เรื่องที่กรุงเทพฯ (และเราทุกคน) ควรจะต้องเรียนรู้แบบจริงจังจากงาน Movin’On Summit 2018 (ตอนที่ 1)

Top Koaysomboon
เขียนโดย
Top Koaysomboon
การโฆษณา

เราต้องยอมรับว่าการเดินทางสัญจรคือกิจกรรมที่มาคู่กับความเป็นเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน การเดินทางไปติดต่อธุรกิจ การเดินทางไปส่งลูก หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปหาคอนเสิร์ตดีๆ ฟังหรือร้านกาแฟชิคๆ ถ่ายอินสตาแกรมก็ล้วนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ

9.8 ล้านคันคือจำนวนยานพาหนะที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์กว่า 4 ล้านคัน รถจักรยานยนต์กว่า 3 ล้านคัน ที่เหลือเป็นยานพาหนะอื่นๆ ในขณะที่กรุงเทพฯ มีประชากรเกือบสิบล้านคน ซึ่งถ้าดูจากสถิตินี้ก็คิดได้ง่ายๆ ว่าคนกรุงเทพฯ ทุกคนมียานพาหนะคนละคัน ดั้งนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าเมืองหลวงพื้นที่ 1,569 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้จะติดอันดับเมืองที่ประสบปัญหาการจราจรมากที่สุดในโลกอยู่เสมอ

นอกจากปัญหาจราจรที่เราเจอกันทุกเช้า (ไม่นับรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ขัดข้องบ่อยเสียจริงช่วงนี้) การเดินทางยังนำมาซึ่งการเผาผลาญพลังงานเพื่อการขับเคลื่อนยานพาหนะ ซึ่งมีสิ่งที่ตามมาข้อที่หนึ่งคือมลภาวะที่ปล่อยสู่สภาพแวดล้อม ข้อที่สองคือขยะที่เกิดจากกระบวนการผลิตพลังงาน ผลิตยานพาหนะ และผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ นี่ยังไปไม่ถึงข้อที่สามก็รู้แล้วว่าการเดินทางยิ่งเยอะยิ่งบั่นทองความยั่งยืนของเมือง ของโลก และของเราไปทุกขณะ

คำถามก็คือ แล้วเราจะทำยังให้ให้การเดินทางสัญจรของเราเป็นการเดินทางที่ยั่งยืนสำหรับเมืองและโลกที่เราอาศัยอยู่ล่ะ? (กระซิบว่าแค่ผลักให้ทุกคนไปขึ้นรถไฟฟ้าไม่ใช่คำตอบหรอกนะ)

 

Seminar room at MovinOn by Michelin, Montreal

Top Koaysomboon/Time Out Bangkok

 

คำตอบ (หรืออย่างน้อยก็วิธีและสิ่งที่จะพาเราไปหาคำตอบ) ถูกเปิดเผยไปเร็วๆ นี้ที่งาน Movin’On by Michelin การประชุมสุดยอดนักคิดและนวัตกรรมเกี่ยวกับการเดินทางและขนส่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่มิชลินเขาจัดขึ้นเป็นปีที่สองแล้วที่มอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดา โดยบริษัทฝรั่งเศสเจ้าของยางรถยนต์ชั้นนำของโลก (และเจ้าของไกด์แนะนำร้านอาหารที่เราชอบ) ร่วมมือกับพันธมิตรถึง 155 หน่วยงานที่มาแสดงนวัตกรรมและวิสัยทัศน์แก่ผู้ร่วมงานถึงกว่า 5,000 คนจาก 60 ประเทศ งานนี้ Time Out Bangkok กับอีก 4 สื่อชั้นนำจากประเทศไทยได้รับเชิญเข้าร่วมสังเกตการณ์ร่วมกับสื่อมวลชนอีกนับ 200 คนจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก  

3 วัน 40 นิทรรศการ 45 การบรรยาย และนี่คือเรื่องที่เราเรียนรู้มาและอยากให้ผู้บริหารกรุงเทพฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อ่าน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเมืองอันเป็นที่รักของเราในอนาคต

 

พลังงานไฟฟ้าคืออนาคตของการขับเคลื่อน

เราได้ยินกันมาหูแทบแฉะ แต่ Movin’On 2018 บอกเราซ้ำๆ ย้ำๆ อีกครั้งว่าพลังงานไฟฟ้าคืออนาคตของการขับเคลื่อนจริงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมด้วยรถไฟฟ้าที่มีขายอยู่ในปัจจุบันแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น Nissan Leaf, BMW i8, BMW i3 หรือ Tesla หลากหลายรุ่น ที่พร้อมพาคุณสัมผัสประสิทธิภาพของการขับเคลื่อน

