Piyarat Khun Tae Kaljareuk
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ชีวิตคนบันเทิงที่ไม่ได้บันเทิงอย่างที่คิดของ เต้-ปิยรัฐ กัลย์จาฤก

หัวเรือใหญ่กันตนาพูดเรื่องธุรกิจ, LGBT, Drag Race Thailand, และโรคซึมเศร้า

Top Koaysomboon
เขียนโดย
Top Koaysomboon
การโฆษณา

คุณคิดว่าคุณรู้จักคุณเต้-ปิยรัฐ กัลย์จาฤก มากแค่ไหน? แต่งตัวเต็ม แต่งหน้าจัด วิกผมยาว เหวี่ยง เอาแต่ใจ คุณคิดว่านั่นคือตัวจริงของทายาทกันตนาคนนี้ หรือสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ฉากหน้าของตัวตนจริงๆ ที่เขาซ่อนไว้... คุณคิดว่าการเกิดมาในหนึ่งในครอบครัวบันเทิงที่เป็นเจ้าของหนึ่งในธุรกิจบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยถือเป็นของขวัญจากฟ้าจริงหรือเปล่า?

Time Out Bangkok พาคุณไปรู้จักกับอีกด้านของเต้-ปิยรัฐ ณ วันที่เขาพร้อมสร้างกระแสอีกครั้งกับการเปิดตัว Drag Race Thailand อิดิชั่นท้องถิ่นแรกของโลกของรายการแข่งขัน drag queen ที่โด่งดังที่สุดในโลก RuPual's Drag Race   

ถ้ามองย้อนกลับไปตอนยังเด็ก การเติบโตขึ้นมาในบ้านที่ถ่ายละครตลอดเวลามันรู้สึกอย่างไร

มันก็… รำคาญ (หัวเราะ) เพราะว่าตื่นมาก็เจอดาราอยู่หน้าห้อง อันนี้พูดจริงๆ แล้วเห็นดารานี่คือเบื่อมาก บางทีไม่อยากพูดด้วย จนกลายเป็นคนนิสัยไม่ดี เป็นคนก้าวร้าวว่า แบบ...เห็นแล้วทำไมไม่ไหว้ ถึงได้หนีไปอยู่เมืองนอกไง แต่ถามว่าชอบ attention ไหม...ชอบนะ เดินไปมีคนรู้จักดีไหม...ดี ดีอยู่แล้ว สำหรับคนอื่นมีคนรู้จักอาจจะไม่ได้คาดหวัง แต่กับคุณเต้ คนรู้จักแล้วเขาคาดหวังด้วยว่าจะเป็นแบบคุณพ่อ ความคาดหวังกับแรง pressure มันไม่เหมือนกันนะ เราถึงบอกว่าอย่างเข้าใจผิด ชอบ..ที่มีคนรักคนเอ็นดู ไม่มีใครไม่ชอบหรอก แต่ความคาดหวังไม่เหมือนกัน ถึงได้หนีเนรเทศตัวเองไป แต่วันนึงมันเป็นหน้านี่ก็ต้องกลับมา แล้วก็เรียนรู้อยู่กับมันให้ได้ คุณเต้เคยเป็นถึงขึ้นซึมเศร้ามาแล้วนะ โรคนี้เป็นมาก่อนเพื่อน ก่อนใครเลยอย่ามาทำตามแฟชั่นฉัน (หัวเราะ)

 

เป็นโรคซึมเศร้าเลยหรอครับ

เป็นมาก่อน แต่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง เราหาคุณหมอรักษา [ต้องเข้าใจว่า] เราไม่ได้มีชีวิตปกติ คือคุณเต้เกิดมาใน entertainment industry คือเกิดมาก็มีไฟส่องเลย เราไม่ได้รู้สึกยินดียินร้าย บางคนพูดว่า โห คุณเต้ประสบความสำเร็จ ส่วนตัวคุณเต้ไม่รู้สึกเพราะเห็นมาหมดแล้ว วัฏจักรคืออะไร? เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดัง ดับ ดับแล้วเกิดใหม่อีก เห็นมาหมดแล้ว เห็นมาตั้งแต่เด็ก อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับศิลปินคนนึง ดาราคนนึง ศิลปินไส้แห้งจนตายก็มี วันนึงไม่ดังแล้วดังก็มี ดังแล้วดับแล้วกลับมาดังใหม่ก็มี คือเห็นมาหมดแล้วจนปลง และไม่คิดว่าจะเอาตรงนี้มาใส่เป็นส่วนหนึ่งในปัจจัย แต่ควรจะคิดว่าเราได้ contribute อะไรใหม่ๆ ให้กับวงการมากกว่า อันนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่คุณเต้ตัดสินใจทำ ไม่อย่างนั้นคุณเต้ก็จะทำเรื่องเดิม คุณเต้ไม่ได้ถูกหล่อหลอมให้ทำเรื่องเดิมๆ

 

