World Class Thailand 2022
World Class Thailand 2022

10 บาร์และเครื่องดื่มพิเศษ จากเวที World Class Thailand 2022

ขอแนะนำเครื่องดื่มพิเศษที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการแข่งขันนี้โดยเฉพาะ

เขียนโดย
Time Out Bangkok editors
การโฆษณา

กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปสองปีช่วงโควิด กับการแข่งขัน World Class Cocktail Thailand 2022 ที่ทาง Diageo Moet Henessy Thailand เปิดขึ้นเพื่อพัฒนาและผลักดันศักยภาพของบาร์เทนเดอร์ไทย ผ่านการเทนนิ่งเพื่อแข่งขันในโปรเจ็คต์ระดับโลก โดยปีนี้ผู้ชนะในประเทศไทย คือ ‘สหรัฐ แก้วคง’ จาก Vesper Cocktail Bar  และได้เดินทางไปร่วมแข่งขัน World Class Global Final ที่ออสเตรเลียเมื่อวันที่ 12-15 กันยายนที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

ขอแนะนำเครื่องดื่มพิเศษที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการแข่งขันนี้โดยเฉพาะ จากผู้เข้าแข่งขันในรอบรองชนะเลิศในปีนี้ ร้านไหนมีเมนูไหนน่าสนใจบ้าง เช็กได้เลย

Vesper

  • Bitter Than Gimlet โดย ‘สหรัฐ แก้วคง’

 

ค็อกเทลในโจทย์ Aperitf - Digestif แก้วนี้ทวิสต์มาจากคลาสสิกค็อกเทลชื่อ Gimlet โดยบาร์เทนเดอร์ตั้งใจให้เป็น Digestive หรือดริงก์หลังมื้ออาหาร แรงบันดาลใจมาจากอาหารมื้อหนัก เช่น main course ซึ่งบางเมนูอาจจะมีการเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสและเครื่องเคียงต่างๆ ที่มีความเข้มข้น เช่น เกรวี่ซอส ครีมชีส ฯลฯ

หลังจากกินอาหารรสชาติเข้มข้น บาร์เทนเดอร์เลยอยากตัดความมันหรือความเลี่ยนของอาหารด้วยเครื่องดื่มที่มีความสดชื่นจาก Citrus และ Cynar ซึ่งเป็นเหล้าขมจากอิตาลี่ และยังใส่ความเป็นไทยนิดหน่อยด้วยการนำเอามะกรูดไปทำเป็นคอร์เดียล

 

Bar Scofflaws

  • Sleepy Granny โดย ‘กันตฤทธิ์ ร่วมทองรัตน์’

ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมากจากเครื่องดื่มหลังมื้ออาหาร เบสด้วย Johnnie Walker Black Lebel และมีส่วนผสมของโฮจิฉะ แอปเปิลเขียว โยเกิร์ต เลม่อน และน้ำเชื่อม ซึ่งทั้งหมดมีสรรพคุณช่วยย่อย มีไฟเบอร์และโพรไบโอติกสูง เหมาะสำหรับจิบหลังมื้ออาหาร

การโฆษณา

#Findthelockerroom

 

  • Heal me please โดย ‘มณฑาทิพย์ ลิลิตสนอง’

แก้วนี้บาร์เทนเดอร์ได้แรงบันดาลใจจากตอนตกงานช่วงโควิด-19 และใช้เวลาว่างไปเรียนรู้เกี่ยวกับไพ่ทาโรต์เพราะการดูไพ่ทาโรต์ทำให้ได้คุยกับตัวเอง ช่วยให้คลายเครียดและมีอะไรให้โฟกัสในช่วงนั้น

Heal me please จึงเป็นค็อกเทลที่ตีความจากไพ่ทาโรต์ เบสด้วย Ketel One Vodka ที่มีจุดเด่นคือความนุ่ม และมีส่วนผสมของลิเคียว 2 ตัวที่ช่วยเติมความฟรุตตี้และครีมมี่ เพิ่มความซับซ้อนด้วยบิตเทอร์

มีเซอร์ไพรส์คนดื่มด้วยครีมวาซาบิที่ขอบแก้ว เป็นตัวแทนของรสชาติจากไพ่ The Tower ซึ่งหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน เหมือนสถานการณ์โควิด-19 และบนครีมวาซาบิก็จะมีผงเกสรผึ้งอยู่ด้วย ซึ่งสื่อถึงไพ่ The Strength หมายถึง ต้องเข้มแข็งและมีสุขภาพแข็งแรง

 

  • Ice Cold Pina โดย ‘ธนโชติ โลหะนิมิต’

ทวิสต์มาจาก Piña colada เป็นค็อกเทลแนวรีเฟรชชิง เบสด้วยวอดก้าอินฟิวส์ใบเตยและมะพร้าวแก้ว ผสมน้ำมะพร้าวอินฟิวส์ดอกอัญชันแห้งเสิร์ฟคู่กับมะม่วงสับปะรดซอร์เบต์และเติมความนัตตี้จากเฮเซลนัตลิเคียว แก้วนี้เป็นค็อกเทลที่อยู่ในเมนูหมวด Hall of Fame หรือแก้วขายดีตลอดกาลของร้าน #Findthelockerroom

Firefly Bar

  • Carica Fizz โดย ‘โกศิลป์ ขำจา’

 

แรงบันดาลแก้วนี้มาจากอาหารอีสานยอดนิยมอย่าง ‘ส้มตำ’ โดยคำว่า Carica ในภาษาละตินแปลว่า มะละกอ แก้วนี้เบสด้วยดรายจิน ผสมเลม่อนและ Tamarind Oleo saccharum แล้วออนท็อปด้วยโซดามะละกอโฮมเมด ทำให้แก้วนี้มีรสชาติและกลิ่นของสมุนไพรเป็นจุดเด่น เหมาะกับการ Aperitivo หรือวัฒนธรรมการดื่มยามบ่าย (หรือเย็น) ของชาวอิตาลี แนะนำให้ดื่มช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกที่ชายหาดก่อนที่จะเริ่มดินเนอร์

 

  • Choco black โดย ‘โกศิลป์ ขำจา’

 

ค็อกเทลสไตล์ digestif หรือค็อกเทลสำหรับดื่มหลังมื้ออาหารเพื่อช่วยย่อยแก้วนี้ มีองค์ประกอบที่สื่อถึง Firefly Bar ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเบสเหล้าที่ใช้ Johnnie Walker Black Lebel ที่มีกลิ่นสโมกโดดเด่น ซึ่งที่ Firefly Bar ก็มีห้องสำหรับสูบซิการ์โดยเฉพาะ และมีส่วนผสมของ Amaro Montenegro 

 เหล้าสมุนไพรอิตาลี เวอร์มุธ และช็อกโกแลต ที่ช่วยให้แก้วนี้เหมาะกับการจิบและนั่งฟังดนตรีแจ๊สไปด้วย

การโฆษณา

Rabbit Hole

  • Mignardise โดย ‘กชวรรณ สกุลวรรณดี’

Mignardise หรือ ช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ ที่มักเสิร์ฟให้กินคู่กับชาเป็นการปิดท้ายมื้ออาหาร ส่วนมากจะเสิร์ฟพร้อมกัน 4 ชิ้น เรียกว่า petit four คือแรงบันดาลใจของค็อกเทลแก้วนี้ บาร์เทนเดอร์จึงใช้ชื่อเดียวกัน ส่วนผสมของแก้วนี้ก็มี 4 อย่าง ได้แก่ Johnnie Walker Black Lebel เป็นเบส ตามด้วย

Spicy almond liquor, PX Sherry และ Chocolate Bitter

Ms.Jigger

 

  • Tamarino โดย ‘ธนมน สุทนต์’

ความน่าสนใจของ Tamarino คือการนำวัตถุดิบไทยๆ อย่าง ‘มะขาม’ มาเพิ่มมูลค่าในรูปแบบค็อกเทลสำหรับดื่มก่อนมื้ออาหารที่ใช้ Tanqueray Gin เป็นเบส ผสมกับคอร์เดียลมะขามที่ให้รสเปรี้ยว หวาน เค็ม ตัดด้วยความเปรี้ยวขององุ่นขาวเล็กน้อย ตกแต่งด้วยน้ำมันมะกอก ชาไทยและใบเตยที่ผ่านกระบวนการซูวีให้เข้ากันเพื่อให้ได้กลิ่นสไตล์ไทยๆ และทำให้ดื่มง่ายขึ้น

 

 

  • Peated Mango โดย ‘ธนมน สุทนต์’

แก้วนี้เหมาะกับดื่มหลังมื้ออาหาร เป็นเหมือนขนมหวานไปในตัวเพราะได้แรงบันดาลใจมากจาก mango lassi หรือโยเกิร์ตปั่นใส่มะม่วง ส่วนผสมของแก้วนี้ใช้ Johnnie Walker Black label เป็นเบส ผสมกับกรีกโยเกิร์ตและข้าวเหนียวมะม่วงซอร์เบต์