 

BMW i8 at MovinOn by Michelin
BMW i8
Jimmy Hamelin/MovinOn by Michelin

 

แต่ไม่ใช่แค่นั้น Movin’On ยังชวนบริษัทอีกจำนวนมากมาแสดงนวัตกรรมให้เรารู้ว่า พลังงานไฟฟ้าไม่ได้เป็นแค่คำตอบของการขับเคลื่อนส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นโซลูชั่นของการขนส่งคนจำนวนมาก ขนส่งสิ่งของ หรือกระทั่งการแข่งรถก็ได้ด้วยเช่นกัน

ณ Quai Jacques-Cartier ไกลจากบริเวณฮอลล์หลักของ Movin’On คือสนาม Événement Ride & Drive ที่ยานพาหนะไฟฟ้าหลากแบบจากหลากบริษัทอวดโฉมโชว์ว่าพลังงานไฟฟ้าทำได้มากกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นรถตรวจของตำรวจซึ่งเงียบมากแบบไล่สอดแนมคนร้ายได้แบบไม่รู้ตัว จักรยานยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งได้เร็วและไกลไม่แพ้ซูเปอร์ไบค์ และซูเปอร์คาร์สูตร 1 แบบไร้คนขับที่แข่งสนุกแบบไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุ 

อ่อ ลืมบอก ขนาดการขนส่งคนไป-กลับจากสนามนี้ก็ยังทำด้วยรถโรงเรียนไฟฟ้าเลยนะ!

ถามว่า แล้วทำไมพลังงานไฟฟ้าถึงเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่ยั่งยืนล่ะ? เพราะมันประหยัดกว่า? เปล่า แต่เป็นเพราะมันสร้างมลภาวะน้อยกว่าน่ะสิ เพราะในขณะที่การเผาไหม้น้ำมันสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงประมาณ 120 กรัมต่อกิโลเมตร แต่พลังงานไฟฟ้าปล่อยที่ศูนย์ ตลอดการประชุม 3 วัน พลังงานไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนจึงเป็นประเด็นหลักที่แต่ละห้องสัมมนาหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อใหญ่ใจความอยู่ตลอด เรียกได้ว่าย้ำกันให้จำขึ้นใจ

Electric motorcycle at Quai Jacques-Cartier at MovinOn by Michelin
Electric motorcycle for police officers
Top Koaysomboon/Michelin

 

ดูเขาแล้วย้อนดูเรา

ไม่แน่ใจว่าสังเกตกันหรือเปล่า แต่ตอนนี้ในกรุงเทพฯ เรามีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระจายตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองแล้วนะ บุกเบิกด้วย BMW ที่ร่วมกับ Central Group, AP และผู้ให้บริการชาร์จรถยนต์ GLT ติดตั้งสถานีชาร์จตามจุดต่างๆ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์, เกษรวิลเลจ, เทอร์มินอล 21, อาคารออลซีซันส์, โรงแรมโอเรียนเต็ล, โรงแรมเพนนินซูลา, โรงแรมโซ โซฟิเทล สาทร และคอนโด Life สุขุมวิท 48 เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะเปิดให้ได้ 50 จุดทั่วกรุง (ดูจุดชาร์จทั้งหมดได้ที่ chargenow-th.greenlots.com) ในขณะที่สถานีชาร์จไฟของค่ายตราดาว Mercedes-Benz เริ่มเห็นแล้วที่โรงแรม W Bangkok

สถานีชาร์จไฟฟ้าของ Mercedes-Benz ที่โรงแรม W Bangkok
W Bangkok

ในส่วนของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง Nissan Leaf ที่ขายดิบขายดีในต่างประเทศก็ได้รับการยืนยันจาก Nissan Thailand แล้วว่ามีจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในประมาณช่วงไตรมาสที่ 1 หรือก่อนเดือนมีนาคมของปี ค.ศ. 2019 ใครที่เล็งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้ไว้ก็เริ่มเก็บเงินได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย

Nissan Leaf ที่งาน Movin'On
Top Koaysomboon/Time Out Bangkok

อ่านต่อตอนที่สองได้สัปดาห์หน้าครับ

แชร์เนื้อหา

บทความล่าสุด

    การโฆษณา