คุณเต้ก้าวข้ามอาการซึมเศร้ามาได้ยังไงครับ

เป็นเรื่องยากมาก ใครไม่เป็นไม่รู้ มันก้าวไม่ได้ หาหมอก็ช่วยได้แค่กินยา หรือช่วยประทังและชลอไป ที่เราเห็นข่าวว่าคนดับชีวิตตัวเองนี่เข้าใจได้เลย เพราะวันนึงเวลามันดิ่งมากๆ นี่มันดิ่งจริงๆ มันเหมือนตกอยู่ในหลุม แล้วใครโยนเชือกลงไป เชือกนั้นก็ไม่ถึงเราหรอก แต่วันนึงเมื่อเราแข็งแรงจริงๆ เมื่อเราพร้อมจริงๆ ดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุมได้นะ มันโอเคเลย มันไปเลย คุณเต้เลยขอให้กำลังใจว่า สำหรับคนเหล่านี้ คุยกับตัวเองดีๆ แล้วดึงตัวเองออกมาให้ได้ ไม่มีใครช่วยได้ อันนี้สำหรับคุณเต้นะ เพราะไม่มีใครช่วยชวยคุณเต้ได้ คุณเต้ต้องออกมาเอง แต่คนรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว นี่ต้องให้กำลังใจเขาและอย่าให้เขารู้สึกว่าเขาอยู่คนเดียว เพราะเขาจะรู้สึกว่าเขาอยู่คนเดียวเสมอ ให้กำลังใจไปเรื่อยๆ และอดทนกับเขานิดนึง เดี๋ยวเขาออกมาได้แล้วจะดี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะออกมาได้หรือเปล่า

 

"ใครไม่เป็นไม่รู้ มันก้าวไม่ได้ ที่เราเห็นข่าวว่าคนดับชีวิตตัวเองนี่เข้าใจได้เลย เพราะวันนึงเวลามันดิ่งมากๆ นี่มันดิ่งจริงๆ มันเหมือนตกอยู่ในหลุม แล้วใครโยนเชือกลงไป เชือกนั้นก็ไม่ถึงเราหรอก"

 

คุณเต้เป็นหนึ่งในคนที่โชคดีที่ก้าวออกมาได้ แต่ใช้เวลานานมากนะ กลับไปเมืองนอก กลับมานี่ กลับไปใหม่ จนเริ่มทำงานนั้นแหละถึงออกมาได้ ก่อนหน้านั้นคุณเต้รู้สึกว่าคุเต้ไม่มีความสุขที่อยู่เมืองไทย เพราะว่า เอ๊ะ แค่เดินออกไปนอกบ้านข่าวก็เขียนด่าแล้ว สมัยนั้นยังไม่มี social media นะ ยังรู้สึกแย่เลย ทำไมฉันทำอะไรววะเนี่ย จะออกเทปเป็นนักก็มีแบบ… แหม พ่อเป็นนั่นนามสกุลนี่ ไปนั่น ไม่ดูความสามารถฉันเลยหรอ ก็จิตตก นั่นก็เป็นสาเหตุในช่วงนึงที่ไม่อยากอยู่เมืองไทย แต่พอมันก้าวผ่านนะ ก็ทำไมอ่ะ จะร้องเพลงแล้วใครจะทำไม การเปลี่ยนแค่วิธีคิดนี่คือเปลี่ยนชีวิตได้เลยเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธิบายยาก ต้องผ่านถึงจะรู้

เหมือนคุณเต้ที่เราเห็นทุกวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของตัวตนจริงของคุณเต้

ส่วนหนึ่ง ถึงได้บอกว่าคนเรา.. แม้ตัวคุณเต้เองก็เถอะ มักจะตัดสินคนเร็ว ตัดสินจากภายนอก ตัดสินจาก image ที่เราเห็นเสมอ ซึ่งไม่ผิด เพราะว่าสังคมมันเป็นแบบนั้น first impression บางทีก็คือทุกอย่าง แต่คุณเต้บอกเลยว่า คุณเต้ผ่านเรื่องมาไม่ง่าย จริงๆ (เน้นเสียง) ถาม record ได้เลย คุณเต้อยู่ high school ที่เมืองนอกอยู่โรงเรียนที่ดีม้ากกกก (ลากเสียง) ติดอันดับ top 10 ของ US มีแต่มหาเศรษฐีอยู่ทั้งนั้นเลย เป็น boarding school เจ็ดวัน [ต่อสัปดาห์] นี่โดนกระทำโดนแกล้งสารพัดเลย เพราะว่าอะไรเพราะเป็น LGBT นี่แหละ เป็นของแปลกอยู่ในโรงเรียน โดนมาตลอด แล้วต้องพิสูจน์ตัวเองโดยตลอด เป็น dance captain เล่น musical ร้องเพลง ทำกืจกรรม ขึ้นเวที คือแบบเป็นช่วงที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ แต่ก็เป็นช่วงที่โดนแกล้วตลอดเหมือนกัน

 

"คนเรา.. แม้ตัวคุณเต้เองก็เถอะ มักจะตัดสินคนเร็ว ตัดสินจากภายนอก ตัดสินจาก image ที่เราเห็นเสมอ ซึ่งไม่ผิด เพราะว่าสังคมมันเป็นแบบนั้น"

 

ห้องนอนที่คุณเต้นอนเนี่ย โรงเรียนยังต้องให้คุณเต้นอนติดกับอาจารย์ตลอด เพราะว่าเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับมนุษย์คนนี้ เพราะว่า I look different. I’ve always looked different. And I have a big personality even without costumes or whatever คือเป็นแบบนี้ เดินไปปุ๊บมันแตกต่างเลย โรงเรียนนี้ก็แตกต่างอยู่แล้ว มันเป็น boarding school ที่ conservative มาก conservative society นิดนึง แล้วยังมีแบ่ง legally bland กลุ่มนึง seniority ส่วนอีนี่ นอกจากจะเป็นคนเอเชีย แล้วยังไม่เหมือนคนอื่นอีก คิดดูสิ พิการซ้ำซ้อนนะ คือแปลกซ้อนแปลก ไม่ธรรมดา เพราฉะนั้นก็ไม่ได้เรื่องง่าย

