[title]
ในช่วงหลัง ศิลปะร่วมสมัยเริ่มเข้ามาตั้งหลักเป็นจุดยืนเพื่อให้เห็นถึงบทบาทอีกด้านหนึ่งของแขนงงานศิลปะดั้งเดิมมากขึ้น ทำให้ผู้ชมตื่นตาและรู้สึกถึงการเปิดโลกกว้างมากไปกว่าเดิม
อย่างเช่นการแสดง มาลีบูชา (Mali Bucha: Dance Offering) คือการแสดง ‘รำแก้บน’ ผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เทคโนโลยีเสมือนจริง (VR) และการรำไทย (หรือการเต้น) เข้าด้วยกัน ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นการแสดงสดแบบไฮบริด เพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ของการรำแก้บนดั้งเดิมอย่างที่เคยเห็น

เพราะถ้าพูดกันตรงๆ การรำแก้บนคือการรำนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่เรียกได้ว่าเป็นการเต้นของสามัญชน (People’s Dance) ที่หลอมรวมจิตใจ ความหวัง ความปรารถนาอยู่บนความเชื่อของคนในยุคก่อน
การแสดงมาลีบูชาครั้งล่าสุด ที่นำแสดงโดย กรกาญจน์ รุ่งสว่าง เป็นศิลปินที่สังกัดภายใต้คณะนักเต้นร่วมสมัยอิสระคือ Pichet Klunchun Dance Company องค์กรที่ก่อตั้งโดยศิลปินศิลปาธรเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในสังคม การถ่ายทอดงานศิลปะร่วมสมัยที่มีอัตลักษณ์ หรือการสร้าง ‘สิ่งใหม่’ ทางศิลปวัฒนธรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

อะไรคือ Mali Bucha: Dance Offering
Mali Bucha มาจากภาษาสันสกฤตที่ใช้ในภาษาไทย แปลว่าหญิงผู้แสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ตามความเชื่อส่วนตัว) ส่วน Dance Offering หรือภาษาไทยเรียกว่า รำแก้บน คือการร่ายรำเพื่อแสดงความกตัญญูหรือเพื่อแก้บนตามคำสัญญา เมื่อนำสองความหมายมารวมกัน จึงสื่อถึงผู้หญิงที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านการร่ายรำ
แต่ความแตกต่างคือ Mali Bucha เป็นโปรเจกต์ศิลปะที่นำรากเหง้าของประเพณีไทยมาเล่าเรื่องในแบบที่ใครๆ เข้าถึงได้ งานนี้ชวนมองว่าความเชื่อและจิตวิญญาณของคนเราจะเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไรในยุคที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อชีวิตเสมือนเป็นปัจจัยที่ห้า
รากเหง้าที่ว่ามาจากรำแก้บน ซึ่งเป็นพิธีเก่าแก่กว่า 400 ปีที่เชื่อกันว่าเป็นการ ‘สื่อสาร’ โดยตรงต่อ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ แต่งานครั้งนี้ขยายความหมายเพื่อกลับไปสำรวจความหวังและสังคมท่ามกลางเศรษฐกิจหรือสิ่งแวดล้อม
เธอประยุกต์การรำพื้นบ้าน (Rabam) เชื่อมกับวิถีชุมชน จากนั้นนำเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง AR/VR มาช่วยให้เกิดความหมายใหม่ๆ จากท่าทางของสัตว์ เช่น ไก่ ม้าลาย กบ ฯลฯ มาประกอบการรำเข้าด้วยกัน ความยากของเธอคือการต้องเข้าใจการทำงานในโลกเสมือนจริงกับการพัฒนาท่วงท่าการรำควบคู่ไปด้วย นั่นเลยเป็นการแสดงรำแก้บนแบบร่วมสมัยที่น่าทึ่งสุดๆ

รำแก้บนร่วมสมัยที่ท้าทายขนบเดิม
ย้อนกลับไป กรณ์กาญจน์เป็นศิลปินนักเต้นที่ร่วมแสดงกับ PKDC มาตั้งแต่ปี 2007 โดยมาลีบูชาเริ่มต้นขึ้นในปี 2021 ซึ่งเปิดตัวออนไลน์ในกรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปเปิดการแสดงรอบสำคัญที่โรงละครเอสพลานาดบนอ่าวมารีนาเบย์ (Esplanade - Theatres on the Bay) ที่สิงคโปร์ เมื่อปี 2023 ส่วนในปีต่อมา เธอได้เดินทางไปทัวร์การแสดงที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และล่าสุดคือโรงละครสดใส พันธุมโกมล ที่จุฬาลงกรณ์
เธอเล่าว่า แนวคิดมาลีบูชาเกิดขึ้นในช่วงล็อกดาวน์โควิดเมื่อปี 2020 เธอมองว่าหลายๆ คนรวมถึงตัวเธอเองรู้สึกหลงทาง จนเธอถึงกับใช้วิธีสวดมนต์เพื่อหวังจะให้ชีวิตในช่วงนั้นดีขึ้น จากนั้นเธอจึงหาวิธีเชื่อมต่อกับผู้คนบนโลกออนไลน์ ข้อดีนี้คือช่วยให้เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเธอพบว่าในยุคโควิดที่คนส่วนใหญ่ยังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อเพื่อประคองชีวิตของพวกเขา เธอเลยนำแนวคิดมาจากวิธีการสวดมนต์หรือการบูชาตามความเชื่อแต่ละคนมาใช้บนโลกดิจิทัลออนไลน์ดูบ้าง เป็นวิธีการที่คล้ายโลกเสมือนจริงรอให้ผู้คนเข้ามาสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จนมาลีบูชาเวอร์ชั่นออนไลน์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2021 ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังพัฒนางานวิจัยเรื่องการเต้นผสานกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแบบที่เธอเชื่อจากแพลตฟอร์มการวิจัยเต้นในรูปแบบออนไลน์ที่เรียกว่า [CP]³ (แนวทางในการออกแบบการเต้นรำร่วมสมัย) ของแดเนียล ค็อก โดย Dance Nucleus ที่สิงคโปร์ จนในที่สุด ปี 2022 เธอได้ทำเวิร์กช็อปโชว์เคสต่อหน้าผู้ชมจริงในงาน Vector#2 ร่วมกับโรงละครเอสพลานาด ที่สิงคโปร์ด้วย

