Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
Photograph: STYLEdeJATE

เป้–อารักษ์ อมรศุภศิริ : จากชีวิตร็อกแอนด์โรลสู่ผู้กำกับผู้ท้าทายทุกบทบาท

บนเวทีคอนเสิร์ตเขาคือนักดนตรี ในกองถ่ายเขาคือผู้กำกับ บนสังเวียนเขาคือนักสู้ และทุกพื้นที่คือเวทีของ ‘เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ’ ศิลปินผู้ไม่เคยยึดติดอยู่กับบทบาทเดิมๆ

Yokploy Chandrabha
การโฆษณา

เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ เชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เพราะเขาคือบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่มาทุกยุค ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เริ่มต้นจากการเป็นมือกีตาร์วงร็อกแอนด์โรลอย่าง Slur ในปลายยุค 90s จนก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กับการเป็นนักแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ ก่อนจะขยับสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ที่หลายคนคาดไม่ถึงกับผลงานหนังเรื่องแรกของเขา ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ซึ่งไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮาในไทย แต่ยังพาเขาไปไกลถึงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติต่างแดน

ระหว่างการถ่ายทำบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้ เราได้ยกกองไปยัง REC.Bangkok บาร์น้องใหม่สุดหรูใจกลางถนนวิทยุ ซึ่งมุมแสงและบรรยากาศภายในร้านช่วยสะท้อนตัวตนของเป้ออกมาได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่ความเท่ ความจริงจัง ไปจนถึงความสนุกสนานขี้เล่นตามสไตล์ของ เป้ อารักษ์

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ความท้าทายในทุกตัวตน

ไม่ว่าจะในฐานะนักร้อง นักแสดง หรือผู้กำกับ แต่ละหมวกที่ เป้ อารักษ์ สวมใส่ล้วนมาพร้อมความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเสมอคือความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานออกมาดีกว่าที่ใครคาดหวังไว้

อย่างบทบาทของการเป็นนักแสดงเขาเล่าว่า ความท้าทายคือการทำยังไงให้ผู้กำกับหรือคนสร้างงานพอใจ ผู้สร้างอาจต้องการแค่ระดับหนึ่ง แต่เป้ยืนยันว่าใจจริงแล้วก็อยากทำให้เขาได้มากกว่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้เท่าที่เขาคาดหวังไว้

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นนักดนตรี ความท้าทายคือการทำยังไงให้เพลงที่ตัวเองชอบคนอื่นชอบด้วย เพราะเขาเองไม่ได้ทำเพลงแบบอาร์ตเฮ้าส์ แต่ทำเพลงป๊อปปูลาร์มิวสิก เพราะฉะนั้นจึงต้องบาลานซ์ทั้งสิ่งที่รักกับสิ่งที่คนฟังอยากฟังให้ไปด้วยกัน 

ส่วนการเป็นผู้กำกับ (บทบาทที่ซับซ้อนที่สุด) เป้ อธิบายเป็นพิเศษว่า มันมีความท้าทายหลายขั้นที่ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งการเขียนเรื่องยังไงให้สนุก ทำยังไงให้ขายได้ ต้องทำในแบบที่อยากทำให้ออกมาดีไปพร้อมกับดูแลทีมงานไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป และปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องทำให้หนังได้เงินด้วย 

ตัวตนชัดที่สุดคือดนตรี

เมื่อถามว่าบทบาทไหนที่คิดว่าเป็นตัวตนของ เป้ อารักษ์ มากที่สุด เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ดนตรีน่าจะเป็นตัวตนที่สุด เพราะว่ามันง่ายที่สุดในการที่จะทำออกมาเล่าปุ๊บแล้วเป็นเราเลย เราเขียนด้วย บางทีก็แทบจะทำคนเดียว หรือบางทีก็มีโปรดิวเซอร์มาช่วยบ้าง มันเป็นไอเดียของเราทั้งหมดที่ควบคุมได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว’

เป้ยอมรับว่าในฐานะผู้กำกับแม้จะได้เลือกและควบคุมหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ไอเดียของเขาเพียวๆ ทั้งหมดเหมือนกับการทำดนตรี แต่มันคือการร่วมงานกับทีมมากกว่า ในขณะที่การเป็นนักแสดงก็เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของคนอื่นซึ่งต่างจากการเล่นดนตรีที่สะท้อนตัวตนของเขาได้โดยตรง