  • Maa-lai Spritz โดย ‘ธนมน สุทนต์’ 

เครื่องดื่มที่เป็นตัวแทนของร้าน Ms.Jigger ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ขณะเดียวกันก็นำเสนอความเป็นไทยเพื่อสื่อถึงโรงแรมคิมป์ตัน มาลัย ที่ตั้งของร้าน แก้วนี้เลยออกมาในรูปแบบของ Spritz ค็อกเทลที่ชาวอิตาลีนิยมดื่มระหว่างวันหรือดื่มในมื้อบรันช์

Maa-lai Spritz เบสด้วย Ketel one Vodka และส่วนผสมเด่นๆ คือ Maa-lai Silpin Syrup เป็นไซรัปที่มีกลิ่นของกุหลาบและดอกมะลิที่สื่อถึงความเป็นไทยได้อย่างดี

การโฆษณา

Than Lab

  • Calme โดย ‘พฤฒ นทีพายัพทิศ’

‘เคลิ้ม’ คือชื่อไทยของค็อกเทลแก้วนี้ ซึ่งได้รางวัล The Best Signature แรงบันดาลใจมาจากความงดงามของวิถีชีวิตชาวเหนือ เป็นค็อกเทลรสหวานอมเปรี้ยว มีความนุ่มนวล ให้กลิ่นโทนดอกไม้และผลไม้ ดื่มง่าย

แก้วนี้เบสด้วย Tanqueray Gin อินฟิวส์กับกับดอกแก้วสดตามฤดู โดยดอกแก้วจะมีกลิ่นคล้ายดอกส้มจึงเข้ากันดีกับ Tanqueray Gin ที่ให้ทั้งความหวานและกลิ่นซิตรัส ผสมกับ pink guava purify ที่นำฝรั่งชมพูไปเคลียริฟายกับนม และไซรัปเปรี้ยวกลิ่นดอกมะลิที่มีส่วนผสมของชาซีลอนเชียงราย เพิ่มมิติของกลิ่นด้วยสเปรย์กลิ่นโหระพา ตะไคร้ ใบมะกรูด

The Continental Bar

 

  • The Origin โดย ‘ภาปุณณ์ บุญรักษาตระกูล’

ค็อกเทลสไตล์ Apéritif ที่ได้แรงบันดาลใจจาก sunomono salad สลัดรสเปรี้ยวสไตล์ญี่ปุ่น เพราะบาร์เทนเดอร์เป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นด้วย แก้วนี้เบสด้วย Tanqueray Gin ผสมกับไซรัปที่ทำจากน้ำส้มสายชูญี่ปุ่น 4 อย่าง และใส่สาเกเพื่อเชื่อมรสชาติระหว่างจินกับไซรัป

การโฆษณา

Bitter Truth

  • Let’s Survive Forever โดย ‘ธนัช สุทธิรักษ์’

Let’s Survive Forever ทวิสต์มาจาก Bee’s Knee คลาสสิกค็อกเทลที่เกิดขึ้นในยุคที่อเมริกาห้ามขายเหล้า สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงล็อกดาวน์ที่บาร์ในไทยถูกสั่งปิด ช่วงนั้นร้าน Bitter Truth เปลี่ยนไปขายอาหารแทน บาร์เทนเดอร์จึงนำวัตถุดิบที่อยู่ในอาหารไทยอย่าง น้ำมะขามเปียก มาใส่ในแก้วนี้ รวมถึงมีส่วนผสมของกาแฟซึ่งเป็นสินค้าที่มาจากการรวมตัวของผู้ประกอบการบาร์ในเชียงใหม่ในช่วงล็อกดาวน์ และใช้ Tanqueray Gin เป็นเบส

BKK Social Club

  • Mingling โดย ‘ชัญญานุช ยอดสุวรรณ’

Mingling เป็นดริงก์ Apéritif สำหรับดื่มก่อนอาหาร ชื่อ Mingling มาจากคำว่า Mingle หรือการพบปะสังสรรค์กันก่อนมื้ออาหาร หรือกิจกรรม Aperitivo หรือการดื่มยามบ่าย (หรือเย็น) ของชาวอิตาลี แก้วนี้เป็นค็อกเทลไสตล์ไฮบอล บาร์เทนเดอร์ใช้ Johnnie Walker Black Lebel เป็นเบส และด้วยความที่เป็น Apéritif จึงเติมความเซเวอรี่ด้วยพุทราเค็มที่ทำเป็นคอร์เดียล ให้รสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ บวกกับความสโมกกี้ของ Johnnie Walker Black Lebel

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา