจ้านวัตกรรมสัญชาติเกาหลีใหม่ล่าสุดรุ่นนี้ คุ้มค่าน่าสอยมาเป็นเจ้าของจริงไหม — Time Out เลยไปหาคำตอบมาให้ดังนี้ 

Note: รีวิวนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียน ผู้ใช้ท่านอื่นอาจมีประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป

จากการลองใช้ Galaxy S9+ รุ่นความจุ 64GB อยู่ราวสิบวัน เราพบอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ เริ่มที่เราพบว่าถึงแม้ในใบสเป็คจะบอกว่า S9+ ขนาดแตกต่างกับ S8+ นิดหน่อย แต่เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่างด้านขนาดมากขนาดนั้น รวมถึงฟินิชชิ่งที่เป็นกระจกกันรอยขีดข่วนก็ยังคงให้ฟีล "แพง" เวลาอยู่ในมือไม่ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ (ที่ไม่แน่ใจว่าอุปาทานหรือไม่) คือเรารู้สึกว่าบอดี้กระจกและหน้าจอของ S9+ หนาแน่นและฟีลแข็งแรงกว่า S8+ อยู่เล็กน้อยพอที่จะทำให้เรา (ซึ่งเป็นคนใช้โทรศัพท์ไม่ค่อยถนอม) ไม่ต้องระวังมากจนนอยด์ 

บอดี้ของ Galaxy S9+ ยังคงรูปทรงผอมยาวตามหน้าจอสัดส่วน 18:9 ที่มาแทนหน้าจอแบบ 16:9 และกำลังเป็นที่นิยมในมือถือรุ่นแพงๆ ในหลายยี่ห้อ โดยเขาว่าหน้าจอ 18:9 นี้จะทำให้เรารับชมความบันเทิงได้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับคุณภาพของหน้าจอแบบ Super AMOLED ขนาด 6.2 นิ้ว (6.2" Quad HD+ Super AMOLED (2960x1440) 529 ppi) ที่เราลองแล้วว่าดูซีรีส์ได้สีสดคมชัดจริงๆ ตามโฆษณา เสียงที่เขาว่าปรับโดย AKG ก็อลังการดังว่า แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี เรารู้สึกถึงความหงุดหงิดบางอย่างของหน้าจอที่เกือบจะเต็มเครื่องแบบนี้ ก็คืออุ้งมือเราจะเผลอไปโดนหน้าจอโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นหน้าจอ 18:9 ทำให้ตัวเครื่องมีรูปร่างยาว (เราเรียกว่าผอมสูง) เราที่เป็นคนพิมพ์บนมือถือด้วยมือสองข้างจะรู้สึกไม่ถนัด นิ้งโป้งเอาแต่จะเฉี่ยวชนกันตลอดเวลา แต่เท่าที่ถามๆ คนรอบข้างปัญหานี้น่าจะไม่เกิดกับคนที่พิมพ์ด้วยมือเดียว ซึ่งค่อนข้างจะชอบความผอมสูงนี้อยู่หลายคน 

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

Galaxy S9+ มีตัวเครื่องที่ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ซึ่งหมายถึงกันฝุ่นเล็กจิ๋วได้และทนน้ำสะอาดได้ที่ความลึก 1.5 เมตรเป็นเวลาไม่นานกว่าครึ่งชั่วโมง เรียกว่าเอาไปเล่นส่งกรานต์นิดๆ หน่อยๆ ได้ เราลองเปิดน้ำก็อกราดแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่แบบเปียกน้ำตลอดเวลาเล่นน้ำที่สีลมคงไม่ได้ ส่วนทะเลนี่ก็ไม่ได้เช่นกันนะ และสำหรับคนที่ชอบฟีเจอร์ Bixby ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวของซัมซุง (เหมือน Siri) เขาเพิ่มฟีเจอร์ใหม่กับเทคโนโลยี augmented reality ที่แค่เอากล้องไปส่องก็รู้ว่าสิ่งที่ส่องคืออะไร หาร้านอาหารรอบตัวได้ แถมยังแปลภาษาต่างชาติได้อย่างทันทีด้วยนะ แต่ส่วนตัวเราไม่ชอบ เลยไม่ได้ลองใช้ ฮ่าๆ

เจ้าระบบ Intelligent Scan สำหรับเปิดเครื่องโทรศัพท์นี่มีมาเยอะให้เลือกตามชอบ ตั้งแต่แพทเทิร์น รหัสเลข ลายนิ้วมือ สแกนหน้า และสแกนม่านตา จากการใช้เราชอบระบบลายนิ้วมือมากที่สุด เพราะแม่นยำ แถมการย้ายเซนเซอร์ลงมาข้างใต้กล้องยังทำให้สแกนง่ายขึ้นมากแถมไม่ต้องกลัวนิ้วไปโดนเลนส์กล้องให้ต้องคอยเช็ดเหมือน S8 และ Note 8 อีกแล้ว อันนี้ดีจริงๆ แบบอยากกอดคนออกแบบ ส่วนระบบสแกนหน้าก็ใช้งานได้ดี แต่ด้วยความที่เราเป็นใส่แว่นตลอด เลยให้จำหน้าตอนใส่แว่น ถ้าถอดแว่นนี่คือจบ อย่างตอนเช้าๆ เพิ่งตื่นนอนนี่คือไม่ดีเท็คหน้าอะไรใดๆ ในขณะพีเจอร์ม่านตานี่เลิกพูดกัน เพราะไม่สะดวกต้องคอยถอดแว่นใส่แว่น (ไม่นับว่าตาตี่มากอีกอย่าง)

