The best queer movies of all time
Photograph: Bunticha P. - TimeOut Thailand
Photograph: Bunticha P. - TimeOut Thailand

ชวนดู 14 ภาพยนต์เควียร์ต้อนรับเดือน Pride Month

เมื่อความรักของเพศเดียวกันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ถึงแม้จะยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่ต้องฝ่าฟัน แต่ความก้าวหน้าและความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็สมควรได้รับการเฉลิมฉลอง อย่างน้อยก็ผ่านการรับชมภาพยนตร์คุณภาพที่ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้อย่างงดงาม

Nuttaya Sumritvanitcha
การโฆษณา

ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดกว้างและให้การต้อนรับกลุ่ม LGBTQ+ อย่างอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแม้จะสร้างความประหลาดใจให้กับบางฝ่ายก็ตาม แต่ก็เป็นผลลัพธ์จากการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนับหลายทศวรรษ และในวันนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจเกิดขึ้น ด้วยแรงสนับสนุนจากสาธารณชน ไม่ว่าจะเป็นการลงคะแนนเสียง การแสดงความเห็นผ่านแบบสำรวจ หรือแคมเปญรณรงค์ต่างๆ

แม้กฎหมายฉบับใหม่นี้จะนับเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเดินหน้าต่อ เพราะในชีวิตประจำวัน หลายคนในกลุ่ม LGBTQ+ ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน เวลานี้จึงควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง ด้วยการรับชมภาพยนตร์เควียร์ดีๆ สักเรื่อง หรือดูต่อเนื่องแบบมาราธอนไปเลย

ในปัจจุบัน ภาพยนตร์เควียร์ได้พัฒนาและก้าวข้ามกรอบของเรื่องราวแบบเดิมๆ อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนกับความหลากหลายของเพศและอัตลักษณ์ในสังคม ภาพยนตร์เหล่านี้สามารถสะท้อนทั้งความรักต้องห้าม การค้นหาตัวตน และความสัมพันธ์ในแบบที่สังคมอาจมองข้าม ความงดงามของหนังเควียร์ไม่เพียงอยู่ที่การเรื่องราวอันหลากหลาย แต่ยังอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้กับการตีความอีกด้วย

หากคุณกำลังมองหาหนังเควียร์คุณภาพ เราจะพาคุณไปรู้จักกับภาพยนตร์เควียร์ที่ควรค่าแก่การรับชม ตั้งแต่ Moonlight เจ้าของรางวัลออสการ์ ไปจนถึง Tangerine ผลงานแสนอบอุ่นของผู้กำกับ ฌอน เบเกอร์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของสองหญิงข้ามเพศ ที่มีอาชีพขายบริการ โดยถ่ายทำด้วยกล้องไอโฟนตลอดทั้งเรื่อง ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างความแปลกใหม่ในวงการหนัง แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า ‘สังคม’ ของชาวเควียร์ ไม่ใช่แค่หลากหลาย หากยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และความเป็นมนุษย์

All of Us Strangers (2023)

ภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษที่กำกับโดย แอนดรูว์ เฮย์ เรื่องนี้ ดัดแปลงมาจากนวนิยาย Stranger (1987) ผลงานของ ไทชิ ยามาดะ (Taichi Yamada) โดยมีนักแสดงนำอย่าง แอนดรูว์ สก็อตต์ (Andrew Haigh)/ พอล เมสคัล (Paul Mescal) / เจมี่ เบลล์ (Jamie Bell)  และ แคลร์ ฟอย (Claire Foy)  ถ่ายทอดเรื่องราวของนักเขียนบทภาพยนตร์อันเปล่าเปลี่ยว ซึ่งได้สร้างความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงกับเพื่อนบ้านลึกลับคนหนึ่ง ขณะเดียวกันเขายังต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำในอดีตของตัวเอง ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของการดัดแปลงนวนิยายของยามาดะบนจอภาพยนตร์ ถัดจากภาพยนตร์ญี่ปุ่น The Discarnates (1988) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์ที่งาน Telluride Film Festival ครั้งที่ 50 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2023 และเข้าฉายในสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2024 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง ติดอันดับหนึ่งในสิบภาพยนตร์อิสระยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 จาก National Board of Review และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA ถึง 6 สาขา ด้วยโทนเรื่องที่อบอุ่นหัวใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจผู้ชมว่า แม้แต่เพื่อนบ้านที่น่าอึดอัดที่สุด ก็อาจนำพาความสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดมาสู่ชีวิตของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Beach Rats (2017)