        เราเรียน psychology เป็นปีสุดท้ายของ senior ที่โน่น เราต้องพรีเซนต์หน้าห้อง เราก็พรีเซนต์เรื่องนี้ เราขึ้นไปยืนแล้วก็ address กับคลาสว่า คุณรู้ไหมว่าคุณทำอะไรกับฉัน แล้วฉันผิดอะไร แล้วคุณน่ะ จริงๆ แล้วมีปัญหาอะไร คุณเป็น cops of the world หรอที่จะมาบอกว่านี่คือถูกนี่คือผิด แล้วคุณรู้่ไหมว่าคุณทำอะไรฉันบ้าง แล้วฉันเจออะไรกับพ่อแม่พี่น้องฉันบ้าง พูดออกไปเลย พอพูดจบ จบคลาสปุ๊บ คนที่แกล้งคุณเต้ตลอดเดินเข้ามา shake hand แล้วบอกคุณเต้ว่า "Sorry, I apologize."

 

เหมือนช่วงชีวิตในรั้วโรงเรียนประจำทำได้เป็นคนแกร่ง

ใช่ ใช่เลย เป็นปีที่หล่อหลอมให้เราเป็นเรา เพราะว่าเรารู้ว่าเราต้องแข่งในระดับโลก ยืนอยู่กับฝรั่งซึ่งมาจากทั่วโลกจริงๆ แล้วมันเป็นโรงเรียที่ยาก แล้วเราเรียนจบและเราเรียนดีด้วย แล้วก็สู้ สู้โดยวิธีสันติ สู้ด้วยความสามารถ สู้ด้วยความอดทน เรียนหนังสือไม่ได้ก็อ่านหนังสือมันไป ตีสองตีสามคลุมโปงเปิดไฟอ่านหนังสือ ก็ทำให้แข็งแรงจนถึงทุกวันนี้

อะไรที่คุณเต้คิดว่า LGBT ไทยควรจะต้องก้าวข้ามผ่าน

ถามนะ คุณเต้กลับมาเมืองไทยแรกๆ คนก็ไม่ได้ยอมรับ..แม้กระทั่ง LGBT กันเอง แต่งหน้าเยอะ ทำไมยังงั้นยังงี้ [เรา]ชอบแบ่งชนชั้น อีนี่เป็นเก้ง อีนี่เป็นกวาง อีนี่เป็นตุ๊ด อีนี่เป็นกะเทย คือยูแบ่งทำไม ยูรู้หรอว่าจริงๆ เขาเป็นอะไร จริงๆ เขาอาจจะแมนกว่ายูก็ได้ ถึงเวลาใจเขาอาจจะแมนกว่ายูก็ได้ นึกออกไหม คุณเต้มีความรู้สึกว่า้อยากจะไฟต์เรื่องแบบนี้มากเลย เพราะว่าถ้าเรา [กลุ่ม LGBT] เองไม่มีเรื่องแบบนี้ได้เราจะสู้กับคนอื่นๆ ได้ดีกว่านี้เยอะมากเลย อันนี้มานั่งอะไรกันอยู่เหมือนกันนะ... (ลากเสียง) ถูกไหมฮะ นี่ดีว่าเราทำงานได้ วันนี้คนเหล่านั้นเลยเปลี่ยนไป ...อ่ะแต่ฉันจำได้นะ เมื่อก่อนยูว่าฉันว่ายังไง  

 

"จะไปเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน หา equality ของสังคม ในขณะเดียวกันสังคมของตัวเองยังแบ่งแยกอยู่เลย"

 

ออกตัวว่าเป็น personal opinion นะ ไม่ได้กล่าวหาใคร แต่คุณเต้มีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วสังคมเรายังเป็นแบบนี่้อยู่ คือจะไปเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน หา equality ของสังคม ในขณะเดียวกันสังคมของตัวเองยังแบ่งแยกอยู่เลย อันนี้คือสิ่งที่คุณเต้คิดว่ามันอยู่ในรากลึกนิดนึง ที่รุ่นนี้ต้อง realize ก่อน เพื่อที่จะปูทางให้รุ่นใหม่ เพราะว่ารุ่นเก่ายากละ มันยังเป็นอยู่เลย ฉะนั้นรุ่นเราต้องปูให้รุ่นหน้า และไม่ต้องสนใจรุ่นที่ผ่านมา คือปล่อยให้นางเป็นไป เพราะนางก็ยังพับดอกไม้ ร้อยมาลัยกันอยู่ รุ่นนี้ก็ร้อยมาลัยได้ แต่ร้อยมาลัยเสร็จแล้วออกมาทำงาน แล้วก็วัดกันด้วยความสามารถ เพราะฉะนั้นวันนี้คุณเต้เลยเลือกขอเป็นเสียง เพราะคุณเต้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว วันนี้ I’m going to be your voice for the next generation. And the next generation has to be better than today and yesterday.