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

อ่ะ มาถึงพระเอกของเจ้าตัวนี้ ก็คือกล้อง ที่ซัมซุงเขาโฆษณานักโฆษณาหนาว่าดี ซึ่งก็ดีจริงๆ นั่นแหละ Galaxy S9+ ที่เราได้ใช้เป็นรุ่นที่มีกล้องหน้า 1 กล้องขนาด 8 ล้าน pixel และกล้องหลัง 2 กล้องขนาด 12 ล้าน pixel (รุ่น S9 จะมีกล้องหลังกล้องเดียว) โดยเจ้ากล้องคู่ที่เรียกว่า Dual Camera นี้เขาว่าจะทำงานเหมือนม่านตามนุษย์ ที่จะปรับรูรับแสงตามความสว่างของสภาพแวดล้อม โดยจะปรับรูรับแสงอยู่ระหว่าง F1.5-F2.4 แล้วกล้องนึงก็จะไว้ถ่ายมุมกว้าง ส่วนกล้องนึงก็ไว้ถ่ายปกติ และยังมีฟังก์ชันอะไรอีกก็ไม่รู้เต็มไปหมดที่สรุปได้ว่า ถึงจะใช้โหมดออโต้ (อย่างเรา) ก็ถ่ายภาพได้สวยแม้ในที่แสงน้อย คือต้องยอมรับก่อนว่าก็จะไม่ได้ดีเหมือนกล้องใหญ่ แต่คุณแค่เก็บความทรงจำไว้ไม่ได้เอาไปลงตีพิมพ์นิตยสารอะไร ดังนั้นเราว่ามันโอเคมากๆ เลยล่ะ อ่ะแต่ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นกล้องอยุ่สักนิดคุณน่าจะชอบโหมด Pro ที่ปรับโน่นนี่ได้สารพัด (ซึ่งเราทำไม่เป็น) แถมยังถ่ายไฟล์ raw เอาไปแต่งต่อในคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วยนะ ส่วนเรื่องหน้าชัดหลังเบลอ live focus โหมดอะไรนั้น เราซึ่งทำงานนิตยสารและอยู่กับภาพถ่ายจะรู้สึกว่ามันปลอม (คือไม่ใช่แค่ของซัมซุงที่ปลอมนะ ของไอโฟนก็ปลอม) และสู้กล้องจริงๆ ไม่ได้ แต่ถ้าถ่ายขำๆ ลงโซเชียลก็ได้อยู่

เจ้ากล้องมหัศจรรย์ของ S9+ ยังถ่าย super slow motion video ระดับ 960 เฟรมต่อวินาทีไดด้วยนะ ช้าแบบเห็นหยดน้ำหลุดออกจากผมเวลาสะบัดเลยล่ะ แต่เราคิดว่ามัน slow ไปนิดนึง เวลาใช้ไม่ต้องปรับถึงขึ้นสุดจะดีกว่า ส่วนกล้องหน้าก็สวยงามตามประสา ฟังก์ชันที่มาด้วยและน่าตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็น AR Imoji หรือการสร้างตัวการ์ตูน gif ของตัวคุณเอง ซึ่งทำง่ายๆ ด้วยการถ่าย selfie แล้วทำตามขึ้นตอน เลือกผม สีผิว ชุด แล้วเครื่องจะสร้างไฟล์ gif รูปตัวการ์ตูนหน้าคนนั้นให้ทีเดียวถึง 18 รูป เอาไว้ส่งขำๆ ให้เพื่อน  

สรุป ถ้าคุณถามเราว่า Galaxy S9+ น่าซื้อจริงไหม คำตอบคือจริง... ถ้าคุณไม่ได้กำลังใช้ Galaxzy S8+ หรือแฟลกชิปโฟนของยี่ห้อใดห้อหนึ่งที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ เพราะส่วนตัวเราคิดว่าความสามารถของ S9 ไม่ได้แตกต่างมากจนถึงกับน่าลงทุนซื้อเครื่องใหม่ ฟังก์ชัน AR Emoji ก็สามารถสร้างได้โดยที่ไม่จำเป็นเจ้าของเครื่อง และเล่นครั้งสองครั้งก็เบื่อ ...เว้นเสียแต่คุณกำลังมองหาโทรศัพท์ใหม่ที่กล้องดีมากเดี๋ยวนี้ตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นเราว่าสอยเถอะ ตอนนี้ Samsung Galaxy S9+ ราคาเริ่มต้นที่ 31,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64 GB แต่ให้เช็คโปรฯ จากค่ายโทรศัพท์กันก่อน เพราะออกโปรฯ มาให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว เลือกดีๆ ก่อนตัดสินใจซื้อกันนะครับ 

สำหรับคนที่อยากดูว่ารูปที่ถ่ายจาก Galaxy S9+ เป็นอย่างไร เลื่อนดูได้ข้างล่างนี้เลย (รูปทั้งหมดด้านล่างนี้ยังไม่ได้ผ่านการปรับแต่งใดๆ สดๆ จากมือถือเลยนะ)

แชร์เนื้อหา

บทความล่าสุด

    การโฆษณา