Opium Bar

เราไปที่นี่ครั้งแรกตอน Restaurant.Potong ของ เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม เปิดร้านใหม่ๆ ช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นได้แค่เดินดูรอบๆ บาร์ เพราะบาร์ยังไม่เสร็จดี คิดในใจว่าถ้าที่นี่เปิดยังไงก็ต้องกลับมา และวันนี้ Opium Bar ก็เปิดประตูให้เราเข้าไปนั่งจิบเครื่องดื่มได้แล้ว

บาร์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Restaurant.Potong ที่อยู่ในตึกเก่า 5 ชั้นของบรรพบุรุษเชฟ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นร้านขายยาจีนและถูกเช่าเปิดเป็นร้านขายรองเท้าอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่เชฟจะเข้ามารับช่วงต่อ 

Opium หรือ ฝิ่น ตั้งชื่อตามเรื่องราวเบื้องหลังของห้องซึ่งเมื่อก่อนเป็นห้องสูบฝิ่นของคุณเทียดของเชฟแพม ซึ่งถือไลฟ์สไตล์หนึ่งของพ่อค้าจีนในยุคนั้น และเหมือนกับพื้นที่อื่นๆ ของตึก เชฟแพมเลือกที่จะตกแต่งห้องนี้โดยเก็บความเก่าไว้แล้วใส่ความใหม่ลงไปให้เข้ากัน บาร์จึงออกมาในมาดเข้มขรึม มีกลิ่นไอของความวินเทจปนอยู่กับความหรูแบบเท่ๆ ดูเก่าแต่ไม่แก่

ผนังร้านดูคล้ายฉากกั้นห้องสไตล์จีน มีลายดอกโบตั๋นสีทองลอยเด่นอยู่บนพื้นหลังสีดำ เพิ่มความเท่แบบวินเทจด้วยโซฟาหนังเย็บกระดุมสีเขียวเข้มมันวาว และทั้งหมดอยู่ในโครงสร้างเดิมของห้อง เป็นผลงานการออกแบบของบริษัท Sojourn sojourn ที่เคยออกแบบร้านอาหารไทย Burapa ซึ่งจะว่าไปก็ สไตล์ใกล้เคียงกัน

ห้องนี้ไม่มีฝิ่นให้สูบแล้ว มีเพียงเครื่องดื่มที่โดดเด่นด้วยวัตถุดิบที่ทางร้านคราฟต์เองแทบจะทุกอย่าง นำเสนอคอนเซ็ปต์ Liquid Surreality พาเราเข้าสู่โลกเหนือจริงของการดื่ม โดย เค-อานนท์ ฮุนตระกูล บาร์ไดเรกเตอร์ชาวไทยที่เกิดและโตที่ฝรั่งเศส เป็นเจ้าของร้านอาหาร บาร์ และร้านกาแฟหลายที่ในทั้งสองประเทศ ร่วมกับ Matteo Cadeddu เฮดบาร์เทนเดอร์ชาวอิตาลีที่ออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในบาร์มาแล้วทั่วโลกนานกว่า 13 ปี

ที่นี่มีเมนูความหนา 17 หน้า มีเครื่องดื่มให้สั่งนับร้อยรายการ เยอะจริง แต่ก็แบ่งเป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจง่าย ไล่เรียงระดับความเข้มข้นของเครื่องดื่มอย่างมีศิลปะ เช่น Apéritif หมวดแรกที่เหมาะกับการดื่มเบาๆ เพื่ออุ่นเครื่อง มีแก้วแนะนำคือ Kir Yaowaraj (300 บาท) หวานๆ ซ่าๆ ทวิสต์มาจาก Kir คลาสสิกค็อกเทลยอดนิยมของฝรั่งเศส มีส่วนผสมของ Crème de cassis, Chardonnay และชาจีน

สำหรับซิกเนเจอร์ค็อกเทลมีมากกว่า 20 แก้ว ใช้คาแรกเตอร์ของคลาสสิกค็อกเทลเป็นเบสแล้วต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา อย่างแก้วที่เราสั่ง Nipponlay (480 บาท) ทวิสต์มาจาก Rosita แทนที่เตกีลาด้วยจินที่ร้านอินฟิวส์เอง ขอแทรกตรงนี้ว่า ที่ร้านมีจิน 4 แบบที่อินฟิวส์เองเพื่อให้ได้กลิ่นที่เป็นตัวแทนของ 4 ภาคในประเทศไทย

แก้วนี้ - Nipponlay ใช้จินตัวแทนภาคใต้ที่มีความเค็มนิดๆ มีกลิ่นมะพร้าวและสาหร่ายทะเล สาเก และดรายเวอร์มุธ เป็น spirit forward ที่ดื่มง่ายและมีความซับซ้อนของกลิ่น

แก้วต่อมาคือ Staycation (380 บาท) ให้นึกถึง Aviation ที่เบสด้วยจินและใช้ส่วนผสมเดียวกันคือลิเคียว 2 ตัว อย่าง Marashino และ Crème de violette แล้วเติมกลิ่นด้วยเหล้ากลิ่นโกโก้ของทางร้าน อีกแก้วคือ Opium Spritz (350 บาท) สำหรับคนชอบดื่มอะไรซ่าๆ อย่าง Aperol Spritz ความพิเศษอยู่ที่การใช้ยาสตรีปอคุนเอี๊ยบ๊อของห้างขายยาโพทงมาเป็นส่วนผสม ทำให้แก้วนี้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

สุดท้ายที่อยากแนะนำคือค็อกเทลที่เสิร์ฟในขวด Porthole Infuser มีให้เลือก 3 เมนู (1,900-2,300 บาท) สั่งแล้วบาร์เทนเดอร์จะเลือกวัตถุดิบที่เข้ากับเครื่องดื่มแล้วใส่ลงไปในขวด เหมาะสำหรับดื่ม 2-3 คน จิบไปคุยไป ทุกครั้งที่รินแก้วใหม่กลิ่นและรสชาติของค็อกเทลก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

นอกจากบาร์หลักที่ชั้น 4 Opium Bar ยังมีห้องไพรเวทที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ รวมถึงโซนรูฟท็อปซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น ไม่ต้องมาดินเนอร์ที่ร้านอาหารข้างล่าง ก็ขึ้นมานั่งจิบเครื่องดื่มที่นี่ได้ และถ้าอยู่ไหวถึงเที่ยงคืน ทางร้านก็จะมีข้าวต้มมาเสิร์ฟให้ด้วย

Opium Bar ยังอยู่ในช่วง soft opening ร้านเปิดทุกวันพฤหัสบดี-จันทร์ (ปิดอังคาร-พุธ) ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป แนะนำให้จองก่อนที่เบอร์ 082-979-3950