 

จริงๆ แล้วการเอา Drag Race เข้ามาเป็นเหตุผลส่วนตัวหรือเปล่าครับ

ส่วนตัว ส่วนตัวด้วย หมายความว่าส่วนตัวเชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องการเวที และต้องการพื้นที่ที่จะแสดงออกในทางที่ถูกต้อง และมากไปกว่านั้นคือ ต้องการให้ประชาชนเข้าใจเขาในทางที่ถูกต้องด้วย ไม่ได้เห็นเขาเป็นตัวตลก เหตุผลส่วนตัวของคุณเตคุณเต้ไม่ได้อยากเป็น drag คุณเต้สนับสนุน LGBT คุณเต้ก็เป็นหนึ่งใน LGBT คุณเต้ชัดเจน แต่ขนาดคุณเต้เองก็ยังไม่อยากให้ใครมา label เลยว่าเป็น G B T หรือโบท หรืออะไร อยากจะเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำงานไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ดังนั้น ถามว่า personal ไหม? personal แต่เป็น passion ด้วย เพราะคุณเต้ชอบ lifestyle ชอบ fashion มันรวมกันอยู่ในที่ที่เดียว ไม่มีปฏิเสธ แต่เป็นแรงที่ทำให้คุณเตทำงานให้ดี เพราะมันมี drive ที่ไม่เหมือนกันคนอื่น มีความเข้าใจที่ไม่เหมือนกับคนอื่น เอาคนอื่นมาทำก็คงไม่เข้าใจเท่านี้

 

"จะไปเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน หา equality ของสังคม ในขณะเดียวกันสังคมของตัวเองยังแบ่งแยกอยู่เลย"

 

ระยะเวลาที่คุยสามปี ความยากที่สุดของการเอา Drag Race เข้ามาในเมืองไทยคืออะไร

คือการหาผู้กล้าที่พร้อมจะร่วมเดินทางไปกับเรา เพราะค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่.. จะเรียกว่า taboo ได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นเรื่องที่อยู่คู่สังคมเอเชียและไทยมานานแล้ว มีมาตั้งแต่โบราณกาลด้วยซ้ำไป ประเด็นคือต้องหาผู้กล้าที่จะเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ เป็นช่องทางในการเผยแพร่ นั่นคือผู้กล้าที่หนึ่ง ผู้กล้าที่สองคือผู้สนับสนุน คือสปอนเซอร์ สามผู้กล้านี่ต้องมาเจอกัน ซึ่งภายในสามปีคือพรีเซนต์มาโดยตลอด หาๆ เพิ่งมาลงตัวที่ปีนี้ที่เราเจอทั้งสามผู้กล้าที่จะสู้ไปกับเรา ก็ต้องขอบคุณจังหวะที่ดีด้วย เพราะถ้าเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดว่าจะเป็นที่สนใจและลงตัวได้ท่ากับปัจจุบันที่เกิดขึ้น คอนเทนต์คือ content is king คือมีคนกล้าที่จะแตกต่าง และกล้าหาญอย่างเดียวไม่พอจะต้องมีความอดทนสูงมากกว่าจะเจอเหล่านี้ต้องใช้เวลา และตอนนี้ดิจิตอลทีวีก็มีเพิ่มขึ้น content provider ก็มีเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นผู้กล้าเหล้านี้จึงกล้าที่จะแตกต่างและทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น มันผ่านกระบวนการเยอะมาก เรียกว่าเลือกตาแทบกระเด็น

        ตอนที่คุณเต้เอา The Face มาก็เช่นเดียวกัน เพราะตอนนั้นก็ไม่มีคนเข้าใจ ใช้เวลาถึงสองปี ขนาดรายการปกตินะ เพราะเขามองว่า niche สองคือเป็นแฟชั่นก็จะเป็นเฉพาะกลุ่ม เขาไม่ได้เห็นอย่างที่เราเห็น ก็ต้องอาศัยความอดทนและพิสูจน์ให้เขาเห็น

คุณเต้เป็นแฟน RuPual's Drag Race มาตลอดใช่ไหม

เอาจริงๆ ตอบตรงๆ แบบไม่ใช่ดารานะ คุณเต้ก็เพิ่งมาดูได้สักปีสองปีที่ผ่านมานี่เอง มาดูก็เมื่อตอนที่อยากเอาเข้ามานี่แหละ เพราะว่ามีเพื่อนที่เป็นกลุ่ม LGBT ที่เป็นฝรั่งบอกว่า ยูต้องดูรายการนี้

ขอย้อนกลับไปอธิบายเรื่องว่าทำไมถึงไม่ได้เป็นแฟนรายการนี้ทั้งๆที่ควรจะเป็นนะ คุณเต้ย้ายกลับมาเมืองไทย 9 ปี ส่วน Drag Race เขาเพิ่งครบรอบ 10 ปี ตอนนั้นเป็นตอนที่คุณเต้เพิ่งย้ายกลับมา มาเริ่มทำงานที่กันตนา เริ่มมาทำงานให้คุณพ่อ เพราะฉะนั้นมันเลยจะขาดหายไป ขาดช่วงนั้นไปจริงๆ อะไรที่มาใหม่ในช่วงนั้นนี่ขาดหายไป และต้องยอมรับว่า 7 8 9 ปี ที่ผ่านมาที่คุณเต้เดินทางไปซื้อขาย format ในต่างประเทศ รายการนี้ไม่ได้ถูกชูขึ้นมาขนาดนั้นเพราะมันเป็นเฉพาะกลุ่ม เพราะฉะนั้น้เลยไม่ได้เห็นผ่านตา จนกระทั่งมีเพื่อนบอกว่ารายการนี้มันสนุกมาก และไม่ใช่แค่เพื่อน LGBT นะ เพื่อน straight ก็มาพูด เราก็เอ๊ะ ไหน ขอดูซะหน่อย ว่าเป็นอย่างไร ก็ไปนั่งดู ก็พบว่า ตายละ.. ทำไมมันติด เอ๊ะ หรือเรา bias เพราะเราก็ LGBT ก็เลยให้คุณศศิกร ที่เป็นเจ้านาย เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงช่วยดูหน่อย พอผู้ใหญ่ดูเขาก็ยอมรับว่าตอนแรกเขาคิดว่าคุณเต้ bias แต่พบดูจริงๆ เขาหลงรัก drag และ คิดว่า entertaining value มันสูง คือมันไม่ต้องเป็นเพศอะไรดูแล้วก็ entertaining เลยตัดสินใจว่าเอา เพราะคิดว่าเหมาะกับประเทศไทย

จริงๆ อย่างน้อยมามั่นใจตอนที่ทำ The Face แล้วลูกสาวเต็มบ้านไปหมดเลย เวลาเขามองเราแบบ คุณแม่ พี่เตคุณเต้ แล้วสายตาเขามีประกายอะไรบางอย่าง ที่คุณเต้มีความรู้สึกว่าอยากทำ ย้อนกลับไปดูได้เลย คุณเต้วางไว้เป็น step ว่า The Face ซีซันส์ที่ 3 เปิดให้ transgerder เข้ามาซีซันส์แรก เป็นเรื่องเป็นราวมาก อันนั้นคุณเต้ลองเพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ขณะนั้นประธานาธิบดีโอบามาออกมาแล้วเปิดโลกกว้างให้ทุกคน แล้วเราก็ไม่ใช่ประเทศที่จะไม่เจริญขนาดนั้น ดังนั้นลองดู แล้วก็ต้องขอบคุณทาง Line TV และ Nyx ที่สุด 

  

จริงๆ แล้ว Drag คืออะไรครับ

คุณเต้อธิบายไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก เพราะคุณเต้ไม่ได้สัมผัสเขาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉะนั้นสิ่งที่คุณเต้ทำก็คือให้ทีมงาน ให้พีอาร์เนี่ย research และ educate คนก่อน และใน debut season นี้ ขอทำ 8 ตอนก่อน เลือกตัวแม่มา แล้ว educate คนดูไปพร้อมๆ กัน คุณเต้ก็รอที่จะ educate ตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเราเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า เพราะคุณเต้เชื่อว่าคนที่ไม่ได้เป็น drag จะเข้าใจเขาถึงจิตใจที่ถูกต้อง เหมือนเช่นคนที่แบบ… ฉันเป็นผู้หญิงข้ามเพศ ฉันเกิดมาอยู่ผิดร่าง คุณบอกคุณเข้าใจเขา ไม่จริงหรอก เข้าใจได้ แต่ไม่ได้เข้าใจลึก เพราะฉะนั้นคุณเต้ขอให้เวลาตรงนี้ที่ทำงานศึกษาไปด้วยพร้อมกับคนดู เพราะว่าถ้าคุณเต้รู้ไปก่อนหรือตัดสินไปก่อนว่ารู้แล้ว คุณเต้ว่าคุณเต้ปิดตัวเองไปนิดนึง เพราะฉะนั้นขออนุญาตไม่อธิบาย แต่ขอให้พวกเขาอธิบายตัวเขาเอง

Drag Race ไปถึงจุดไหนคุณเต้ถึงจะแฮปปี้ครับ

วันนี้ก็แฮปปี้เกินความคาดหมายแล้วนะ ในแง่ของกระแส ในแง่ของการตอบรับ ในแง่ของความน่ารักของคนดูที่เริ่มเปิดกว้าง แล้ว international recognition ขนาดนี้คุณเต้โอเค เกินความคาดหมาย แต่ที่เหลือต้องอยู่ที่คนดูแล้วล่ะ เขาจะเป็นคนตัดสิน คุณเต้ไม่ได้ทำรายการให้ตัวเองดู คุณเต้ทำรายการให้ตัวเอง คุณเต้ทำรายการให้คนดู เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณเต้ทำได้คือทำดีที่สุด ในแนวทางของตัวเอง คือมีความแตกต่างชัดเจน แล้วให้ตัวเขาเองอธิบายตัวเขาเองให้คนอื่นดู

Challenge ของการทำรายการในยุค social media คืออะไร

Challenge ที่สุดคือการเลือกโปรดักต์ คือการเลือกคอนเทนต์มา สิ่งที่เราเลือกมาอย่างเช่น The Face อย่างเช่น Drag Race มันชัดเจนว่า social media ตอบรับ มันเห็นผลทันที ดังนั้น challenge คือเลือกอย่างไรให้ถูกใจเขา ให้เขาเริ่มเปิดรับก่อน แล้วความท้าทายต่อไปเนี่ย 50 เปอร์เซนต์คือเขาเปิดรับแล้ว แต่อีก 50 เปอร์เซนต์คือเขาจะรักหรือไม่ อันนี้คือสอง Challenge คือเลือกหรือทำ เหมือนกับมีคนถามว่าคุณเต้มีมิธีเลือก international format ยังไง คุณเต้ก็จะเลือก format ที่พิสูจน์มาแล้วว่ามันประสบความสำเร็จ อย่างน้อยในประเทศมหาอำนาจใหญ่ๆ และในหลายประเทศ ลักษณะ พฤติกรรมคนดูจะคล้ายๆ กัน อย่างนี้แปลว่า 50 เปอร์เซนต์ชนะแล้ว แปลว่าเซฟ อีกครึ่งนึงคือเหลือเรื่องการผลิต ว่าทำยังไงให้ดี ทำให้เป็นเวอร์ชั่นของตัวเอง ตอบสนองพฤติกรรมคนดูของตัวเอง

        Social media คือทำยังไงให้คนยังพูดถึงอยู่เรื่อยๆ engagement สำคัญที่สุด two-way communications มีการพูดคุยกัน ไม่ใช้ใครพูดอยู่ฝ่ายเดียว ดูไปด่าไป โอเคแฮปปี้

 

มีประเด็นที่ว่าคนพูดถึงใน social media เยอะแต่เรตติ้งไม่ขึ้น คุณเต้คิดอย่างไรกับเรื่องนี้

คุณเต้รู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลต้องปรับทัศนคติไปด้วยกัน คุณเต้เชื่อว่าคอนเทนต์ถ้าแข็งแรง อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แล้วการวัดเรตติ้งในยุคปัจจุบันนี้อาจจะไม่ใช่ตัววัดมาตรฐานที่ดีที่สุด เพราะว่าคุณเต้วัดได้เลยว่าในขณะที่เรตติ้งของคุณเต้อยู่ประมาณนี้ ยอดวิวมันสวนทางกัน ในสามเดือนที่ The Face ออก ไม่นับหลังออกอากาศนะ ยอดคุณเต้ขึ้นไปถึง 89-90 ล้านวิว แต่เรตติ้งอยู่แค่นี้ มันแปลว่ายังไง มันวัดได้ไหม เพราะว่าวันนี้พฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไป เราไม่สามารถบังคับใช้เขาดูในเวลาที่เราต้องการให้เขาดู เขาต้องการเป็นผู้เข้ามาหาเราเอง เพราะฉะนั้นมันวัดได้อย่างนี้ว่า หลังจากนี้ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ The Face ออกอากาศทางช่องทางที่หนึ่ง วิวขึ้นไปถึงสามล้านวิวห้าล้านวิว เพราะคนที่หนึ่งดูเขาก็บอกเพื่อนให้ดู เพื่อนดู เม้าท์ อ่าว ไม่รู้เรื่องก็ต้องไปหาดู ถ้ายังไม่นั่งอยู่ที่บ้านทำไง มันก็ต้องไปหาวิวดูที่อื่น แล้ววันอาทิตย์ก็ยิ่งมากขึ้น วันจันทร์ก็ยิ่งมากขึ้น แต่ 90 ล้านวิวภายในสามเดือนมันสวนทางกับมาตราอื่นไหม คุณเต้เลยเลือกที่จะมองอนาคตดีกว่า ก็เถียงคุณเต้ไหมล่ะว่ารายการนี้คนไม่รู้จัก ถึงได้บอกไงว่ามันวัดด้วยอะไร แล้วปัจจุบันทำไมลูกค้าถึงได้ตัดงบที่อื่นแล้วไปเพิ่มงบที่ social media เพราะแนวทิศทางมันได้เปลี่ยนไปแล้ว นั่นก็น่าจะเป็นคำตอบที่เข้าใจได้

ถ้าให้คะแนนตัวเองตั้งแต่วันแรกที่กลับมาทำงานกับคุณพ่อ จนถึงตอนนี้ ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่

ต้องบอกอย่างนี้ว่าคุณเตเกเรมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็หนีไปอยู่เมืองนอก [เรียกว่าหนีเลยหรอครับ?] หนี ทุกคนในครอบครัวรู้ดี หนี แล้วก็ไม่ยอมกลับ แล้วก็ไม่อยากกลับ แล้วก็จนถึงวันนึงเมื่อเกรกจนอิ่มตัวแล้ว และคุณลุงเสียกลับมางานพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อก็บอกว่า ถึงเวลาแล้วไหม… มันก็คงโตอ่ะ ก็ใช้เวลาคิดไม่นอน ก็ได้ ตั้งแต่วันนั้นยังไม่เคยได้กลับไปเก็บของที่นิวยอร์กเลยเชื่อไหม ให้คนส่งกลับมา แล้วก็อยู่เลย แล้วก็ทำงานเลย คืออันนี้มันคงเป็นความอิ่มตัว แล้วก็ถึงเวลาแล้วพอดี เพราะฉะนั้น คุณเต้เป็นคนที่ถ้าไม่ทำคือไม่ทำเลย ถ้าทำคือสุด (เน้นเสียง) แบบว่าสมองจะแตก สุดแบบเส้นโลหิตจะแตกอาละวาดไปเรื่อยเปื่อย คนใกล้ตัวจะรู้ดีว่าเป็นคนค่อนข้างเป๊ะ มีสองขั้ว ไม่มีตรงกลาง ฉะนั้นวันที่ say yes ว่าอยู่ทำคือขอทำดีที่สุดและทำเพื่อสานต่อ legacy ของคุณปู่คุณพ่อ ไม่ได้จะบอกว่าเราเป็น legacy นะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราเป็น legacy คุณเต้คิดว่าเราตายทันที แล้วทำยังไงจะสานต่อได้ เพราะมันมี pressure อยู่แล้วว่ารุ่นที่สามเจ๊งทุกรุ่น ยูทำไมได้หรอก แล้วยูลุควันๆ สวยไปสวยมา โดยไม่ได้รู้จักคุณเต้จริงๆ ว่าเราทำงานเหมือนกัน ดังนั้นพอเราตัดสินใจว่าทำเตมที่เลยตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนวงการบันเทิง ขอไม่ถูกถูกคนดู และเบื่อสิ่งที่เคยเห็นมา อยากเห็นสิ่งที่แตกต่าง เพราะคุณเต้ไม่ใช่ follower คุณเต้เป็น leader ชัดเจน ไม่ชอบตามใครอยู่แล้ว

 

"มันมี pressure อยู่แล้วว่ารุ่นที่สามเจ๊งทุกรุ่น ยูทำไมได้หรอก แล้วยูลุควันๆ สวยไปสวยมา โดยไม่ได้รู้จักคุณเต้จริงๆ ว่าเราทำงานเหมือนกัน"

 

ดังนั้นจนถึงวันนี้ คุณเต้คิดว่าเกินที่คาด เพราะว่ามันทำได้ในเวลาที่เร็วไปหน่อย ปกติบางทีคุณเต้คิดว่าตัวเองต้องใช้เวลา 5-7-10 ปี ถึงจะสร้างความใหม่ พฤติกรรมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ซึ่งคุณเต้คิดว่าต้องใช้เวลานาน แต่บังเอิญก็ต้องขอขอบคุณครอบครัวและทีมงานที่ซัพพอร์ตมาตลอด การที่เขาคอยระวังซ้ายขวาให้เรา ทำให้เราสามารถทำได้ไม่นานเกินไป ไม่ต้องใช้ทั้งชีวิตทำ พอทำได้ถึงวันนี้ คุณเต้ให้คะแนนตัวเอง 5 คือครึ่งนึง เพราะว่าอีก 5 คือหลังจากนี้คุณเต้ยังต้องไปอีก เราไม่พอแค่ไปซื้อเขามา ไม่พอแค่เราเป็นผู้ตาม คุณเต้ต้องการขายส่งออก อยากแสดงให้เห็นว่าคนไทยก็มีดีนะ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี เก่งกว่าด้วยศิลปินเหล่านี้ ทำไมถึงไปได้แค่ระดับจังหวัด มันต้องระดับประเทศแล้ว ดีไซเนอร์กี่คนที่เก่ง ทำไมไม่มีเวทีให้เขา drag queen กี่คนที่เก่งระดับส่งออกได้ นางแบบส่งออกได้ทำไมไม่มีใครให้เวที ดาราด้วย ตอนนี้โลกเปิดหมดแล้ว ไปเล่นหนังฮอลลีวูดก็ได้ อันนี้คือเป้าหมายในขั้นต่อไป ยังมี milestones ที่อยากไปอีกเยอะ เพราะฉะนั้นวันนี้พอใจ เกินความคาดหมาย แต่ยังต้องไปอีก และหยุดไม่ได้

เกิดเป็นกัลย์จาฤกเหมือนเกิดมาท่ามกลางความกดดันไหม

มันกดดัน แต่ว่าไม่กลัว เพราะว่าเรารู้ว่าเรามีทีมงานที่ซัพพอร์ตเรามา และไม่เคยทิ้งกัน คุณพ่อไม่เคยปลดใครออกถ้าไม่จำเป็น พี่ๆ พนักงานนี่ก็เห็นกันตั้งแต่คุเต้ยังเด็กตั้งกี่คนที่ซัพพอร์ต ทุกคนบอกว่าไม่ต้องดีที่สุดไม่ต้องเก่งที่สุด แค่ขอให้ตั้งใจทำ แล้วก็เรียนรู้ไปด้วยกัน ดังนั้นถามว่ากดดันไหม กดดัน แต่ไม่กลัวเพราะเรามี support system ที่ดี และถึงแม้ว่าเราจะล้มลุกคลุกคลานเราก็ยังมี support system เหล่านี้อยู่กับเราเสมอ

 

อีกประเด็นที่สำคัญสำหรับชาว LGBT คือครอบครัว หลายคนเห็นคุณเต้เป็นแบบอย่างที่แฮปปี้กับคุณพ่อ

ใช่ แฮปปี้ แต่ว่ามันผ่านจุดนั้นมาแล้ว ตอนเด็กๆ มา generation ของคุณเต้คือยุคที่กำลังจะ transition อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณเต้กับคุณพ่อตอนแรกก็ไม่ได้มีความเข้าใจตรงกันเท่าไหร่ ดีว่าคุณเต้ไปโตที่เมืองนอก ดีว่ากลับมาเป็ยพักๆ แล้วก็ค่อยๆ เริ่มทำความเข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่าเขาคิดยังไง เขาคิดน่าเขารักเราที่สุด เขาให้เราเเป็น version ในแบบของเขาที่ดีที่สุด ลูกเขาต้องดีที่สุด เป็นแบบนี้ 1 2 3 4 แต่เราเป็น version แบบของเรา เพราะฉะนั้นเรากว่าจะมาจูนกันเนี่ยก็ใช้เวลา แต่คุณเต้เป็นคนที่ดชคที่ที่เำกิดมาในครอบครัวที่เป็นของครัวศิลปิน และมีความเข้าใจเรื่องนี้ค่อนข้างสูง และใช้คำว่าเป็น liberal - liberal thinking มากๆ (เน้นเสียง) เลย เป็นคนเปิดกว่าและไม่เคยบังคับแม้กระทั่งอาชีพ เพราะฉะนั้นถามว่าผ่านเวลาที่ไม่เข้าใจกันนานไหม มี นานมาก เยอะมาก แต่พอ once มันรู้ว่าไม่มีอะไรหรอก นี่คือ version นี้ นั่นคือ version ที่เขาคาดหวัง แต่สุดท้ายมาเจอกันตรงกลางได้ไหม แล้วเป็นคนดีไหม ทำงานได้ไหม คนยอมรับไหม อันนั้นคือพิสูน์ไปอีกขั้นนึง

 

"ฉะนั้นจริงๆแล้วคุณเต้โดนหนักกว่ามนุษย์ปกติที่ไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะเยอะมากในสมัยที่เขาไม่ยอมรับกัน"

 

เพราะฉะนั้นมีปัญหาไหม มีปัญหา ในช่วงที่มีปัญหามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เรา depressed ด้วยซ้ำ เพราะมันเก็บสะสมมา จึงเป็นสาเหตุที่วันนี้อยากจะทำเพื่อช่วย เพราะรู้ว่า และเข้าใจดีที่สุดว่าเจออะไรมา คุณเต้เจอหนักกว่า 3-4 เท่า เพราะคุณเต้อยู่ในที่แจ้ง แล้วคนใช้ตรงนี้โจมตีบริษัทและโจมตีคุณพ่อได้ในอดีต เข้าใจหรือยัง เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วคุณเตโดนหนักกว่ามนุษย์ปกติที่ไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะเยอะมากในสมัยที่เขาไม่ยอมรับกัน

แต่เนื่องจากว่าพออยู่ในครอบครัวที่เกิดมาจากความรักและเข้าใจกัน เวลาและความอดทน แล้วต้องศึกษานิดนึง คุณพ่อเป็นคนน่ารัก ท่านก็ไปศึกษาว่าคืออะไรแล้วทำความเข้าใจ เพราะฉะนั้น วันนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือครอบครัวที่ยังมีความเข้าใจน้อย หรือการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อย เพราะว่าเด็กจะไปทางที่ไม่ดี ไปผิดทางได้ จริงๆ เราควรจะช่วยตรงนั้นและเป็นตรงกลาง ว่าเราเข้าใจคุณ เราเป็นเพื่อนกัน แล้วค่อยๆ ทำความเข้าใจ สังคมควรเป็นแบบนี้ ฉะนั้นรายการต่างๆ ที่เห็นมันน่าจะเป็นสื่อกลางส่วนหนึ่งได้   

 

มุมมองความรักของคุณเต้เป็นอย่างไร

อ่ะ เข้าเรื่อง (หัวเราะ) คือคุณเต้ไม่ได้มีอะไรปิดอยู่แล้ว ...แต่ว่าก็ไม่ได้เปิดหมด (หัวเราะ) มุมมองความรักของคุณเต้ก็คือ คุณเต้ก็โดนมาเยอะ แต่เป็นคนไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ตัวเอง คนจะมองว่ามีเยอะ แล้วก็สามารถเลือกได้ เป็นคนไม่ใช้ เป็นคนค่อยข้าง conservative ในมุมนั้น จะมีก็ที่อายุมากขึ้นเนี่ย ก็ เอานะ ลองดู แต่ที่ผ่านมาเนี่ย ไม่เลย และเป็นคน anti เรื่องเป็นผู้จัดแล้วมีแฟนเป็นดารา หรือนายแบบ ไม่อยากเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะมีเปลี่ยนตอนหลังนี้ที่รู้สึกว่า เอ้อ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย (หัวเราะ)

 

"ความรักควรจะเป็น unconditional"

 

คุณเต้มองว่าความรักควรจะเป็น unconditional ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายรักผู้หญิงหรือผู้หญิงรักผุ้ชายหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณเต้ยังเคยรักกับเพื่อนที่เป็นผู้หญิงจนกระทั่งคิดว่าเราจะแต่งงานกันเลย จนปัจจุบันนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นทุกอย่างที่เราคุยได้ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าเหมือนมีคนดูแลกันและกัน เพราะฉะนั้นความรักขอบคุณเต้มันไม่มีรูปแบบใดใดทั้งสิ้นเลย แล้วแต่ว่าสบายใจจะอยุ่กับใครในเวลาไหน อยู่ร่วมกันได้ไหม ที่สำคัญคือตกลงกันได้ไหมที่จะอยู่กันแบบนี้ั ไม่ว่าจะรูปแบบไหนถ้าตกลงกันได้ก็โอเค เดินหน้าต่อ เพราะมันมีหลายแบบอ่ะ ยูอย่ามาพูดเลย ผู้ชายรักกับผู้ชายก็มี ผู้หญิงรักกับผู้หญิงก็มี ผู้หญิงไปรักกับผู้หญิงข้ามเพศก็มี ทอมมารักกับผู้ชาย มันมีได้ทุกแบบ มันอยู่ที่คนสองคนตกลงกัน เข้าใจกัน สื่อสารกันได้แล้วเดินไปด้วยกัน

 

คุณเต้คิดเห็นเรื่อง marriage equality ยังไงบ้าง

คุณเต้อยากให้เกิดขึ่นในประเทศไทยจังเลย คิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลกใหม่ แล้วประเทศเราเนี่ยคุณเต้มองว่าเป็น developing country นะ แล้วก็มัน develop มานานแล้ว มันควรจะถึงจุดนึงที่ เฮ้ย ทำให้มันเป็นมาตรฐานได้แล้ว แล้วนอกจากเรื่องความรู้สึกที่พูดมาทั้งหมดนี้แล้ว ไม่อยากให้เป็นเรื่องของ economy อย่างเดียวนะ แต่ถ้าเราเกิดเปิดกว้างตรงนี้ได้ คุณเต้ว่ามันดีสำหรับประเทศ เพราะว่า ปีๆ นึงคนเดินทางมาเที่ยว มาพักผ่อน หรือกระทั่งมา educate ตัวเอง หรือเปิดโลกตัวเอง ที่ประเทศไทยมันเยอะมากนะ และเงินที่ไหลเข้ามาในประเทศนี้เยอะมากเลยนะ แล้วก็กลุ่มเนี่ย เป็นกลุ่มใหญ่ที่ contribute เงินเข้ามาในประเทศ ถ้าเกิดมีการแต่งงานหรือ equality เกิดขึ้นในประเทศนี้ คิดดูสิว่าเขาจะหลั่งไหลมา แค่ในเอเซียเนี่ยก็ต้องมาให้ที่เนี่ย เป็นหัวใจของการ equality คิดดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องบินไปอเมริกา นิวยอร์ก เพื่อทำให้ชีวิตสมรสชั้นมีความสุข ฉันจะได้มีลูกได้  คุณเต้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า

 

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา