[title]
คุณเคยมีฟีลแบบนี้ไหม? ฟีลแบบที่แค่เดินเข้าร้านเหล้าหรือบาร์แล้วรู้สึกทันทีว่า ‘ที่นี่แหละ คือที่ของเรา’ สำหรับสายเที่ยวกลางคืนตัวจริงอย่างเรา ภาพที่นึกถึงก็คงหนีไม่พ้นแก๊งเพื่อนสนิท แก้วเหล้าผสมน้ำอัดลม และเสียงดนตรีสดที่ค่อยๆ บิวด์อารมณ์ให้เราได้ลุกขึ้นเต้นสบัด แต่ Allso Bar ทำให้ภาพเหล่านั้นในหัวเราเปลี่ยนไปหมด ปกติบาร์เล็กๆ แบบนี้ไม่ใช่ที่ที่เราจะแวะเวียนไปบ่อยนักตามนิสัย แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เสียงเพลง หรือเหล้าเข้มๆ แต่ Allso Bar เป็นพื้นที่ที่การพูดคุยธรรมดาๆ กลับกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน
ลองนึกภาพตามดู ถ้ามีงานอีเวนต์ที่เปิดโอกาสให้คุณได้ระบายความลับออกมา ไม่ว่าจะเป็นความลับใสๆ แบบน่ารัก ความลับเทาๆ ที่ไม่ได้ดีหรือแย่เกินไป หรือแม้แต่ความลับมืดมนที่คุณไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แบบไม่มีใครมาตัดสิน (โอเค อาจมีการหัวเราะกันกรุบกริบบ้าง) แต่งานนี้ คุณจะได้ฟังความลับของคนอื่น แบบไม่ต้องรู้เลยว่าใครเป็นคนเขียน นี่แหละคือครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับ The Dark Secrets of Bangkok ค่ำคืนที่คนแปลกหน้าพากันมาแชร์เรื่องที่ทำให้คุณเผลอหันไปมองหน้าคนข้างๆ ใหม่อีกครั้ง ความลับแบบที่เราเคยขึ้นในหัวว่า คนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เราเดินผ่านผู้คนบนถนน หรือแม้แต่ความลับของคนที่เราเต้นด้วยในคลับ เราได้ไปร่วมงานแบบงงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ความคิดที่จะได้ฟังความลับของคนอื่นก็จุดไฟความขี้สงสัยในหัวเรามากพอแล้ว
ความลับบางเรื่องน่ารักชวนยิ้ม บางเรื่องถึงขั้นทำให้หัวเราะจนหายใจไม่ทัน และบางเรื่องก็เศร้าจับใจ แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของค่ำคืนนี้ ทุกคนต่างมีอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ข้างใน และคืนนี้เราจะนั่งฟังเฉยๆ ไม่ตัดสิน ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป
มาดูกันว่าในงานนี้จะมีอะไรเด็ดๆ เกิดขึ้นบ้าง

ทันทีที่มาถึงบาร์ เราก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันชวนหลงใหล การตกแต่งสไตล์เรโทรกับแสงไฟสลัวๆ ทำให้รู้สึกเลยว่าที่นี่ต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ เราถูกจับให้นั่งโต๊ะร่วมกับคนแปลกหน้าสองคน ซึ่งก็แอบรู้สึกแปลกนิดหน่อย เพราะปกติถ้าไปร้านเหล้าก็ต้องไปกับแก๊งเพื่อนสนิทใช่ไหมล่ะ แต่พอดื่มไปสักหน่อย ความเก้ๆ กังๆ ก็ค่อยๆ จางหายไป จนกลายเป็นบทสนทนาที่จริงใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จนเริ่มรู้สึกว่านี่แหละคือสถานที่ที่เหมาะจะเล่าความลับ หรือไม่ก็แอบส่องความลับของคนอื่น โดยไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
ไม่นานหลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่ บรรยากาศในห้องก็ค่อยๆ เงียบลง ก่อนที่โฮสต์ของค่ำคืนนี้อย่าง Bog จะปรากฏตัวพร้อมกับ Vik นักเขียนชาวอเมริกันและคู่หูผู้ร่วมออกแบบไอเดียสุดแหวกนี้ ทั้งสองคนขึ้นมาหน้าเวทีเพื่ออธิบายว่าเรากำลังจะเจอกับอะไรต่อจากนี้