รำแก้บนที่พยายามจะสื่อว่า ความเชื่อก็คือความหวัง
ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้ง่าย แต่วิธีการรำแก้บนและการบูชาเป็นเครื่องการันตีที่พอจะยืนยันได้ว่าเธอมาถูกทาง ก็คือช่วงที่เธอได้ไปพำนักทำวิจัยที่ศูนย์ศิลปะนานาชาติคิโนซากิ (Kinosaki International Arts Center) ที่ญี่ปุ่น ที่นั่นทำให้เธอศึกษาการบูชาแบบญี่ปุ่น ทั้งวัดและศาลเจ้า ปรากฏว่าเธอได้เจอผู้คนที่มีความสัมพันธ์กับการบูชาเหมือนกับที่เธอมี เพราะยิ่งมีคนไปทำบุญมาก วัดก็ยิ่งดูทรงพลังมาก
ขอกลับมาที่การแสดงรำแก้บน ในบรรยากาศโดยรวมของการแสดงคือการให้คนมีส่วนร่วมในการแสดงได้ทุกคน ซึ่งเป็นการจำลองเหตุการณ์รำแก้บนอย่างที่เคยเห็นจริงๆ สมมติว่าผู้ชมกำลังนั่งอยู่บริเวณพื้นที่การรำแก้บน ข้างๆ กันมีศาลเจ้าในรูปแบบดิจิทัลเพื่อให้ผู้ชมถวายดอกไม้ ซึ่งการถวายดอกไม้นี้เป็นการถวายดอกไม้ในโลกดิจิทัลโดยการสวมอุปกรณ์ VR หลังจากนั้นผู้ถวาย (ผู้ชม) จะค่อยๆ ใช้มือวาดออกไปด้านหน้า เดาว่าน่าจะเป็นการวาดรูปดอกไม้ ซึ่งจะมีเสียงบรรยายประกอบไปเรื่อยๆ ประมาณว่า “ขณะนี้ ได้มีผู้ถวายดอกไม้จำนวน…ดอกแล้ว” และต้องผลัดกันถวายไปจนกว่าจะครบทั้ง 99 ดอก เมื่อเห็นเช่นนี้คนชมอย่างเรายังรู้สึกทึ่งในการแสดงไม่น้อย
หลังจากนั้นจึงเปิดฉากทั้งการรำและการเต้นท่ามกลางฉากหลังอิมเมอร์ซีฟตระการตาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศธรรมชาติ เพื่อเดินทางไปสู่ศาลดิจิทัลที่รวมบรรดาสิงสาราสัตว์ เช่น ม้าลาย ไก่ ลิง กบ นกกระเรียน ฯลฯ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดก็เป็นไปตามความเชื่อต่างกันไป อย่างม้าลาย สื่อถึงความปลอดภัย ไก่สื่อถึงความมั่งคั่ง เป็นต้น เหมือนเป็นการพาผู้ชมไปพบเจอกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่าเป็นการแสดงที่จรรโลงใจที่สุด
ซึ่งถ้ากลับมาถามว่าทำไมต้องเป็นศาลดิจิทัล กรกาญจน์บอกว่า เพราะการทำศาลเจ้าดิจิทัลดีต่อสิ่งแวดล้อมในการช่วยลดขยะจากการเผากระดาษ ธูป หรือเทียนได้
และแน่นอนว่าปัจจุบันเธอสนุกกับการได้ทดลองทางเทคโนโลยี เพราะช่วยให้เธอได้ลองแนวคิดใหม่ๆ ที่นำมาผสมกับรำไทยดั้งเดิมโดยไม่จำเป็นต้องคิดท่วงท่าใหม่ แต่สำคัญกว่าคือการเข้าใจสิ่งที่มีอยู่เดิม เช่นการร่ายรำแล้วนำมาเชื่อมโยงในยุคปัจจุบัน
เธอยังบอกอีกว่า แม้เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นความเชื่อส่วนตัว แต่สำหรับเธอแล้ว การเต้นหรือการรำคือการสื่อสารกับชุมชนและสังคมที่เดินหน้าด้วยความหวัง ซึ่