ภาพยนตร์แนวผู้ใหญ่เรื่องนี้เปิดฉากขึ้นในบรู๊คลิน นิวยอร์ก ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงของการค้นหาตัวตนที่แท้จริง เขาดำเนินชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ใช้เวลาท่องเที่ยวไปกับกลุ่มเพื่อนชาย ขณะเดียวกันก็เผชิญกับความสับสนในเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง เขาเริ่มต้นลองออกเดทกับผู้หญิง แต่ในเวลาเดียวกันก็ทดลองเดทกับชายหนุ่ม โดยที่ยังไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองชอบใคร หรือมีรสนิยมทางเพศแบบใดกันแน่ ประโยคสำคัญที่ตัวละครหลักเอ่ยซ้ำๆ ตลอดทั้งเรื่องคือ ‘ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันชอบอะไร’ ซึ่งกลายเป็นเสียงสะท้อนของความสับสนในตัวเองที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ เขาต้องดิ้นรนเพื่อหาเส้นทางให้กับชีวิต อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับครอบครัว สังคม และความลังเลในใจของตัวเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางอันซับซ้อนของตัวละครที่กำลังค้นหาตัวตนที่แท้จริงได้อย่างทรงพลัง สะท้อนความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่มาพร้อมกัน และถ่ายทอดความสับสนของการค้นหาตัวเองในวัยหนุ่มสาวได้อย่างน่าสนใจ

การโฆษณา

Before Night Fall (2000)

ภาพยนตร์เรื่องนี้รวมนักแสดงชั้นนำอย่าง ฮาเวียร์ บาร์เด็ม (Javier Bardem) / จอห์นนี่ เดปป์ (Johnny Depp)  / โอลิวิเยร์ มาร์ติเนซ (Olivier Martinez)  และฌอน เพนน์ (Sean Penn) นำเสนอเรื่องราวชีวิตตั้งแต่กำเนิดจนถึงวาระสุดท้ายของชายชาวคิวบาผู้เป็นทั้งกวีและนักเขียน ตั้งแต่ช่วงชีวิตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติของฟิเดล คาสโตร พร้อมเผชิญหน้ากับความขัดแย้งของความรักและความเกลียดชัง โดยการถ่ายทอดความสัมพันธ์รักร่วมเพศซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับในขณะนั้นในบท​ภาพยนตร์ นำมาสู่ซึ่งปัญหากับทางรัฐบาล และทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน

ในช่วงที่คุมขังในเรือนจำ เขาติดต่อกับเพื่อนที่อาศัยอยู่ในแมนแฮตตันผ่านทางจดหมาย แม้จุดเริ่มต้นของเขาจะเรียบง่าย แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะเผยให้โลกเห็นถึงจิตวิญญาณอันเปราะบาง และเปี่ยมด้วยความหลงใหลผ่านบทกวี ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนพลังของความรัก ตัวตน และราคาที่ต้องจ่ายเพื่อการยอมรับและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับตัวเอง

Blue Is The Warmest Colour (2013)

เรื่องราวของอเดล เด็กสาวขี้อายที่บังเอิญได้พบกับหญิงสาวผมสีฟ้าขณะกำลังข้ามถนน แรงดึงดูดบางอย่างเกิดขึ้นทันทีในใจของอเดล ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าในขณะนั้น เธอจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ที่เธอได้จูบกับเพื่อนผู้หญิง กลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอได้ตระหนักถึงความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองว่าเธอกำลังหลงใหลในเพศเดียวกัน ภาพยนตร์ติดตามการเติบโตของอเดล ตั้งแต่วัยเยาว์จนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักและการค้นหาตัวตน ที่ค่อยๆ ทวีความซับซ้อนมากขึ้นตามกาลเวลา ที่เธอเริ่มเรียนรู้กับความจริงที่ว่า ความรักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดความเข้มข้นของความรักได้อย่างลงตัว นำเสนอเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจและสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับการค้นหาตัวตน ความหลงใหล และการเติบโตทางอารมณ์ ถ่ายทอดออกมาอย่างอ่อนโยน เป็นมิตร และจริงใจ อีกทั้งยังสะท้อนทั้งช่วงเวลาที่งดงามและเจ็บปวดของความสัมพันธ์โรแมนติกได้อย่างจับใจ

Boys Don’t Cry (1999)

การแสดงที่สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังให้กับฮิลลารี สแวงค์ (Hilary Swank) ในภาพยนตร์เรื่อง Boys Don’t Cry ถ่ายทอดเรื่องราวของชายข้ามเพศที่สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง เรื่องราวดำเนินไปกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ค้นพบว่าตนเองอยากมีชีวิตในฐานะผู้ชาย และตัดสินใจใช้ชีวิตใหม่ในชื่อแบรนดอน ผู้ซึ่งคนรอบตัวเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายมาตั้งแต่กำเนิด

สแวงค์ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งนำเสนอความจริงอันสะเทือนใจของชีวิตคนข้ามเพศ โดยเน้นให้เห็นว่าเมื่ออัตลักษณ์ที่แท้จริงของแบรนดอนถูกเปิดเผย การปฏิบัติจากสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง จนนำไปสู่บทสรุปอันโหดร้าย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายมากกว่า 20 ปีที่แล้ว และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นของบุคคลข้ามเพศ รวมถึงจุดประกายบทสนทนาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศและการเลือกปฏิบัติในสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน

การโฆษณา

Brokeback Mountain (2005)

เรื่องราวความรักอันเจ็บปวดของชายสองคนที่เริ่มตระหนักถึงความรู้สึกแท้จริงเมื่อถูกพรากจากกัน เรื่องนี้นำแสดงโดย ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) และเจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) จากนำเสนอการแสดงที่ทรงพลัง ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกอย่างสมจริงผ่านสายตาที่เข้มข้น ทั้งคู่พบและใช้ชีวิตร่วมกันในชนบทอันเงียบสงบ ทำมาหากินเคียงข้างกัน แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ทั้งสองต่างเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงในสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้แยกจากกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ทิ้งความประทับใจอย่างยาวนาน พร้อมปลุกเร้าความรู้สึกสะเทือนใจแก่ผู้ชม การแสดงอันโดดเด่นของนักแสดงนำได้ถ่ายทอดการสำรวจความรัก นำเสนอความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างชายสองคน

Call Me By Your Name (2017)

นี่คือเรื่องราวความรักอันงดงามและสะเทือนอารมณ์ของชายหนุ่ม 2 คนที่ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก ภาพยนตร์บอกเล่าชีวิตของเด็กหนุ่มเชื้อสายอิตาลีที่ตกหลุมรักกับนักเรียนรุ่นพี่ชาวอเมริกา ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของเขาในช่วงฤดูร้อน ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากมิตรภาพ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความรู้สึกที่ถอนตัวไม่ขึ้น เรื่องราวดำเนินไปท่ามกลางภูมิทัศน์งดงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเคมีและความรู้สึกระหว่างตัวละครหลัก แต่ในที่สุดความรักของทั้งสองกลับต้องจบลงอย่างน่าเศร้าและหลีกเลี่ยงไม่ได้

การเดินทางทางอารมณ์ที่เรียบง่ายแต่หนักหน่วงนี้ ดึงดูดผู้ชมให้ดิ่งลึกสู่พายุแห่งความหลงใหลและความเจ็บปวด ก่อนจะทิ้งไว้ซึ่งความประทับใจที่ยากจะลบเลือน ภาพยนตร์ถ่ายทอดความรักอย่างตรงไปตรงมาและละเอียดอ่อนนำมาสู่ความตราตรึงใจต่อผู้ชมทั่วโลก

การโฆษณา

Carol (2015)

ภาพยนตร์เรื่อง Carol ของผู้กำกับ ทอดด์ เฮย์นส์ (Todd Haynes) ถ่ายทอดเรื่องราวความรักต้องห้ามในยุคทศวรรษ 1950  เป็นดั่งบทกวีแห่งภาพท่ามกลางบริบทของสังคมที่ยังไม่เปิดกว้างต่อความรักระหว่างเพศเดียวกัน

แคโรล หญิงสาวผู้มีฐานะและเป็นที่รู้จักในสังคมชั้นสูง ได้พบกับเธอรีซ พนักงานสาวในร้ายขายของ ระหว่างที่เธอกำลังเลือกซื้อของขวัญให้ลูกสาว ที่แม้ว่าเธอรีซจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย แต่เธอกลับไม่สามารถละสายตาไปจากแคโรลที่พบกันเป็นครั้งแรก การพบกันในวันนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นผ่านการสังเกต ความเงียบ และสายตาที่บอกความรู้สึกมากกว่าคำพูด แคโรลที่ค่อยๆ สร้างโลกใบใหม่ที่แม้เรื่องธรรมดาก็ถูกผันเปลี่ยนเป็นความปรารถนาและความลุ่มหลงที่ยากจะลืมเลือน