ทุกคนจะได้รับโพสต์อิทกับปากกาคนละชุด แล้วถูกเรียกขึ้นไปที่ห้องเล็กๆ ชั้นบนทีละคนแบบส่วนตัว เพื่อเขียน ‘ความลับ’ ลงไป จะเขียนสั้นๆ แค่ประโยคเดียว หรือจะยาวเป็นสองหน้ากระดาษก็ได้ จะเป็นเรื่องขำขัน เรื่องเศร้า หรืออะไรที่ไม่เคยบอกใครก็ไม่ว่ากัน
บางคนใช้เวลานานเหมือนกำลังเขียนชีวประวัติชีวิต ส่วนบางคนก็เขียนเร็วปรื๊ดราวกับกำลังลิสต์ของที่ต้องซื้อในซูเปอร์มาเก็ต บรรยากาศในห้องตอนนั้นเหมือนมีไฟฟ้าสถิตในอากาศ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสงสัย ที่แค่ได้อยู่ตรงนั้นก็รู้เลยว่านี่จะไม่ใช่แค่คืนแฮงเอาต์ธรรมดาๆ แน่นอน
เมื่อโพสต์อิททั้งหมดถูกแปะเรียงรายบนผนัง ราวกับกระดานสารภาพบาปในโบสถ์ ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นของค่ำคืนก็เริ่มต้นขึ้น Bog และ Vik รวบพลแขกทุกคนเข้ามานั่งอย่างพร้อมเพรียง แล้วเริ่มอ่านความลับสุดยอด ของแต่ละคน ทีละแผ่น ดังๆให้ทุกคนได้ยิน
บางอันเบาสมองและแสบสันต์ จนเสียงหัวเราะดังขึ้นทันที:
‘แม่ฉันไม่รู้ว่าฉันกินเหล้าและมีเซ็กส์ ซึ่งสองอย่างนี้คือสิ่งที่ฉันถนัดที่สุด’
‘ฉันแกล้งทำเป็นยิวแค่เพื่อจะได้ไปงานวันเสาร์และแอบกินซุปไก่’
ครึ่งห้องหัวเราะ อีกครึ่งทำหน้างง เหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่ามันตลกหรือน่ากลัว
‘ตอนอายุ 17 ฉันสูบฝิ่นและมีเซ็กแบบทรีซั่ม ในขณะที่มีหนึ่งในนั้นนั่วอ่านบทกวีอยู่ข้างๆ’
บางอันก็ช็อกจนทำให้ห้องเงียบกริบในพริบตา:
‘ฉันเลิกกับแฟน แล้วฉันฆ่าแมวของเธอ’
‘ฉันเคยเดินเข้าไปในโรงงานร้างแถวบ้านแล้วเจอศพ’
‘ฉันเคยเจอฆาตกรต่อเนื่องสามคน สองคนติดคุก อีกคนฆ่าตัวตาย’
แล้วก็มีบางอันที่ลึกซึ้งและเฉพาะตัว ชนิดที่แทงใจคนฟังแบบเงียบๆ:
‘ฉันไม่เคยเจอความรัก ฉันกลัวว่าปัญหาคือฉันเอง ฉันผลักทุกคนออกไปเสมอเวลาที่เขาเข้าใกล้’
และแน่นอน ก็มีโพสต์อิทแบบที่เป็นความโกลาหลสไตล์บางกอกสุดๆ:
‘ในวันเดียวฉันมีเซ็กส์กับสองคน แล้วไปเดทกับอีกคนตอนเย็น’
‘ฉันมาที่นี่เพื่อแพร่โควิด’
‘ฉันมากรุงเทพตอนที่เลยช่วงพีคของชีวิตไปแล้ว แต่เมืองนี้กลับให้ชีวิตใหม่กับฉันได้’
ทุกคนในห้องจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ เสียงแห่งความอึ้ง เสียงสูดลมหายใจลึกๆ หรือแม้แต่ความเงียบที่ถาโถมเข้ามาในบางช่วง ไม่มีใครรู้ว่า ‘ความลับ’ แผ่นไหนเป็นของใคร และนั่นแหละคือความงามของมัน ในช่วงเวลานั้น ทุกคนกลายเป็นเพียงผู้รับฟังบางสิ่งที่ทั้งเหลือเชื่อและจริงแท้… และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกลับทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
แล้วหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นต่อ?

หลังจากความลับทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมา ก็เกิดช่วงเวลาที่เหมือนไฟฟ้าแล่นผ่านตัวนักท่องราตรีในคืนนั้น ทุกคนเริ่มกวาดตามองไปรอบห้อง สบตากัน และลองเดาเล่นๆ ว่าใครกันแน่คือเจ้าของคำสารภาพแต่ละแผ่น เกมเดาเริ่มขึ้นแบบไม่ได้นัดหมาย ทั้งตลก ทั้งหลอนในเวลาเดียวกัน บางคนแอบยิ้มมุมปากจนเราเผลอคิดว่า ‘หรือว่าเป็นเขาที่เขียนประโยคนั้น?’
บางคนก็นั่งยาวจนหมดค็อกเทลแก้วสุดท้าย ส่วนเราก็เผลอสนุกไปกับบทสนทนาแบบยาว ฃๆ กับคนแปลกหน้าหลายคนในร้าน จนได้รู้จักกรุงเทพฯ ในมุมที่ไม่มีไกด์บุ๊กเล่มไหนเคยเล่า อย่างผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยโดนเทกลางคลับ แต่กลับเจอคู่ชีวิตก่อนร้านปิด, ผู้กำกับหนังที่หมกมุ่นกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ หรือนักเดินทางที่ใช้คืนสุดท้ายในเมืองนี้มานั่งฟังความลับดิบๆ จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
งานนี้ดึงดูดผู้คนจากหลากหลายแบ็กกราวนด์ให้มาอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่ใช่เพื่อมาโชว์ตัวหรือเอนเตอร์เทนใคร แต่เพื่อมาเชื่อมต่อกันจริงๆ มันอาจให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแอบเผือกชีวิตของคนอื่นอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์สุดๆ เหมือนกรุ๊ปเทอราพีที่แสงไฟอบอุ่นกว่า บรรยากาศเป็นกันเองกว่า และเครื่องดื่มราคาสบายกระเป๋า
สิ่งที่ทำให้เมืองกรุงน่าหลงใหล ไม่ใช่แค่ตึกสูงระฟ้าหรือถนนที่ปูด้วยคอนกรีต แต่มันคือ ‘ผู้คน’ ต่างหาก ไม่ใช่แค่คนท้องถิ่นที่ค่อยๆ หล่อหลอมเมืองนี้ในทุกวัน แต่ยังรวมถึงนักเดินทางที่แวะผ่านมา ทิ้งบางอย่างไว้ข้างหลัง และเก็บอะไรบางอย่างกลับไป เรื่องเล่า ความลับ และคำสารภาพของพวกเขากลายเป็นเฉดสีที่ทำให้เมืองนี้มีมิติมากกว่าที่ตาเห็น
และนั่นแหละคือสิ่งที่ Allso Bar หยิบมาใช้เป็นหัวใจของที่นี่ บาร์แห่งนี้คือไอเดียของ Roe Laophermsook ผู้ที่อยากฉีกกรอบเดิมๆ ของคำว่า ‘ไนต์ไลฟ์’ แล้วสร้างพื้นที่บางอย่างที่ไม่จำกัดแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เปิดกว้างให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ออฟฟิศ นักศึกษา ศิลปิน ชาวต่างชาติ หรือคนที่ชอบนั่งคิดอะไรเงียบๆ ได้มานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน และรู้สึกว่า ‘เราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้เหมือนกัน’
และในหลายๆ ทาง Allso Bar ก็คือตัวตนของ Roe เอง ‘ผมไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียมาตั้งแต่ปี 2008’ เขาเล่าอย่างเปิดใจ ‘นั่นแหละเหตุผลที่ผมเปิดบาร์นี้ขึ้นมา เพื่อสร้างอะไรที่ ‘ถ่องแท้’ จริงๆ แต่ความย้อนแย้งก็คือ ตอนนี้ผมกลับต้องเล่นโซเชียลมากกว่าที่เคยเสียอีก’ ความตึงเครียดระหว่างความเหนื่อยล้าจากโลกดิจิทัล กับความต้องการเชื่อมต่อกับคนจริงๆ นี่แหละคือสิ่งที่ขับเคลื่อนทุกอย่างที่บาร์แห่งนี้
คนเรามักจะโหยหาบางสิ่งมากกว่าการเลื่อนหน้าจอไปมา พวกเขาต้องการเหตุผลที่จะเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาจ้องตากันจริงๆ และพลังงานแบบนี้แหละที่ทำให้งานอย่าง The Dark Secrets of Bangkok เกิดขึ้นได้
งานรอบแรกได้รับการตอบรับดีเกินคาด ‘หลายคนทักมาบอกว่าชอบค่ำคืนนั้นมาก และวางแผนจะชวนเพื่อนๆ มาในรอบต่อไปด้วย’ Roe เล่าด้วยรอยยิ้ม ‘หลายคนยังชอบบรรยากาศของบาร์นี้ด้วย’ ดังนั้น ใช่แล้ว งานรอบสองจึงเตรียมจัดขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ มี Bog เป็นโฮสต์คอยนำทาง และ Vik ที่เสริมความน่าสนใจด้วยฝีมือการเล่าเรื่อง คอนเซปต์ของงานนี้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้พูดความจริงโดยไม่ต้องกลัวผลลัพธ์ใดๆ สิ่งที่ได้คือค่ำคืนที่เต็มไปการไร้ความคาดหวังและการเชื่อมต่อกันอย่างแท้จริง
ไม่มีชื่อ ไม่มีการตัดสิน แค่เสียงเล่าเรื่องที่ดังก้องอยู่ในบาร์ที่สร้างมาเพื่อการฟังอย่างแท้จริง