Ray Cocktail & Bite

  • Bars
  • เจริญกรุง
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ
  1. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  2. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  3. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  4. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  5. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  6. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  7. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  8. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  9. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  10. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  11. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  12. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
  13. Ray Cocktail & Bite
    Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
การโฆษณา

Time Out พูดว่า

5 จาก 5 ดาว

Ray Cocktail & Bite ผลผลิตจากประสบการข้นคลั่กของทีม Sugar Ray การพบกันของค็อกเทล อาหาร และงานดีไซน์ที่ดีงามและลงตัวทุกองค์ประกอบ

หลังจาก Rimshot Bar ติดตลาดไปเป็นที่เรียบร้อย ตามรอยบาร์ในเครือเดียวกันทั้ง 6 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned, Q&A, Thaipioka, Sugarray Apartment, Alone Together และ Bar Glide ทีม Sugar Ray ก็มูฟออนต่อกับโปรเจ็กต์ล่าสุดที่ใช้เวลาฟูมฟักอยู่หลายปีอย่าง Ray Cocktail & Bite บาร์ลำดับที่ 8 ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมเดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ซอยเจริญกรุง 72/1

Ray คือผลผลิตจากประสบการณ์ข้นคลั่กที่สะท้อนตัวตนและแก่นแท้ของสิ่งที่ทีม Sugar Ray ทำมาตลอดระยะเวลา 8-9 ปีในแวดวงบาร์ โดยเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่ว่า “ต้องทำให้มันสุดทาง” เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าควบคู่กับคราฟต์แมนชิปอันโดดเด่นสไตล์ Sugar Ray

Cocktail & Bite คือองค์ประกอบหลักที่ทางร้านตั้งใจออกแบบมาให้เข้ากัน (แต่ไม่ได้ถึงขั้นค็อกเทลแพริ่ง) ฝั่งเครื่องดื่มแน่นอนว่าออกแบบและพัฒนาโดยทีม Sugar Ray ก่อนส่งไม้ต่อให้ ‘เชฟปาร์ค-ภัทรวิทย์ จันทร์ไทย’ เป็นคนออกแบบเมนูอาหาร

เหตุผลที่เลือกเชฟปาร์คมาดูแลในส่วนของอาหารก็เพราะก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกันที่ร้าน Sugarray Apartment เชฟปาร์คจึงมีความเข้าใจในความเป็น Sugar Ray รวมถึงเข้าใจสิ่งที่ Ray อยากทำ และเข้าใจรูปแบบร้านว่าปลายทางจริงๆ แล้วคือการเป็นค็อกเทลบาร์ที่มีอาหารฟูลคอร์สเสิร์ฟ อาหารที่ออกแบบมาจึงต้องเหมาะกับการกินภายใต้บรรยากาศที่เป็นบาร์

เรื่องงานดีไซน์ก็ถือเป็นจุดเด่นของร้านและแตกต่างจากบาร์ทั่วไป เพราะบาร์ที่นี่จะเป็นบาร์ยาวที่ถูกออกแบบให้เป็นรูปทรงคล้ายเลขแปดและตรงกลาง – ซึ่งอยู่กลางร้านจริงๆ จะเป็นพื้นที่ชงเครื่องดื่มของบาร์เทนเดอร์ พูดง่ายๆ ก็คือลูกค้าจะนั่งล้อมบาร์เทนเดอร์นั่นเอง

จุดนี้เป็นความตั้งใจของคนออกแบบที่อยากให้โซนบาร์เป็นเซ็นเตอร์ของทุกอย่างเพื่อย้ำว่าค็อกเทลคือหัวใจของบาร์แห่งนี้และทุกคนจะได้รับประสบการณ์เดียวกันไม่ว่าจะนั่งตรงไหนของร้าน โดยมีปล่องโคมไฟที่ยื่นยาวจากเพดานสีขาวรูปวงรีลงมาตรงกลางร้านเป็นเส้นนำสายตาที่ใครก็ต้องมอง

จุดเด่นของทั้งค็อกเทลและอาหารของ Ray คือการใส่กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นลงไปผ่านทั้งวัตถุดิบ แนวคิด วิธีการปรุงหรือชง ภายใต้โจทย์ที่สนุกและท้าทาย แล้วนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง คือจะไม่ได้ญี่ปุ๊นญี่ปุ่น แต่ชิมแล้วจะมีเซนส์ความเป็นญี่ปุ่นอยู่ อย่างดริงก์แรกที่เราอยากแนะนำคือ Genmai-Guava Fizz (380 บาท) ค็อกเทลสไตล์กึ่ง Fizz กึ่ง Highball ที่ใช้โชจู (Shochu) หรือที่เรียกว่า ‘วอดก้าญี่ปุ่น’ เป็นเบสหลัก มีส่วนผสมของคอร์เดียลชาข้าวคั่วญี่ปุ่นและน้ำฝรั่งสีชมพู ทำให้มีกลิ่นหอม ดื่มง่าย เข้ากับอาหารได้ดี เหมาะกับดื่มเป็นแก้วแรก

ถัดมาเป็น Anpanhattan (680 บาท) ที่ทวิสต์มาจากคลาสสิกค็อกเทลที่เราคุ้นเคยอย่าง Manhattan แต่เพิ่มความสนุกด้วยวัตถุดิบที่อย่างอันปัง (Anpan) หรือขนมปังหวานสอดไส้ของญี่ปุ่น ออกมาเป็น Manhattan ที่มีความฟรุ้ตตี้แต่ไม่ได้ติดหวาน ส่วนแก้วที่เซอร์ไพรส์เรามากคือ Natsu Coffee (400 บาท) ทวิสต์มาจาก Espresso Martini แต่ใช้โชจูแทนวอดก้าและใช้กาแฟโคลด์บรูวแทนช็อตกาแฟ เพิ่มลูกเล่นด้วยโฟมนมถั่วเหลืองอุ่นๆ ที่ด้านบน ปกติจะไม่ใช่แฟนค็อกเทลกาแฟแต่แก้วนี้กลมกล่อมจนชนะใจไปเลย

นอกจากนี้ก็ยังมี Sake Bamboo (500 บาท) ทวิสต์มาจากคลาสสิกค็อกเทลชื่อ Bamboo โดยใช้สาเกเป็นเบส ตามด้วยเหล้าน้ำผึ้ง ลิเคียวร์ ท็อปด้วยฮันนี่แอร์หรือฟองสีขาวนุ่มๆ ที่ทำจากน้ำผึ้ง จริงๆ แล้วแก้วนี้เป็นสปิริตฟอร์เวิร์ด แต่ Low ABV ดื่มง่าย และ Shoyu Bloody Mary (440 บาท) Bloody Mary ที่อัดแน่นด้วยความอูมามิจากส่วนผสมสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ซุปดาชิ สาหร่ายคมบุ ปลาแห้ง มิริน โชยุ มิโสะ เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยทาบาสโกและพริกไทย ตกแต่งด้วยมะเขือเทศดองโฮมเมด

สำหรับอาหารของเชฟปาร์คก็มีให้สั่งตั้งแต่สลัด สเต๊ก ไปจนถึงข้าวหน้าเนื้อ ต้องการกับแกล้ม กินรองท้องแบบเบาๆ หรือกินเอาอิ่มก็เลือกสั่งได้ตามระดับความหิว และทุกเมนูก็ยังคงคลุกเคล้าความเป็นญี่ปุ่นเช่นเดียวกับค็อกเทล เช่น Wild Rocket Salad สลัดร็อกเก็ตโรยด้วยปลาแห้งคลุกน้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น, Sugi Ceviche ยำปลาดิบจากเปรูที่ใช้ปลาซุกิหรือปลาช่อนทะเลเป็นวัตถุดิบหลัก เสิร์ฟพร้อมซอสรสชาติคล้ายซีฟู้ดแต่มีความครีมมี่

Grilled Beef Tongue ลิ้นวัววากิวที่ถูกทำให้สุกด้วยการซูวีด์ ก่อนนำไปย่างต่อด้วยวิธีการปรุงแบบทาทากิที่เน้นให้ด้านนอกสุกแต่ข้างในยังชุ่มฉ่ำ และ Grilled Beef on Rice ข้าวหน้าเนื้อจานเด็ดที่ใช้เนื้อสันนอกวากิวจากญี่ปุ่นย่างให้สุกพอดีแล้วเสร์ฟบนข้าวผัดกระเทียมหอมๆ

นี่คืออีกหนึ่งร้านที่เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในทุกๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม อาหาร งานดีไซน์ รวมถึงการบริการโดยรวมของร้าน ที่ทุกอย่างน่าประทับใจจนอยากบอกต่อ

Ray Cocktail & Bite อยู่ที่โรงแรมเดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ซอยเจริญกรุง 72/1 เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 18.30 - 01.00 น. (ปิดรับออร์เดอร์ 00.30 น.)

Suriyan Panomai
เขียนโดย
Suriyan Panomai

รายละเอียด

ที่อยู่
โรงแรมเดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ 2052/7-9 เจริญกรุงซอย 72/1 ชั้น G แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม
Bangkok
10120
การโฆษณา
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