Happy Together (1997)

ภาพยนตร์เรื่อง Happy Together โดยผู้กำกับ หว่องกาไว (Wong Kar-wai) เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวความรักและความขัดแย้งของคู่รักเกย์จากฮ่องกง นำแสดงโดย โทนี่ เหลียง (Tony Leung)  และเลสลี่ จาง (Leslie Cheung)  ทั้งสองเดินทางไปท่องเที่ยวยังบัวโนสไอเรส ความฝันที่จะไปเยือนน้ำตกอิกวาซูด้วยกัน กลับถูกบดบังด้วยความตึงเครียดในความสัมพันธ์ที่ผสมผสานทั้งความรักและความเหงา การแสดงของเหลียงเต็มไปด้วยเสน่ห์ ถ่ายทอดอารมณ์หลากหลายผ่านสีหน้าและดวงตาโดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำ ฉากรักอันอบอุ่นและใกล้ชิดนั้นทรงพลัง ขณะเดียวกัน การเข้ามาของบุคคลที่สามกลับยิ่งทำให้เรื่องราวเข้มข้นขึ้น

ตัวละครชาวไต้หวันสะท้อนประเด็นทางการเมืองในยุคนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ส่งมอบฮ่องกงคืนสู่จีน หว่องกาไวใช้การเล่นสีสันที่ตัดกัน เพื่อสร้างความเข้มข้นทางอารมณ์ ถ่ายทอดความจริงและความเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างทรงพลัง

การโฆษณา

Moonlight (2016)

ภาพยนตร์เหนือกาลเวลาที่ถ่ายทอดความเชื่อมโยงของมนุษย์ และการค้นหาตัวตนผ่านเรื่องราวชีวิตของชายผิวดำคนหนึ่ง ตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายในย่านไมอามี ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนออัตลักษณ์ของชาวแอฟริกัน-อเมริกันร่วมกับสังคมอย่างลึกซึ้ง ด้วยภาษาภาพยนตร์ที่ละเมียดละไมในเชิงกวี

Moonlight คือผลงานที่พลิกโฉมวงการภาพยนตร์ จากการสะท้อนถึงความเห็นอกเห็นใจและความจริงที่ยากจะยอมรับของมนุษย์ ด้วยฝีมือการกำกับของ แบร์รี่ เจนกินส์ (Barry Jenkins) หนังเรื่องนี้เก็บภาพช่วงเวลาสำคัญของชีวิตและผู้คนที่มีบทบาทในการหล่อหลอมตัวตนของเราอย่างงดงาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือบทพิสูจน์ถึงการเติบโต ทั้งทางหัวใจและจิตวิญญาณของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ได้อย่างงดงาม

My Own Private Idaho (1991)

คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) และริเวอร์ ฟีนิกซ์ (River Phoenix)  แจ้งเกิดในฐานะนักแสดงจากภาพยนตร์ดราม่าอันน่าตราตรึงเรื่องนี้ ซึ่งเล่าเรื่องราวของเกย์หนุ่มที่เติบโตมาโดยปราศจากการเลี้ยงดูจากผู้เป็นแม่ และพาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกของการค้าประเวณีชาย รวมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเพื่อนสองคน ฟีนิกซ์รับบทเป็น ไมค์ ชายขายบริการผู้ตกอยู่ในวังวนของอดีต ขณะที่ รีฟส์ รับบทเป็น สก็อต ชายหนุ่มผู้ซื้อบริการ หากแต่แอบตกหลุมรักไมค์เข้าอย่างเงียบๆ

สก็อต เป็นตัวแทนของความปั่นป่วนทางอารมณ์ภายในใจชายคนหนึ่งที่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเพื่อเงิน โดยสะท้อนความขัดแย้งยุ่งเหยิงทางอารมณ์ออกมาได้อย่างดี การแสดงของ ฟีนิกซ์ นั้นทั้งเปราะบางและทรงพลัง เป็นที่จำจดถึงความสามารถของเขาก่อนจะจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ในขณะที่ รีฟส์ ถ่ายทอดบทบาทของเขาได้อย่างเยือกเย็นและห่างเหิน ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากบทบาทฮีโร่ที่คุ้นเคยใน The Matrix

การโฆษณา

Philadelphia (1993)

ทอม แฮงค์ (Tom Hanks) ได้รับรางวัลออสการ์ในบทบาทของแอนดรูว์ เบ็คเก็ตต์ ทนายหนุ่มผู้ซ่อนเรื่องราวทางเพศของตัวเอง ในสาขานักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ดราม่าที่น่าประทับใจเรื่องนี้ เบ็คเก็ตต์ถูกไล่ออกจากสำนักงานกฎหมายชื่อดังในเมืองฟิลาเดลเฟีย หลังจากที่เพื่อนร่วมงานเปิดเผยความลับของเขาในที่ทำงาน เขาเชื่อว่าการถูกไล่ออกครั้งนี้ไม่เป็นธรรม จึงตัดสินใจดำเนินการทางกฎหมาย จากการแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพจากโรคเอดส์ ส่งผลให้แฮงค์ได้รับคำชื่นชมและการยอมรับอย่างกว้างขวาง การแสดงของเขาช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงการดิ้นรนและการต่อสู้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยโรคร้ายในช่วงเวลานั้น อันโตนิโอ บันเดอราสรับบทเป็นคู่ชีวิตของเบ็คเก็ตต์ ซึ่งช่วยเสริมความเกี่ยวพันอันซับซ้อนทางอารมณ์ให้กับเรื่องราว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดความรัก การถูกเลือกปฏิบัติ และการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมได้อย่างทรงพลังและตราตรึงใจ

Portrait Of A Lady On Fire (2019)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักอันสวยงามและสะเทือนอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1770 โดยเริ่มต้นด้วยศิลปินหญิงชื่อมาเรียน ที่ได้รับว่าจ้างให้วาดภาพหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ แต่เจ้าสาวยังไม่แน่ใจในเรื่องการแต่งงานที่จะเกิดขึ้น มาเรียนจึงต้องแอบวาดภาพเธออย่างลับๆ โดยที่เจ้าสาวไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้มาเรียนจึงใช้เวลาในการสังเกตและทำความรู้จักกับแบบของเธออย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ต้องห้าม ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดอารมณ์ที่อ่อนโยนและซับซ้อนระหว่างผู้หญิงทั้งสอง แสดงให้เห็นถึงความรักที่อาจไม่สมบูรณ์แบบแต่ยังคงลุกโชนด้วยความเข้มข้น ความรักที่เต็มไปด้วยความโหยหาและหลงใหลนี้ ทำให้ภาพยนตร์สะเทือนใจและทิ้งความประทับใจในใจผู้ชม แม้เรื่องราวจะจบลงแล้วก็ตาม

การโฆษณา

Tangerine (2015)

ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยไอโฟนเรื่องนี้ ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างเข้าถึงง่ายและท้าทายความคิด โดยลบเส้นแบ่งระหว่างความเป็นผู้ร้าย วีรบุรุษ และเหยื่อได้อย่างแนบเนียน เปิดเรื่องในย่านฮอลลีวูด และติดตามชีวิตของซิน-ดี หญิงข้ามเพศที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหลังถูกคุมขังนาน 28 วันในช่วงคืนก่อนวันคริสต์มาส เมื่อเธอได้กลับมาพบกับอเล็กซานเดรีย เพื่อนรักของเธอที่ร้านโดนัทแห่งหนึ่ง ซิน-ดีจึงได้รู้ความจริงว่า เชสเตอร์ แฟนหนุ่มซึ่งเป็นแมงดาของเธอ แอบนอกใจไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เป็นเพศโดยกำเนิด ความโกรธทำให้ซิน-ดีตั้งใจจะเผชิญหน้ากับทั้งเชสเตอร์และหญิงสาวคนนั้น

แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปิดฉากด้วยบรรยากาศขบขันราวกับเป็นหนังตลก แต่อารมณ์ขันเหล่านั้นเป็นเพียงฉากหน้าที่ซ่อนเนื้อหาดราม่าสุดสะเทือนใจไว้ภายใน โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้ให้บริการทางเพศและความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเธอ Tangerine จึงเป็นผลงานที่ทั้งน่าติดตาม ลุ่มลึก และอบอวลไปด้วยความจริงของชีวิตที่โหดร้าย

เรื่องเด่น
    การโฆษณา