Chin Chinawut
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

จากแดนซ์ฟลอร์สู่รั้วทหาร ละครเวทีคือฉากชีวิตบทใหม่ของ ชิน-ชินวุฒ อินทรคูสิน

คุยกับหนุ่มเต้นเก่งเรื่องชีวิตหลังรับราชการทหาร และบทบาทใหม่ในฐานะนักแสดงนำในมิวสิคัล Little Shop of Horrors

Sopida Rodsom
เขียนโดย
Sopida Rodsom
การโฆษณา

กว่า 20 ปีในวงการบันเทิงที่ ชิน-ชินวัฒ อินทรคูสิน ได้ฝากผลงานไว้มากมาย ตั้งแต่การเป็นเด็กฝึกของค่ายแกรมมี่ในนาม G-JR และสมาชิกวงบอยแบนด์วัยใส Big 3 เรื่อยมาจนถึงการออกอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก Chin Up ในปี พ.ศ. 2550 พร้อมเพลงฮิต "ปากไม่ตรงกับใจ" รวมไปถึงผลงานละครอีกหลายเรื่อง ส่งผลให้ชินกลายเป็นหนึ่งในศิลปินขวัญใจของคนทั่วประเทศ

ถึงแม้ชินจะหายไปจากวงการช่วงเข้ารับราชการทหารในช่วงปี พ.ศ. 2559 และปลดประจำการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ชินกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับการแข่งขันร้องเพลงในรายการ The Mask Singer ไปจนถึงละคร พรหมไม่ลิขิต และการแสดงละครเวที Little Shop of Horrors อีกด้วย

... งานนี้เราจึงไม่พลาดที่จะพูดคุยกับศิลปินคนเก่งถึงการเล่นละครเวทีครั้งแรก โปรเจ็กต์ในอนาคต และชีวิตหลังรับราชการทหาร นำมาฝากให้ทุกคนกันแล้ว

Chin Chinawut

Little Shop of Horrors / Selladoor Asia Pacific

จริงๆ แล้วชินมาเล่นละครเวทีเรื่อง Little Shop of Horrors ได้อย่างไร

จริงๆ แล้วคือเราอยากเล่นละครเวทีมานานมากแล้ว แต่แค่ยังไม่ได้มีโอกาสมาเล่น แล้วก็วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์เข้ามา ก็คือ พี่เจษ (เจษฎา ด่านปาน) โปรดิวเซอร์ของ Little Shop of Horrors แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัท Selladoor Asia Pacific เหมือนเขาก็อยากให้เรามาลองบทนี้ดู เพราะว่าเขาคงเห็นว่าเราน่าจะทำได้มั้งครับ แต่เราก็ไม่มั่นใจนะ เพราะว่าเหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งครับ เราไม่รู้กระบวนการของการเข้ามาอยู่ในละครเวที ผมบอกเลยนะว่า ผมลืมเลย... ผมลืมเนื้อ ลืมสคริป ตอนออดิชั่นคือเหมือนเราตื่นเต้น เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วกับการทำอะไรบางอย่างที่ จริงๆ เราควรจะคุ้นเคยกับมันครับ เต้น ร้อง แสดง แต่วันนั้นเรา blank มากเลย แต่ว่าเขาก็ยังเห็นบางอย่างในตัวเราครับ 

เล่าถึง Little Shop of Horrors และบทที่ชินได้รับให้ฟังหน่อย

Little Shop of Horror จริงๆ แล้วเป็นละครเวทีที่ค่อนข้างจะเก่าแก่พอสมควร มันเริ่มต้นจาก Off-Broadway ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยับเป็น Broadway แล้วถูกเอาไปทำเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดด้วย เรื่องราวจะค่อนข้างกึ่งแฟนตาซีนิดๆ จะการ์ตูนหน่อยๆ เพราะว่า จะเกี่ยวกับต้นไม้พิลึกอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นไม้กินเลือด กินคน จริงๆ แล้วต้นไม้เปรียบเสมือนความโลภของคน ทุกครั้งที่มันกินมันตอบแทนด้วยบางสิ่งบางอย่าง มันตอบแทนด้วยชื่อเสียง เงินทอง หรืออะไรที่คนๆ นั้นอยากได้

        ส่วนตัวเราชอบความหมายเบื้องลึกของเรื่องมาก จริงๆ แล้วคาแร็กเตอร์ของซีมอร์ ที่เวอร์ชั่นนี้รับบทโดย โดม-จารุวัฒน์ [เชี่ยวอร่าม] เป็นหนุ่มกำพร้าที่แบบ... เนิร์ดๆ แบบไม่ popular เลย แต่ว่าดันไปเจอต้นไม้ต้นนี้ แล้วมันทำให้เขาดังขึ้นมา มีเงินทอง แล้วมีคนชื่นชม แต่ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ดี

        ส่วนผมรับบทเป็น โอริน เป็นหมอฟันครับ หน้าผมไม่ให้กับการเป็นหมอฟันมาก แต่ว่ารับบทเป็นหมอฟันที่ popular คือมีเสน่ห์มาก แต่ว่าซาดิสต์ และเหตุผลที่มาเป็นหมอฟันก็เพราะว่าซาดิสต์นี่แหละ ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าต้องหาอาชีพที่มันเข้ากับเรา แล้วหมอฟันนี่แหละเข้าที่สุด เพรายังไงเราก็ต้องทำร้ายคนอยู่แล้ว แล้วทำไมไม่ทำร้ายคนแล้วยังได้ตังค์ด้วย ก็ฉลาดนะครับ โอรินในฮอลลีวู้ดโปรดักชั่นเป็น Steve Martin เล่น ซึ่งคนนี้เขา comedic legend อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันจะค่อนข้างกดดันนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นละครเวทีมิวสิคัลเรื่องแรกด้วย

Chin Chinawut

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

สิ่งที่อยากที่สุดในการเล่นละครเวทีคืออะไร

ผมไม่รู้สึกว่ามันยากครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันใหม่ ท้าทาย แล้วมันก็ตื่นเต้นทั้งในทางที่ดีและในทางที่ไม่ดีนะ เพราะว่าพอเราเจออะไรใหม่ๆ เราจะสงสัยตัวเองก่อนว่าเราทำได้ไหม ผมว่ายากที่สุดคือการสงสัยตัวเองมังครับ ว่าท้ายที่สุดแล้วเวลาเราขึ้นไป[บทเวที] เราจะส่งมอบในสิ่งที่คนดูคาดหวังได้รึเปล่า เราจะสามารถทำมันได้ดีมากพอที่จะทำให้คนดูสนุกกับมันไหม เพราะว่ามันเป็นเรื่องแรกของเรา อย่างผมเล่นคอนเสิร์ต ผมรู้อยู่แล้วว่าคนคาดหวังอะไรจากผม แล้วมันคือบ้านของผม ผมทำอะไรออกมาก็ได้แล้วมันก็ได้เต็มที่ แต่การเล่นละครเวทีโดยเฉพาะที่เป็นมิวสิคัลด้วยแล้วนะ แปลว่าเราทั้งร้องทั้งเต้น... แต่มันไม่ได้เป็นชิน เราทั้งร้องทั้งเต้นเป็นโอริน อันนี้แหละที่ผมว่ามันคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดของผม คือเหมือนผมเป็นตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเอง เพราะฉะนั้นการแสดงให้คนไม่นึกถึงชินแต่เป็นโอรินคือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมนะครับ

"การแสดงให้คนไม่นึกถึงชินแต่เป็นโอรินคือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม"

การทำงานกับโดม ลูกหว้า และเติร์ด-ปีย์วรา กิจจำนงค์พันธุ์ ผู้กำกับละครเวทีเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ผมต้องบอกเลยว่าผมรู้สึกโชคดีมาก คือการเล่นละครเวทีครั้งแรกของผมมันมีความกดดัน มันมีความมือใหม่มากๆ แต่ว่าเราได้มีโอกาสอยู่กับคนที่เขาเป็นเซียนด้านนี้เลย อย่างพี่ลูกหว้า [พิจิกา จิตตะปุตตะ] อย่างนี้ ละครเวทีมันคือบ้านของเขาครับ ส่วนโดมปีนี้คือปีที่ฮ็อตที่สุดสำหรับเขาแล้วในของละครเวที ปีแรกที่เขาเล่นละครเวทีจัดไปแล้ว 2 เรื่อง นี่ก็คือเรื่องที่ 3 แล้วทุกๆ คนคือมืออาชีพ จริงๆ แทบจะทุกคนจบมาทางด้านนี้เลย เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากมืออาชีพ มันเลยทำให้มีทางลัดของอะไรหลายๆ อย่างที่เราเข้าใจง่ายขึ้น

        สำหรับพี่ลูกหว้าคือเรานั่งดูเขาร้องก็มีความสุขแล้ว เรารู้สึกว่าแบบคนอะไรร้องเพลงดี๊ดี แล้วนอกจากร้องดีแล้วยังมีเสน่ห์มากๆ บนเวที มันทำให้เราไม่ละสายตาจากเขาเลย ส่วนน้องโดมคนนี้เป็นผู้ชายที่เก่งมาก มีความสู้สูงมาก ในเวลาเดียวกันเขาเป็นคนที่ผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกหลงใหลในเสียง เพราะเขามีเสน่ห์มากในเวลาที่เขาร้อง แล้วผมเพิ่งเคยเห็นโดมดราม่าในเรื่องนี้ คุณดราม่าได้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมนั่งดูแล้วน้ำตาไหลเลย

        ส่วนคุณเติร์ดจะวัยเดียวกัน เคยเป็นทหารเหมือนกัน เราก็จะมีอะไรคุยกัน ในเวลาเดียวกันผมรู้สึกว่าเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเขาตีมันแตกตั้งแต่เขารู้ว่าเขาจะทำเรื่องนี้แล้วแหละ เขารู้ในแนวทางที่เขาอยากจะได้ เขาคิดแล้วคิดอีก ทำการบ้าน ค้นข้อมูล และให้มันเหมาะสมกับบ้านเราด้วย คือเติร์ดมีความเป็นตะวันตกสูงมากครับ เพราะว่าเขาเรียนที่อังกฤษ แล้วก็จบด้านนี้มา แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ผสมผสานกับสิ่งที่คนไทยชอบ แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดเลยเกี่ยวกับเติร์ดมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกในฐานะของนักแสดง เขาให้อิสระเราในการคิดค้นหรือไปหาการเดินทางของตัวละครตัวนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากคือการทำงานของเขา เขาเป็นคนที่คิดบวก ให้ความรู้สึกดีตลอดเวลา ให้พลังดีๆ กับทุกคน เขาจะบอกในสิ่งที่ผิด แต่ว่าเขาจะไม่ได้โทษเรา เขาจะให้ทางออกว่าทำยังไงให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นในการทำงาน ผมรู้สึกว่านี่คือรุ่นใหม่ที่มีความคิดในการทำงานที่ดี มีมุมมองในการกำกับที่ คนที่ไปดูจะเข้าใจเลยว่ามันผ่านการฝึก การซ้อม และการเดินทางของการซ้อมโดยผู้กำกับคนนี้ทำให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ 

Chin Chinawut

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

Chin Chinawut

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ละครเวทีเรื่องนี้เล่นมาแล้วในหลายประเทศ ที่ชินบอกว่าผู้กำกับได้มีทำการปรับให้เข้ากับเมืองไทย หมายถึงอย่างไรและมีความพิเศษยังไงบ้าง

ผมว่าสิ่งแรกคือการแปลของป๋อม [นรินทร์ ประสพภักดี] นะครับ เขาเป็นคนแปลมิวสิคัลและบทได้เก่งมาก ก็ตั้งแต่ The Sound of Music เวอร์ชั่นที่เป็นไทย จนมา Little Shop of Horrors ซึ่งจริงๆ เขาแปลอันนี้ไว้ 10 ปีแล้ว มันเป็นอะไรที่แปลกมากเพราะว่า คุณเติร์ดติดต่อไป พี่เขาบอกว่าพี่แปลไว้แล้วเรียบร้อย แต่ไม่เคยเอาไปร้องที่ไหน

        สิ่งหนึ่งที่เจ๋งมากๆ เลย คือการแปลแล้วทำนองกับเนื้อเข้ากันพอดี ด้วยความที่มันเป็นการแต่งแบบฝรั่ง เพราะฉะนั้นทำนองก็จะตามเขา ไม่ใช่ทำนองสำหรับภาษาไทย เพราฉะนั้นการเขียนหรือการแปลเนื้อร้องให้ตรงกับทำนองนี่ ยาก เพราะภาษาไทยจะมีโน้ตอยู่แล้ว แต่ป๋อมเขาก็สามารถแปลออกมาได้ให้ความรู้สึกที่มันตรงพอดีเป๊ะ แล้วในฐานะของนักร้อง ผมร้องแล้วรู้สึกไม่เขินเลย แถมมันยังมีกิมมิค มุก หรือจังหวะที่เราปรับให้เป็นความฮาแบบไทย ทำให้มันตลกแล้วก็สนุกในเวอร์ชั่นของคนไทย ซึ่งอันนี้แหละครับผมว่าเป็นอีกอันหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดูมาก เพราะว่าเราพยายามส่งมอบให้คนไทยได้เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่หลุดออกจากแบบฉบับเดิม

"มันยังมีกิมมิค มุก หรือจังหวะที่เราปรับให้เป็นความฮาแบบไทย ทำให้มันตลกแล้วก็สนุกในเวอร์ชั่นของคนไทย ซึ่งอันนี้แหละครับผมว่าเป็นอีกอันหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดูมาก เพราะว่าเราพยายามส่งมอบให้คนไทยได้เข้าใจ"

ชินคิดว่าได้เรียนรู้อะไรจากละครเวทีเรื่องนี้

เยอะมากครับ อันแรกก่อนเลยคือความเข้าใจของกระบวนการในการสร้างละครเวทีเรื่องหนึ่ง สำหรับคนที่มาดูเราคือเห็นผลงานที่มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่พอได้มาทำจริงๆ เรารู้สึกว่า โอ้โห... กว่าที่จะขึ้นมาบนเวทีมันผ่านอะไรมาเยอะมาก แล้วมันผ่านความเหนื่อย ความสู้ การเดินทางที่แบบสุดยอดมาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นทีมฉาก ทีมไฟ ทีมนักดนตรี นักแสดง ตัวประกอบ มันเป็นการเดินทางที่สนุกมาก แล้วผมก็ร้องดีขึ้นครับ ผมดีใจมากเลยอันนี้ เหมือนผมได้มาซ้อม ได้มาเตรียมพร้อมร่างกาย ได้มาเรียนกับครูเพลินซึ่งเป็นครูฝึกซ้อมให้ของเรา แล้วพอไปเล่นคอนเสิร์ต ผมรู้สึกว่าหนังเสียงผมหนาขึ้นครับ เราเข้าใจเสียงตัวเองมากขึ้น ดีใจมากเลย เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนว่าเราได้มาเรียนร้องเพลงเพิ่ม แล้วก็ได้มาฝึกฝนช่องเสียงอีกแบบหนึ่งที่เราไม่เคยร้องมาก่อน แล้วได้มาร้องตรงนี้ แล้วก็ได้เรียนรู้ความอดทนอีกแบบหนึ่ง ว่าเราต้องทำแบบเดิม เรียนรู้ในการทำแบบเดิมให้ดีในทุกๆ รอบ คือการทำให้ได้เท่ากับหรือมากกว่าเดิมในการทำแบบเดิม บางทีเราทำอะไรเดิมๆ แล้วเราจะเบื่อ แต่ตรงนี้เราต้องทำแบบเดิมให้มันดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันเป็นอีกอย่างหนึ่งว่าเราสามารถนำไปใช้ได้กับทุกเรื่องเลย

"พอได้มาทำจริงๆ เรารู้สึกว่า โอ้โห... กว่าที่จะขึ้นมาบนเวทีมันผ่านอะไรมาเยอะมาก แล้วมันผ่านความเหนื่อย ความสู้ การเดินทางที่แบบสุดยอดมาก"

นอกจากละครเวที ในอนาคตชินจะมีโปรเจ็กต์อะไรอีกไหม

ช่วงนี้ผมทำอะไรหลายอย่างมากครับ ละครออนแอร์ทางช่อง ONE เรื่องหนึ่งชื่อ พรหมไม่ได้ลิขิต และก็กำลังถ่ายอีกเรื่องหนึ่งอยู่เข้าโรงเดือนมกราคม กำลังจะเปิดกล้องหนังอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็จะเปิดกล้องละครอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็กำลังทำเพลงของตัวเองอยู่ด้วยซึ่งน่าจะปีหน้าครับ แค่นี้ก็ไม่มีเวลานอนแล้วครับผม ช่วงปีนี้ผมถือว่าเป็นปีที่ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเข้ามาหลายๆ อย่างแล้ว ได้ลองทำอะไรหลายอย่าง คือผมอยู่วงการมา 16 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นน้อยมากที่ผมจะเจออะไรใหม่ๆ เหมือนเราทำอะไรแบบเดิมแค่เปลี่ยนสถานที่ แล้วเจอละครเวทีเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกว่า เหมือนเราจีบแฟนใหม่ๆ มันจะมีความตื่นเต้นอะไรไม่รู้ที่มันมา เรารู้สึกว่ากำลังอิน แล้วอยากทำอีกเพราะเหมือน 16 ปีที่ผ่านมาเราได้สะสมทักษะร้อง ทักษะเต้น ทักษะการแสดงมาทั้งหมด ในเวลานี้เราได้ทำทั้งหมดพร้อมกัน ก็เลยรู้สึกว่าปีนี้เราได้ท้าทายตัวเองเยอะ แล้วก็ได้กลับมาฝึกฝนตัวเองใหม่ ล่าสุดผมเพิ่งทำรายการ Dance Dance Dance [Thailand] กับคุณแม่ทาง Line TV ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ แล้วก็กลับมาในห้องซ้อมเต้นอีกรอบหนึ่ง ฝึกฝนตัวเองเต้นอีกรอบ รู้สึกว่าเรากำลังเดินทางไปในทางที่เราแฮปปี้มาก ปีหน้าน่าจะมีโปรเจ็กต์อะไรอีกเยอะมากครับ พลังเยอะมากครับตอนนี้ อยากทำทุกอย่างที่มี ก็ติดตามกันเรื่อยนะครับ

Chin Chinawut

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ชินเพิ่งออกมาจากกรมฯ ชินคิดยังไงกับประโยคที่ว่า "เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด" แล้วชินได้มาจากการเป็นทหารคืออะไรบ้าง

อันนี้ผมบอกไม่ได้ว่าแต่ละคนได้อะไรมานะครับ ผมเชื่อว่าเหมือนเราเข้าห้องเรียน บางคนเข้าใจเรื่องเลขเร็ว บางคนเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์เร็ว สำหรับผมมันเหมือนการเข้าไปฝึกวินัยตัวเอง เราเห็นคุณค่าของทุกอย่างมากขึ้น เราจะไม่ค่อยมองข้ามอะไรสักเท่าไหร่ ตอนเราเข้าไปฝึก 10 อาทิตย์แรก เราไม่สามารถติดต่อครอบครัวได้เลย มันทำให้เราคิดถึงพวกเขามาก แล้วได้มีโอกาสโทรไปหาเขาครั้งหนึ่งเพื่อที่จะให้เขารู้ว่าวันที่เขาสามารถมาเยี่ยมเราได้คือวันไหน รู้ไหมว่า 1 นาทีนั้นเป็น 1 นาทีที่เรารู้สึกว่ามันเป็นชั่วโมง เป็นวัน เราไม่อยากพูดอะไรเยอะเลย เราอยากฟังเขา มันทำให้เราเห็นคุณค่าของคำว่าเวลาครับ การเห็นคุณค่าของทุกๆ อย่าง แล้วก็การทำในสิ่งที่ไม่อยากทำแต่เราต้องทำมัน อย่างผมเป็นนักแสดง นักร้อง บางทีเราก็ไม่ต้องทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำไง เราเป็นนายตัวเอง แต่ตรงนั้นเราได้เรียนรู้ในการฟังคำสั่ง เราได้เรียนรู้ในการทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่เราต้องทำมัน ก็ทำให้เราทำทุกอย่างได้สบายขึ้น เจองานหินมาแล้ว หลังจากนั้นผมก็มาเลย ผมทำได้หมดทุกอย่างครับ

"สำหรับผมมันเหมือนการเข้าไปฝึกวินัยตัวเอง เราเห็นคุณค่าของทุกอย่างมากขึ้น"

ชินคนก่อนเป็นทหาร กับชินในปัจจุบันแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

ตรงไหนบ้างเหรอ? ผมคิดว่าผมโตขึ้นครับ แล้วก็ผมคิดว่าตอนนี้อีโก้ผมน้อยลง ผมคิดว่าผมสามารถที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้บนโลกนี้โดยที่ไม่คิดมาก ไม่เครียด ไม่รู้สึกว่าทำไมคนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมคนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ผมได้มีโอกาสบวชถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนเป็นทหารด้วย แล้วผมก็ได้ไปเรียนรู้อะไรอีกจากการบวช เพราะฉะนั้นตอนนี้เราโตขึ้นครับ เรามองถึงอนาคตมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันเรามีสติกับทุกอย่างที่เราทำมากขึ้น ไม่รู้นะ... ผมรู้สึกว่าผมอาจจะเป็นคนที่ไปในทางที่ดีขึ้นแล้วกัน ก็ไม่อยากชมตัวเอง แต่ก็ไม่รู้อ่ะ เราก็จะควรรู้สึกดีกับตัวเองป่ะ เรารู้สึกว่าเรากำลังเดินทางไปในทางที่ดีขึ้น เรามีสติกับการที่เรารู้ตัวเองว่าถ้าเราคิดถึงการทำอะไรที่ไม่ดี เราจะหยุดตัวเองก่อน แล้วก็มีพลังเยอะมากครับ เหมือนเราอัดอั้น 2 ปีไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ พอเราออกมาเราเลยพลังงานเยอะมาก ทำทุกอย่างที่เราอยากทำเลย

Little Shop of Horrors เปิดแสดงวันที่ 9-11 และ 16-18 พฤศจิกายนที่ M Theatre บัตรราคาเริ่มต้น 1,000 บาท จองบัตรได้ ที่นี่ หรือร่วมสนุกชิงบัตรชมกับเราได้ ที่นี่

Chin Chinawut

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา