ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้ จะมีสักกี่ช่องที่กล้าเปิดใจพูดถึงเรื่องของการติดสารเสพติด และหนทางในการเลิกและบำบัด ซึ่งนี่แหละที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ‘House of TayTay’ ช่องพอดแคสต์ที่ เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้คนที่รู้สึกถูกมองข้าม ไร้พื้นที่ในการเล่าเรื่อง และรู้สึกไร้คุณค่า
โดยผู้ก่อตั้งรายการนี้คือ Taylor Srirat เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเคยเป็นหนึ่งในกูรูด้านแฟชั่นมาก่อน แต่ในวัย 35 ปี เธอได้สร้างช่อง ‘House of TayTay’ ขึ้นมาเป็นพื้นที่ในการสนทนาเรื่องราวที่ยังคงไม่ได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมเอเชียของเรา
นอกจากนี้ ตลอดเวลากว่า 8 ปีที่เธอเดินบนเส้นทางการฟื้นตัวจากการเสพติด เธอใช้พอดแคสต์ไม่เพียงเพื่อเล่าเรื่องของตัวเอง แต่ยังเป็นพื้นที่ในการขยายเสียงของหลายๆ คนที่เผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับเธอ
พื้นที่ปลอดภัยที่สร้างจากเรื่องจริง
ตอนที่ Taylor Srirat เริ่มเขียนหนังสือ Stardust… Memoirs of an Imperfect Gaysian เธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าการตีพิมพ์หนังสือระดับนานาชาติต้องใช้มากกว่าแค่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ‘คุณต้องมีแพลตฟอร์ม ต้องมีตัวตนบนโลกดิจิทัล ต้องมีโซเชียลมีเดีย ต้องมีผู้ฟัง’
แรกเริ่มนั้นไอเดียการสร้างแพลตฟอร์มนี้เหมือนเป็นกลยุทธ์การตลาดซะมากกว่า แต่เมื่อยิ่งเธอได้สร้างคอนเทนต์มาเรื่อยๆ เธอรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การโปรโมตหนังสือเท่านั้น แต่เป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ที่สร้างจากความจริง
ซึ่งสิ่งนี้แหละที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของช่อง ‘House of TayTay’
‘ฉันอยากเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้พูดออกมาในตลอดระยะเวลาที่ฉันเติบโตมา’ Taylor บอกกับเรา

ในฐานะ LGBTQ+ ที่เผชิญการเสพติด ความเจ็บปวด และแรงกดดันทางวัฒนธรรม เขารู้ดีว่าการไม่มีที่พึ่งพิงมันโดดเดี่ยวเพียงใด ‘ฉันอยากออกมาพูดถึงประเด็นที่ยังถือเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศแถบเอเชีย ทั้งการเสพติด การมีตัวตน ความรุนแรง เรื่องที่กระทบจิดใจ และแสดงให้เห็นว่าการเยียวยาจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร’
พอดแคสต์จึงกลายเป็นเส้นทางที่เธอใช้ทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริง เนื้อหาที่ออกมาทั้งจริงใจ ดิบ และไม่ผ่านการปรุงแต่ง ผ่านช่อง YouTube เธอเปิดเผยประสบการณ์การบำบัดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเชิญชวนผู้ฟังและผู้ชม ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการบำบัด กำลังต่อสู้กับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม กำลังเยียวยาบาดแผล หรือเพียงแค่ต้องการดูแลตัวเองในแบบของตัวเอง ให้รู้ว่า เรื่องราวของคุณมีค่าและคู่ควรที่จะถูกเล่าออกมา
เมื่อความเงียบกลายเป็นความเข้มแข็ง
เรื่องราวของ Taylor Srirat ไม่ได้เริ่มจากการเสพติด แต่มันเริ่มจาก ‘ความเงียบ’ แม้จะเติบโตในกรุงเทพฯ แต่เธอต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายจากพ่อและการถูกละเลยจากแม่ ทำให้ได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็กว่า ‘การเงียบหายไป อาจง่ายกว่าการพูดออกมา’
เมื่ออายุเพียง 12 ปี เธอถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำในอังกฤษ และต่อมาก็สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างโคลัมเบีย ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังไม่ถูกเยียวยา
เธอกลับมาประเทศไทยในวัย 20 และตระหนักว่า ครอบครัวที่เธอพยายามสร้างความภาคภูมิใจให้มาโดยตลอด กลับ ‘ไม่เคยเห็นตัวตนของเธอเลย’ โดยเฉพาะในฐานะที่เธอเป็นชาว LGBTQ+