บทบาทใหม่ที่อยากท้าลอง

ตลอดเส้นทางการแสดง ชายคนนี้ผ่านทั้งละครและภาพยนตร์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวบอกตรงๆ ว่าวันนี้การแสดงไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว แต่ถ้าถามถึงบทบาทใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘จริงๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องเพศครับ…ผมเคยเล่นเป็นตัวละครที่แอบๆ หน่อย อันนั้นอาจจะไม่ยากเท่ากับการเล่นแบบเปิดเผยไปเลย อย่างใน (ดอยบอย) มันจะเป็นทางเครียดมากกว่า อยากลองดูว่าถ้าเล่นแบบเปิดเผยไปเลยจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่เราจะรับบทแบบนั้น เพราะเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนที่เขามีเพศสภาพแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงความท้าทาย อันนั้นน่าจะท้าทายสุดครับ’

The Stone : ก้าวแรกสู่หลังจอมอนิเตอร์

การก้าวเข้าสู่บทบาทผู้กำกับเต็มตัวของ เป้ อารักษ์ เริ่มต้นจากความมั่นใจในไอเดียและเรื่องราวที่อยากเล่า และ The Stone พระแท้ คนเก๊ ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์ทดลอง แต่เป็นการรวมเอาประสบการณ์ชีวิตและมุมมองส่วนตัวเข้ากับการเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะโดนใจผู้ชมชาวไทย

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ตอนแรกไม่ได้มองไปถึงจุดนั้นเลยครับ เรามองแค่หาเงินในประเทศอย่างเดียว เพราะผมอยู่ในวงการหนังมานาน คิดว่าการหาเงินในประเทศเป็นสิ่งที่ชัวร์ที่สุดในการทำให้หนังไม่เจ๊ง ผมไม่อยากทำหนังเจ๊งเรื่องแรกก็เลยไม่ได้มองไปตรงนั้น’ เป้เล่าอย่างตรงไปตรงมา

แม้หนังจะไม่ได้วางแผนไปเทศกาลนานาชาติแต่เมื่อได้รับเลือกให้ไปฉายก็ถือเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง งานนี้อาจไม่ใช่เทศกาลสายลึกเหมือนหนังอินดี้ของเพื่อนร่วมวงการ แต่เป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและปาร์ตี้ ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของผู้กำกับออกมาได้อย่างชัดเจน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไอเดียในหนังของเรามีอะไรที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น และความไทยของมันน่าจะมีเสน่ห์ในสายตาคนดูต่างชาติ’

ช่วงเริ่มเขียนบทเป้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ถือว่ามีประสบการณ์และความเข้าใจในวงการหนังไทยพอสมควร ซึ่งเขาเผยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่เขียน และในอนาคตก็มีแผนทำหนังเรื่องต่อไปพร้อมกับสลับไปทำงานเพลงและแสดงควบคู่ไปด้วย

การสลับโหมดและการเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่

การเปลี่ยนจากศิลปินสู่นักแสดงและผู้กำกับของ เป้ อารักษ์ ไม่ใช่แค่การสลับบทบาท แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตทางความคิด ช่วงทำดนตรีเขาสามารถทำอะไรตามใจได้ แต่เมื่อก้าวสู่บทบาทผู้กำกับ ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและสถานะ

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘พอเป็นผู้กำกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุสี่สิบมันก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น และผมก็ได้รับการโค้ชจากโปรดิวเซอร์ (กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา) ที่สอนให้ผมเป็นผู้กำกับที่โตมากขึ้น คำพูดทุกคำมีความหมาย จะมาติงต๊องหรือเจ้าอารมณ์ไม่ได้’

ลายเซ็นในผลงานบ่งบอกถึงตัวตน

‘ผมว่าผมน่าจะหนีสิ่งที่มันเคยมีมาเก่งครับ พยายามจะไม่เหมือนใคร อะไรที่เขาชอบกันจะไม่ชอบ อะไรที่เขาว่าไม่เท่ เราจะว่าเท่’

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเรื่อง ‘พระเครื่อง’ เด็กสมัยใหม่ไม่มองว่าพระเครื่องมันเท่ แต่สำหรับเป้ สิ่งนี้กลับมีเสน่ห์และสามารถหยิบมาเล่าใหม่ในมุมที่ต่างออกไป 

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ผมก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ห้อยพระ เพราะพระเราเท่กว่าตั้งเยอะ ก็เลยหยิบเรื่องพวกนั้นขึ้นมา มันเริ่มจากความอยากเท่ก่อน แล้วก็พยายามหาอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างตลอดในงานตัวเองครับ’

เมื่อต้องตัดสินใจระหว่างให้นักแสดงตีความเองหรือกำหนดทิศทางอย่างชัดเจน เป้เลือกวิธีตรงกลาง 

‘ต้องเจอกันครึ่งๆ ครับ ผมจะอธิบายแบ็กกราวด์กับสิ่งที่เราคิดไว้ แต่สุดท้ายวิธีการแสดงมันต้องเจอกันตรงกลาง บางครั้งนักแสดงก็เสนอช้อยส์ใหม่มาให้ลอง แล้วเราค่อยปรับร่วมกัน หรือบางทีเขามาแล้วก็ใช่เลยตั้งแต่แรกก็มี’ 

ความเข้าใจนี้มาจากการเป็นนักแสดงมาก่อน และเป้เห็นว่าในบางครั้งนักแสดงรู้จักตัวละครมากกว่าผู้กำกับเอง ทำให้การเลือกนักแสดงกลายเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ถ้าแคสต์ถูก ก็จะช่วยพาเรื่องไปได้ไกล แต่ถ้าเลือกผิดต่อให้เขียนดีแค่ไหนหนังมันอาจจะสนุกได้ยาก’

และเมื่อถามถึงภาพยนตร์ลำดับที่สองของเขา เป้หัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบ

‘ก็กำลังทำอยู่ครับ บางทีมันก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความอยากของเราอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจังหวะและโอกาสด้วย แต่ผมก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ทั้งอัลบั้ม แล้วก็การแสดง แต่โชคดีที่ผมมี บี-วุฒิพงษ์ อีกคน ไม่ได้ทำคนเดียว ผมก็รับผิดชอบในส่วนหนึ่ง บีก็จัดการต่อในอีกส่วนหนึ่งครับ’

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

นักดนตรีที่ไม่เคยหยุดทำเพลง

แม้จะหันมาสวมบทบาทผู้กำกับอย่างจริงจัง แต่เส้นทางดนตรีของเป้ก็ยังไม่เคยหยุดเดิน เขายังคงออกผลงานเพลงอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าตัวจะยอมรับตรงไปตรงมาว่าการทำเพลงอาจไม่ใช่อาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้เต็มที่ แต่เพราะอาชีพนักแสดงที่พอจะหล่อเลี้ยงชีวิตได้ ทำให้เขาเลือกทำเพลงอย่างอิสระตามใจตัวเองได้เสมอ และยังมีค่ายเพลงที่มองเห็นคุณค่าในตัวเขา แม้ผลงานจะไม่ได้สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ยังคงเป็นแรงซัพพอร์ตกันมาตลอด

เป้เล่าถึงแนวทางการทำเพลงที่หลากหลายและเปิดกว้าง 

‘ผมทำเรื่อยๆ นะครับ ผมทำอะไรแปลกๆ ตลอดเลย ก็มีโฟล์คแล้วก็ไปทำร็อกแอนด์โรลบ้างชุดหนึ่ง แล้วก็มีไปทำอิเล็กทรอนิกส์สามชุด นี่ก็กลับมาคันทรี่อีกแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลยครับเพลง ตามใจตัวเองมาก’

ล่าสุดกับอัลบั้มใหม่ ‘อกหักติดยาหมาตาย’ เพลงของเขายังคงสะท้อนตัวตนได้อย่างดิบ ตรงไปตรงมา และจริงใจเหมือนเดิม โดยแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงและการสังเกตผู้คนรอบตัว 

‘ถ้าใช้ความรักไม่ได้ หน้าตาไม่ได้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งั้นลองใช้เงินแทนได้มั้ย?’ เป้เล่าถึงเพลง ‘อยากเป็นเสี่ยเลี้ยงต้องทำไง’ อย่างตรงไปตรงมา 

เส้นทางสายดนตรีจึงยังคงเป็นพื้นที่ที่เป้สามารถเล่าเรื่องและสะท้อนตัวตนได้เต็มที่ ท่ามกลางบทบาทนักแสดงและผู้กำกับที่ต้องรับผิดชอบผู้คนและทีมงานอีกนับร้อยชีวิต

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

จากสังเวียนสู่ธุรกิจ ‘ลงนวมบอยส์’

อีกบทบาทที่หลายคนจดจำ เป้ อารักษ์ คือการเป็นนักแสดงที่หลงใหลในกีฬามวยไทย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขึ้นชกบนสังเวียนในรายการ ‘10 Fight 10’ จนต่อยอดไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจแฟชั่นในชื่อ ‘ลงนวมบอยส์’ แบรนด์ที่เกิดจากการร่วมกันปลุกปั้นกับเพื่อนๆ ภายใต้สโลแกน ‘Everyone Can Fight’ ที่ไม่ได้มองการต่อสู้เป็นแค่กีฬา แต่คือท่าทีในการใช้ชีวิต การลุกขึ้นสู้ในแบบของตัวเอง การสร้างคอมมูนิตี้ที่เข้าใจกัน และการตีความความเป็นนักสู้ให้กลายเป็นสไตล์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

เคยรู้สึกไหมว่าการอยู่ในวงการบันเทิงก็เหมือนการขึ้นเวทีชกมวย

‘มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นครับ จมูกเราไม่หัก ถ้าคุณเคยสู้บนเวทีมันมีความกลัวที่ยากที่จะเอาอะไรไปเทียบเหมือนกันครับ จริงๆ แล้วเรื่องของเรามันไม่ได้มีคนสนใจเท่าเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นพลาดบ้างได้ แต่อย่าพลาดเยอะ หรือถ้าคุณดังมากๆ ก็ห้ามพลาดเลย ไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าพูดซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับขึ้นเวทีชกมวยแน่นอนครับ’

และถ้าให้เลือกเพลงเปิดตัวขึ้นสังเวียน เขาตอบทันทีว่า 

‘ผมต้องเลือกเพลง ‘อย่าเล่นกับไฟ’ ของเป้เองครับ เพราะมันส์สุดที่ผมเคยทำมาแล้ว แล้วก็คิดว่าเพลงตัวเองมีตั้ง 60 กว่าเพลง จะเลือกเพลงคนอื่นทำไม หรือเพลง ‘ไม่ต้องทำหรอกบุญ ’ก็เคยใช้ตอน 10 Fight 10 แล้วก็แพ้ครับ (หัวเราะ)

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ในอีก 5 ปี ข้างหน้าอยากให้คนจดจำ เป้ อารักษ์ ในฐานะอะไรมากที่สุด?

‘โห… มากที่สุดใช่ไหมครับ อยากเป็นผู้กำกับที่ทำหนังได้เงินติดกันสามเรื่องครับ ห้าปีน่าจะได้อีกสองเรื่อง (หัวเราะ)’

ท้ายที่สุดแล้วในบทบาทของการเป็นศิลปิน เขายังคงทำเพลงตามใจตัวเองอย่างอิสระ ในขณะที่การแสดงยังเป็นพื้นที่ที่เขารักและพร้อมกลับไปเสมอ แต่สิ่งที่เป้โฟกัสจริงจังที่สุดในวันนี้คือการเป็นผู้กำกับหรือคนเล่าเรื่องและต้องการพื้นที่ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่วงการบันเทิงบ้านเรา

สำหรับเขารายได้ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ แต่คือหลักฐานเชิงรูปธรรมของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้ แม้ยังอยากเล่นละครและทำเพลงต่อไป แต่เส้นทางการเป็นผู้กำกับคือสิ่งที่เป้มุ่งหน้ามากที่สุดในตอนนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นบทบาทบนสังเวียน ในห้องอัด บนเวทีแสดง หรือหลังกล้อง ทุกประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้เป้เติบโตขึ้นในเวอร์ชันที่เท่กว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม และยังคงเดินหน้าลุยกับความฝันของตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

Photographer: STYLEdeJATE @styledejate
Art director: PK Vanasirikul @peeekks
Assistant photographer: Eric D’ Geno @erinaerielle
Lighting: Stoppie Pumipat @thananchailoha @advancedphotosystems
Senior designer: Methita Trakulpoonsub @methitaa
Project manager: Sirinart Panyasricharoen @tibabit
Writer: Yokploy Chandrabha @tmyokploy
Translator: Pinghyu 
Video: Supathat Thardrak @gunnst__
Video editor: Supathat Thardrak @gunnst__
Photos: STYLEdeJATE @styledejate
Stylist: Mathimon Intharasuwan @chubbyz_gt
Stylist assistant: Nithikorn Moolyongsak @pepetchyy​
Hair stylist: Pornwasu Huamrun @Papalapom
Makeup artist: Chatchanok Natengampak @mameaw.everyday @ngampak.makeup
Location: REC. Bangkok
Talent Coordinator: Daniel Van Norden
Concept: Laurie Osborne @laurieosborne

เรื่องเด่น
    การโฆษณา