‘ครอบครัวฉันไม่เคยมอบความรักอย่างแท้จริง มีแต่แรงกดดันและการละเลย’ เธอกล่าว
ความเจ็บปวดนำเธอเข้าสู่การใช้ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อใช้เป็นหนทางหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แม้ภายใต้ความรู้สึกไร้ตัวตน ถึงแม้ภายนอกเธอจะมีภาพลักษณ์สายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่เบื้องลึกกลับเต็มไปด้วยความตกต่ำ การเสพซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลายเป็นจุดแตกหักในชีวิต
‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันคืออาการป่วย’ เธอกล่าว
การบำบัดจึงเป็นเสมือนความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง Taylor ตัดขาดจากเพื่อนผู้ใช้ยา หันหน้าเข้าสู่การบำบัดและการฝึกทางจิตวิญญาณ เธออาศัยพลังความรักจากคู่รักและเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอจมดิ่ง และในที่สุดเธอพบกับการเยียวยาผ่านเสียงดนตรี หรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’
‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’
สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการกล้าเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และเหนือสิ่งอื่นใด เธอยังตั้งเป้าหมายที่จะใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อต่อยอดและช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
ความเจ็บปวดนั้นนำเธอเข้าสู่ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อเป็นการหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกมีค่าภายใต้การไม่มีตัวตน แม้ว่าเธอจะมีภาพลักษณ์เป็นสายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่ภายในเธอเต็มไปด้วยความตกต่ำ กลับไปเสพยาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นการ Break Down ‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันเป็นอาการป่วย’
การบำบัดเป็นดั่งความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง เธอตัดขาดจากเพื่อนผู้ร่วมเสพ หันไปบำบัดและฝึกจิตวิญญาณ เธอพึ่งพาความรักจากแฟนและเพื่อนแท้ที่ไม่ปล่อยให้เธอจมดิ่ง จากทั้งหมดนั้น เธอได้พบกับการเยียวยาจากเสียงดนตรีหรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’
‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’
สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการตั้งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด นอกจากนั้นเขายังมีเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้อื่นเช่นกัน
ป๊อปไอคอน พลังที่อยู่ภายใน และหนทางสู่การแสดงตัวตน
ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต Taylor ยกความดีความชอบให้กับเสียงเพลงในการนำทางเธอไปสู่แสงสว่าง โดยเฉพาะเพลงของ Mariah Carey ‘ฉันขอเรียกมันว่า Mariah Power’ สำหรับเธอ Mariah ไม่ได้เป็นแค่นักร้องชื่อดัง แต่เธอนั้นเป็นเหมือนดั่งจิตวิญญาณสูงสุด เพลงอย่าง ‘Through the Rain’ หรือ ‘Can’t Take That Away’ นั้นเข้าถึงไปยังจิตใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งในเวลาที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยว
เรื่องราวของ Mariah ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็ง และเสียงของเธอ ย้ำเตือน Taylor ว่าไม่ว่าเธอต้องเผชิญอยู่กับอะไร ท้ายที่สุดมันยังมีแสงสว่างอยู่ในตัวเธอ และเธอจะไม่ยอมให้ใครพรากมันไป เพลงของ Mariah ทำให้เธอยังไม่ยอมแพ้แม้ว่าเธอจะแบกรับไม่ไหวแล้ว
แฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของในการแสดงตัวตนของเธอ แว่นตาและสไตล์อันโดดเด่นนั้นสืบถอดมาจากครอบครัว ‘แม่และคุณยายรักแฟชั่น พวกเขาชอบสวมชุดจากแบรนด์ดังและสร้างลุคที่โดดเด่น ‘ฉันได้รับความคิดสร้างสรรค์มาจากพวกเธอแน่นอน’

แต่ว่าคนที่ทำให้เธอมีลุคที่โดดเด่นแบบนี้คือ Lady Gaga ผ่านเธอ Taylor รับรู้ว่าสไตล์ไม่ได้แค่การลุคที่ดูดี แต่มันคือศิลปะ อิสรภาพ และการแสดงตัวตน ‘เธอช่วยให้ฉันเป็นควีนอย่างที่ฉันเป็นในทุกวันนี้’
Taylor ยังพบปะกับคนดังระดับโลกมากมาย เช่น Kim Kardashian, Kanye West และ Lady Gaga แต่คนที่โดดเด่นสำหรับเธอคือ Lindsay Lohan ‘เธอไม่ใช่แค่คนดังที่ฉันเจอ แต่เป็นคนที่ฉันเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ’ ลักษณะนิสัยที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปิดตัว และความเข้มแข็งของ Lindsay เข้ากับ Taylor ได้เป็นอย่างดี และเหมือนกับอีกหลายคน Lindsay ต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย และ Taylor ก็ชื่นชมกับความงามที่ Lindsay ได้สร้างให้กับตัวเอง
พลังแห่งความรัก
สำหรับ Taylor ความรักเป็นสิ่งจำเป็น ‘เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยไร้ความรัก?’ ความรักคือสิ่งที่เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นเป้าหมาย ความมืดให้กลายเป็นแสง และมอบพลังเมื่อทุกสิ่งพังทลาย
เธอมองความรักทั้งเป็นความรู้สึกและพลัง ‘มันเป็นพลังบวก เป็นการเยียวยา และเปลี่ยนแปลง มันผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้’ ผ่านความรักทีมีต่อตัวเอง จากผู้อื่น และจากชุมชน เธอพบพลังที่ทำให้เธอเอาชีวิตรอดจากการเสพติดและบาดแผล ‘ความรักช่วยเหลือฉันไม่วันที่ฉันไม่สามารถแม้แต่พยุงตัวเองได้’
พลังความรักนี้ยังเป็นหัวใจของหนังสือเล่มใหม่ของเธอ ‘ข้อความที่ฉันอยากสื่อออกไปคือ มันยังมีพลังอยู่ในตัวทุกคน แม้ว่าคุณจะรู้สึกแตกสลาย อับอาย หรือหลงทาง พลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรักตนเอง ความรักทางจิตวิญญาณ หรือการสนับสนุนจากชุมชนนั้นยังคงอยู่ ความรักนั้นช่วยฉันไว้ และฉันเชื่อว่ามันช่วยคนอื่นได้เช่นกัน’
ไม่ว่าเจอความท้าทายใด ทั้งการเสพติด บาดแผล ตัวตน หรือการถูกปฏิเสธ คุณมีพลังที่จะรอด คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ แค่ต้องแสดงตัวเองต่อไป สำหรับ Taylor หากหนังสือของเธอช่วยเพียงคนเดียวให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ให้พวกเขาพบกับคุณค่าในตัวเอง และการเยียวยานั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากจนทเเป็นไปไม่ได้ นั่นก็คือความสำเร็จสำหรับเธอแล้ว
ก้าวข้ามคำตีตรา สร้างแรงบันดาล ใจสู่การเยียวยา
เสียงตอบรับจากพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนถึงขั้นส่งข้อความตรงผ่านอินสตาแกรม เพื่อบอกว่างานของเธอมีความหมาย และเสียงของเธอสามารถเข้าถึงหัวใจของผู้ฟังได้เกินกว่าที่ได้คาดหวังไว้ บางคนที่กำลังต่อสู้กับการเสพติดหรือเผชิญหน้าอยู่กับความรู้สึกหลงทาง พอดแคสต์นี้ได้กลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้พวกเขา หลายคนตัดสินใจเข้าศูนย์บำบัดหลังจากฟังบทสัมภาษณ์ ในขณะที่บางคนเริ่มต้นการบำบัดทางจิตเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับการมองเห็นและเข้าใจแล้วจริงๆ
ในชีวิตประจำวันของ Taylor มักมีคนเข้ามาทักเสมอว่าชื่นชอบพอดแคสต์ของเธอ การได้เชื่อมต่อและเข้าถึงผู้ฟังในลักษณะนี้มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจ และทำให้ทุกความเจ็บปวด ทุกอุปสรรคที่ผ่านมาไม่สูญเปล่า ทว่าสำหรับ Taylor นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป้าหมายของเธอคือการขยายการสื่อสารสู่ผู้ฟังระดับนานาชาติ สร้างชุมชนที่แข็งแรงขึ้น ลดทอนอคติ และส่งต่อแรงบันดาลใจด้านการเยียวยาให้แพร่หลายไปในวงกว้างยิ่งกว่าเดิม
แขกรับเชิญในพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ไม่ได้ถูกเลือกมาเพียงเพราะความเชี่ยวชาญ แต่เพราะพวกเขามีประสบการณ์ตรงในประเด็นที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสพติด การถูกทารุณ การแสวงหาตัวตน การทำงานขายบริการทางเพศ ความอคติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต เธอเชื่อมั่นว่า ‘ทุกเรื่องราวมีคุณค่าในแบบของมัน’ ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเสพติดสร้างแรงบันดาลใจให้กับเธออย่างลึกซึ้ง ด้วยพลังความเข้มแข็งและการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน นักเคลื่อนไหวด้านการกุศลก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ทั้งความมุ่งมั่นและไฟในการทำงาน แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม

หนึ่งในแขกรับเชิญที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับ Taylor Srirat ก็คือ ‘มาม่าซัง’ Taylor กล่าวว่า ‘เธอทั้งฉลาด จริงใจ และเป็นเฟมินิสต์ที่เด็ดเดี่ยว ปกป้องลูกๆ ในแบบที่แม่แท้ๆ ของชั้นไม่ก็สามารถทำให้ชั้นเห็นว่าความเข้มแข็งและความรักที่แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นยังไง’ แม้ในโลกที่มักพยายามลบตัวตนของคนอย่างมาม่าซังออกไป เธอกลับยืนหยัดในความจริงของตัวเอง พร้อมสอน Taylor ให้เข้าใจถึงพลังของความกล้า การปกป้อง และการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
หนทางสู่ ‘Wellness’ ในประเทศไทย
Taylor Srirat มองว่าการตีตราเกี่ยวกับการเสพติดยังคงฝังลึกอยู่ในสังคมไทย
‘จนถึงวันนี้ มันยังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย’ เธอยังชี้ให้เห็นอีกว่า ความอับอายและความเงียบยิ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องพบเจอกับปัญหาที่หนักขึ้น หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเสพติดไม่ใช่สิ่งที่รักษาได้ยาก แต่มันคือปัญหาทางสุขภาพจิต และบ่อยครั้งมันถือเป็นกลไกในการรับมือกับความเจ็บปวด ความบอบช้ำ หรือความรู้สึกขาดการเชื่อมโยง ‘แทนที่จะได้รับการสนับสนุน ผู้คนกลับถูกตัดสิน’ เขาเสริม ว่า ‘มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำลายความเงียบ และเริ่มเปิดอกพูดคุยเรื่องการเสพติดด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ
Taylor Srirat ชี้ให้เห็นว่าในประเทศไทย การขาดความรู้ กฎเกณฑ์ และความตระหนักเรื่องกัญชา ทำให้การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นเรื่องเสี่ยง เขาเล่าว่า ‘ฉันเคยเห็นเด็กอายุแค่ 10 ขวบสูบกัญชาตามท้องถนน โดยไม่มีใครสอนหรือเตือนถึงความเสี่ยงที่จะตามมาเลย หากยังไม่มีการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาเสพติด สนับสนุนด้านสุขภาพจิต และสร้างความตระหนักในชุมชน การทำให้กัญชาถูกกฎหมายโดยไม่มีการศึกษา ก็เหมือนการสร้างความโกลาหลในอีกแง่หนึ่ง’
ในด้านที่สดใสขึ้น Taylor รู้สึกตื่นเต้นกับวงการสุขภาพของกรุงเทพฯ ที่กำลังเติบโต เธอกล่าวว่า ‘ตอนนี้มันบูมกว่าที่เคยเป็นมา’ และตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เขาได้ลองรับการเยียวยาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Crystal Healing และ Sound Bath ที่ช่วยทำให้จิตใจสงบ นอนหลับดีขึ้น และปรับสมดุลพลังงาน สิ่งที่เขาตื่นเต้นที่สุดคือการที่วงการสุขภาพกำลังจะกลายเป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโยคะกลุ่ม การทำสมาธิ Breathwork หรือ Community Sound Bath ที่เปิดให้เข้าร่วมทั้งในสวนสาธารณะและสตูดิโอ มันช่วยเชื่อมต่อและเยียวยาร่วมกัน เพราะการดูแลสุขภาพไม่ได้เป็นเรื่องของความสมบูรณ์แบบหรือการแข่งขันอีกต่อไป แต่มันคือการอยู่กับปัจจุบันและดูแลตัวเองให้ดีต่างหาก’

ก่อนจบบทสนทนาในครั้งนี้ Taylor ได้ฝากข้อคิดเอาไว้ว่า ‘จงเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากเป็น และเดินตามความฝันของคุณ แม้มันจะเป็นฝันที่น่ากลัวก็ตาม ปล่อยให้ความรักเป็นตัวนำทาง อย่าไปกลัว เพราะคุณสามารถทำได้ทุกอย่าง หากใส่ทั้งหัวใจและสมองลงไป อย่าให้ใครหรืออะไรมาทำให้แสงที่มีในตัวของคุณดับลง จงจำไว้ว่า คุณทรงพลัง คุณคู่ควร และคุณคือฮีโร่ของตัวเอง’