Cherprang Areekul
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

เป็นเฌอปรางมันเหนื่อย: คุยกับกัปตัน BNK48 ในวันที่เธอเติบโตกลายเป็นไอดอลอันดับหนึ่งของประเทศ

เฌอปราง อารีย์กุล: "รู้สึกว่าเราเป็นอะไรไปไม่ได้ คือแค่เฌอหายไปประมาณครึ่งวัน ไม่อัพเดตอะไร แฟนๆ ก็เริ่มมาแหละ รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ของเฌออีกคนที่เฌอต้องแคร์เขา เพราะมีคนดูเราทั่วประเทศแล้ว"

Sopida Rodsom
Top Koaysomboon
เขียนโดย
Sopida Rodsom
และ
Top Koaysomboon
การโฆษณา

วินาทีคงไม่มีใครดังไปกว่า "แคปเฌอ" เฌอปราง อารีย์กุล กัปตันแห่งไอดอลกรุ๊ป BNK48 ที่นอกจากจะเป็นที่รักของบรรดาโอตะแล้ว กัปตันคนนี้ยังมีผลงานเพลงกับวง รวมไปถึงโฆษณาอีกมากมาย และตอนนี้เธอยังได้ลองงานแสดงเป็นครั้งแรกกับภาพยนตร์ Homestay ของผู้กำกับโอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ในบทพาย พี่รหัสคนเก่งที่ตัวละครหลักของเรื่องอย่างมิน (นำแสดงโดยเจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) แอบชอบอีกด้วย งานนี้เราจึงไม่พลาดพูดคุยกับเฌอปรางถึงชีวิตไอดอล รวมไปถึงผลงานในปัจจุบันของเธอกันอีกสักนิด

อ่านเพิ่มเติม | เจมส์-เฌอปราง กับ Homestay หนังที่ทำให้ทั้งสองทิ้งคำว่า "ก็แค่ขวัญใจวัยรุ่น" ไว้เบื้องหลัง

หนังพี่เต๋อ (ภาพยนตร์สารคดี Girls Don't Cry ของเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) เป็นอย่างไรบ้าง

ก็โอเคค่ะ คือมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว เศษเสี้ยวยอดน้ำแข็ง เพราะจริงๆ สัมภาษณ์คนละ 2 ชั่วโมงได้ แล้วมี 26 คนก็... นั่นแหละค่ะ มันคือในกระปิ๊ดหนึ่งของที่มี แต่ว่าสนุกค่ะ ... ก็ดีใจค่ะ เพราะหนูส่งฟุตเทจที่ถ่ายด้วยกล้องมือถือหนูเองด้วย เพราะหนูก็รวบรวมเป็นไฟล์ส่งให้พี่เต๋อ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าพี่เต๋อจะเลือกเอาอะไรมาใช้บ้าง (หัวเราะ) ก็เจอแบบอ้าว... ในห้องนอนตรูออกมาด้วยเว้ย (หัวเราะ) 

Homestay ถือเป็นงานแสดงชิ้นแรกเลยไหม เคยแสดงอะไรที่เราไม่ทราบมาก่อนบ้างหรือเปล่า

ชิ้นแรกค่ะ ถ้าไม่นับเรื่องนู้น ... มันก็มี acting class แต่เป็น acting for singer สำหรับนักร้องศิลปิน แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับการแสดง มันแค่เป็นการเอาตัวตนออกมาบนเวทีเฉยๆ ซึ่งสำหรับเฌอมันเป็นอะไรที่คนละเรื่องมากค่ะ ซึ่ง [Homestay] เปิดมิติให้เฌอเยอะมากจริงๆ

Cherprang Areekul

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

เฌอปรางได้เรียนรู้อะไรจากการแสดงครั้งแรกนี้บ้าง

โห เอาง่ายๆ เลยเรียนรู้การทำงานวงการการแสดง เฌอไม่เคยรู้ว่ามันต้องออกกองตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น (หัวเราะ) มันทรหดกว่าที่คิด ในส่วนการแสดงนั้นมันเปิดให้เฌอเข้าใจตัวเองมากขึ้น ยอมรับ และคิดย้อนไปถึงอดีตว่าทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ในปัจจุบันค่ะ แล้วอะไรที่บล็อกเราอยู่ ก่อนหน้านี้เฌอเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก แต่ไม่ใช่ร้องไห้ไม่ได้นะ (หัวเราะ) แต่คือนานๆ ที จริงๆ ปีละครั้ง ไม่เคยกรีดร้อง ไม่เคยแสดงอารมณ์เต็มที่ ซึ่งการแสดงครั้งแรกที่เจอครูบอกให้กรี๊ดออกมา เฌอกรี๊ดไม่เป็น เป็นแต่แบบกัดฟันเอา (ทำเสียงกรี๊ดแบบกัดฟัน)

        การแสดงก็คือ... ระเบิดออก ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน แล้วยากมาก มันทำให้เฌอรู้ว่าเฌอมีอารมณ์เก็บกดอยู่เยอะมากในตัว เป็นกำแพงที่เฌอตั้งขึ้นมาเองให้รู้สึกว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง ไม่อยากให้แม่รู้สึกเสียใจกับอะไรก็แล้วแต่ คือรู้สึกว่าเราต้องเป็นเสาหลัก เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ การร้องไห้เลยไม่ใช่ทางออกของเฌอ เฌอจะกดมันไว้ลึกที่สุด แต่ว่าเรื่องนี้มันมีที่ต้องใช้มัน ต้องเศร้า ต้องเอาออกมา มันเลยต้อง rethink กับตัวเองตั้งแต่แรกค่ะว่าทำไมเราถึงไม่ร้องไห้เลย แต่สุดท้ายก็มาหัวเราะกับแม่ค่ะว่าเฌอร้องไห้ได้นะ (หัวเราะ) เฌอไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา เฌอถึงจะแบบค่อยๆ คลายมากขึ้น แล้วก็แบบเรียกว่ามันช่วยให้เฌอสบายๆ กับชีวิตมาก ไม่จริงจัง ไม่เครียดอะไรขนาดนั้น แต่มันก็มีความ perfectionist ที่เป็นนิสัยของเฌออยู่เหมือนกันนะ ที่แบบฉันเรียนการแสดง ฉันก็ต้องทำให้สุด เออมันก็เลยเป็นว่าไปให้สุดทุกอย่าง มันก็ยังมีนิดหนึ่งที่ยังติดอยู่ แต่ก็สบายมากขึ้นค่ะ

"การแสดงทำให้เฌอรู้ว่าเฌอมีอารมณ์เก็บกดอยู่เยอะมากในตัว เป็นกำแพงที่เฌอตั้งขึ้นมาเองให้รู้สึกว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง"

อะไรยากสุดในอาชีพการแสดง

สำหรับเฌอมันคือการต้องอยู่กับอารมณ์ที่มันแย่ๆ ซ้ำๆ ค่ะ คือการแสดงของตัวละครมันคือผ่านครั้งเดียว หรือเราเจออะไรบางอย่างเราจะรู้สึกครั้งเดียว แต่ไม่ การแสดงมันต้องมีฉากนี้ซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ซึ่งอันนี้เฌอเพิ่งมารู้สึกตัวว่ามันยากเหมือนกันกับการที่เฌอต้องยอมให้ตัวเองรู้สึกแย่กับอะไรแบบนั้นหลายๆ ครั้ง เพิ่งมา rethink เหมือนกันว่าจริงๆ เราไม่อยากรู้สึกแบบนั้นแล้ว ก็เลยไม่ปล่อยให้ตัวเองแสดงออกไป เราก็มันบล็อกไว้ พี่โอ๋ก็แบบพี่ต้องการมากกว่านี้ ก็ต้องค่อยๆ คลายตัวเอง นี่แค่การแสดงเราจะผ่านมันไป เพราะในเรื่องก็ดิ่งจริงๆ

        มีช่วงแรกที่หนูปลดอารมณ์จากตัวพายไม่ออก หนูกลายเป็นเปลี่ยนไปคนละคน ซึ่งช่วงแรกหนูไม่รู้สึกถึงอารมณ์ มันรู้สึกช่วงหลังๆ ท้ายๆ ที่ทิ้งช่วงมาพอสมควร ช่วงที่ถ่ายจริงๆ จังๆ เฌอทำไม่ได้ดีเท่าช่วง reshoot ด้วยซ้ำ ก็รู้ว่าอยากกลับไปแก้มันเหมือนกัน ช่วงที่เป็นรู้สึกว่าตัวเองดึงพายมาอยู่จนแบบน้องรู้สึก แล้วน้องก็บอกว่า "พี่เฌอเปลี่ยนไป" ซึ่งอันนี้ไม่รู้ตัว (หัวเราะ) เพราะตัวเองปกติมาก เวลาแสดงก็ยังยิ้มแย้มได้ก็ยังมีความสุขกับการแสดง แต่มันมีความเครียดสะสม มี pressure อะไรบางอย่างที่เฌอก็ไม่รู้สึกตัว ด้วยความเป็นพายเป็นคนจริงจัง เป็นคนมุ่งมั่น เป็นคนที่คิดลบพอสมควร เป็นคนคิดเยอะเหมือนกัน เหมือนกับเฌอเป๊ะ น้องรู้สึกเลยบอกว่า "พี่เฌอเหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างอยู่ที่น้องเข้าหาไม่ได้" ทำนองนั้น ... เฌอมารู้ตัวตอนหลังปิดกล้องแล้ว น้องบอก เอ้อ "พี่เฌอทำไมดูร่าเริงขึ้น" (หัวเราะ)

"[สิ่งที่ยากสำหรับการแสดง] สำหรับเฌอคือการต้องอยู่กับอารมณ์ที่มันแย่ๆ ซ้ำๆ เราเจออะไรบางอย่างเราจะรู้สึกครั้งเดียว แต่ไม่ การแสดงมันต้องมีฉากนี้ซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง"

Cherprang Areekul

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

การแสดงทำให้เฌอปลดล็อกอะไรบางอย่าง มันส่งผลกับการทำหน้าที่ให้ BNK48 ไหม

จริงๆ ก็ส่งผลนะคะ มันทำให้เฌอรู้สึกคลายมากขึ้น ไม่แบกมันขนาดนั้นแล้ว รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่แต่ก็ทำเฉพาะหน้าที่แค่นั้นจริงๆ การดูภาพลักษณ์โดยรวมก็ยังอยู่ ก็เรียกว่าคลายกับน้องๆ มากขึ้น แล้วก็ชิลๆ กับหลายๆ อย่างมากขึ้น ใช้คำนี้ดีกว่า (หัวเราะ) นอกจากนี้ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไปค่ะ เพราะบางอย่างมันก็ยังต้องแข็งอยู่ ต้องดูแลวงอะไรอยู่ ดูแลน้องๆ ตั้งแต่ช่วงอายุเด็กๆ จนถึงโตๆ มันก็มีการดูแลที่แตกต่างกัน

BNK48 มีรุ่น 2 แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

มีความแบบจับปูใส่กระด้งเหมือนกันค่ะ ก็วุ่นวายมากขึ้น แต่ว่าเราก็มีคนที่พร้อมออกงานมากขึ้น แต่ต้องบอกว่าสงสารรุ่น 2 ค่ะ เพราะว่ามีเวลาเตรียมตัวไม่นานก่อนที่จะออกสู่ประชาชน เรามีเวลา 6 เดือน แต่น้องมี 2 เดือนเอง ที่แบบจะฟิตตัวขึ้นมา จำท่าจำเพลง 10 เพลง น้องทรหดกันมากค่ะ ซ้อมร้องซ้อมเต้น ปรับตัวเข้ามาอยู่ BNK48 การเจอโซเชียลมีเดีย หูย... เปลี่ยนได้ในระยะเวลาไม่นาน ก็น่าเห็นใจ แต่ก็มีข้อดีที่เรามีสมาชิกเยอะที่สามารถขยายฐานแฟนคลับได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ดีใจที่น้องๆ มา ปัจจุบันรุ่น 1 ตอนนี้งานก็มีประจำทุกวัน ก็ไม่ค่อยได้พัก ต้องดูแลร่างกายกันมากขึ้น มีน้องมาช่วยออกงานที่พวกเราไม่สามารถไปออกกันได้ บางทีก็ผสมๆ กันไป เพราะฉะนั้นมีมาก็จะได้ช่วยพยุงวงให้อยู่กันไปนานๆ ค่ะ แต่ว่าตัวเฌอเนี่ยมันจะลำบากก็ตอนที่อยู่ 50 กว่าคนก็แบบ... รวมมมม ฟังงงงงงง (ตะโกน) ก็แบบขอไมค์ค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่เคยประชุมกันเป็นวงใหญ่ๆ สักที

ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง

โห การทำงานที่ญี่ปุ่นสุดยอดมากค่ะ อันนี้ต้องบอกว่าเป็นผลจากแฟนๆ จริงๆ เพราะว่าแฟนๆ เป็นคนส่งให้ไปในการโหวตคะแนนลงไปทำให้ได้ที่ 39 ค่ะ ขอบคุณมากๆ เพราะว่าเฌอได้ทั้งขึ้นคอนเสิร์ตกับที่นู้น ทั้งฮอลล์เขา สามหมื่นคน ซึ่งก็ประสบการณ์ทำงานก็อีกเรื่องหนึ่งเลย มีความเป็นมืออาชีพยิ่งกว่าเดิมอีก ขนาดเราที่ทำงานก็ค่อนข้างโอเคมากแล้วนะ แต่ไปเจอเขาคือแบบเป๊ะทุกอย่าง ตามเวลาแบบนาทีเป็นนาที ด้วยความญี่ปุ่นเนอะ เขาให้การยอมรับพวกเรามากขึ้น recognize มากขึ้นว่ามีพวกเราอยู่ที่ประเทศไทยนะ เดี๋ยวไปเยี่ยมนะ อะไรอย่างนี้ ดีมาก แล้วก็ต้องบอกว่าอย่างน้อยนอกจากชื่อกรุงเทพฯ อาหารไทย (หัวเราะ) ก็มีวงไอดอลเกิดขึ้นที่เมืองไทยอยู่นะ

ทุกคนอาจจะมองว่าเวลาเฌอเริ่มไปทางอื่น เฌอจะ step down จากงานเพลงหรือเปล่า

ไม่ค่ะ เฌอยังอยู่ในวงอยู่นะ (หัวเราะ) น่าจะอยู่อีกนานเลยค่ะ โดยส่วนตัวไม่ได้ตั้งใจจะเข้าวงการการแสดง ได้มาแสดงหนังนี่เฌอแบบ หื้ม เขาคิดอะไรอยู่เหรอ ... หนูคิดว่าโอกาสแบบนี้ beyond impossible ของเฌอ คือเป็นคนดูหนังทุกอาทิตย์ แต่ไม่เคยคิดหรือมีความฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้ไปอยู่บนจอภาพยนตร์ แต่เป็นโอกาสที่เราต้องคว้า พอได้ลองแล้วสนุกมาก บางทีเราอาจเป็นคนซาดิสม์ ชอบทรมานตัวเอง (หัวเราะ) ไปอยู่กับการแสดงมันจะมีการเค้นอารมณ์ ใช้ร่างกายหนักมาก แต่ว่ามันสนุกพอเห็นผลงานออกมาแล้วทุกคนชอบ

ตอนนี้เรียนอยู่ปีไหนแล้ว

อยู่ปี 4 ขึ้นปี 5 ค่ะ ปีหน้าก็จะจบแล้ว หวังว่านะ (หัวเราะ) ... งานเยอะมากค่ะ หนูเรียนเช้า ทำงานบ่ายค่ะ ตั้งแต่เข้า BNK48 มาก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดค่ะ การทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยนี่มันเหนื่อยมากกว่าที่ทุกคนคิด

อะไรคือเคล็ดลับของการทำทุกอย่างให้ได้ดี

ทำมันไปทุกอย่างค่ะ ทำให้เต็มที่ทุกอย่าง สำหรับการเรียนที่ทำให้เฌอผ่านทุกอย่างไปได้คือ ตรูจะไม่จ่ายค่าเทอมอีกรอบแน่ๆ (หัวเราะ) คือมันแพงมากเลย แล้วก็เฌออยากเรียนจบให้เร็วๆ ที่บ้านหนูไม่ได้มีเงินขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นเงินที่หนูได้มาเรียนมหาวิทยาลัย คือเงินเก็บของทางบ้านค่ะ ก็เลยอยากเรียนให้จบไวๆ

มีแพลนหลังเรียนจบว่าอยากทำอะไรไหม

ก็ทำงานเต็มตัวใน BNK48 หลังจากนี้ก็คงมีการลุยต่างจังหวัด ลุยต่างประเทศมากขึ้น ปีหน้าก็น่าจะเห็นอะไรหลายอย่างใน BNK48 เพิ่มมากขึ้นเหมือนกัน อีกอันหนึ่งคืออยากเรียนภาษาเพิ่ม ญี่ปุ่นคือพอฟังได้ แต่ยังเขียนไม่ได้ค่ะ เราอยู่ระดับต้นๆ เองค่ะ อีกอันหนึ่งคือภาษาจีน เพราะเป้าหมายของผู้บริหารอีกอย่างหนึ่งคืออยากตีตลาดจีนด้วย เราก็ควรจะรู้ไว้

Cherprang Areekul

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ความดังของ BNK48 ของปีที่แล้วกับปีนี้เติบโตมาอย่างก้าวกะโดดมาก เฌอรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นอย่างไรบ้าง แล้วถ้ามีโอกาสได้ย้อยเวลากลับไปบอกเฌอในอดีตตอนเข้ามาใหม่ๆ อยากบอกว่าอะไร

ทำต่อไป ซ้อมต่อไป ทำให้มันเยอะๆ เหมือนเดิมค่ะ คือจริงๆ เฌอก็ทำมาอยู่แล้ว ซ้อมทุกวัน เพราะว่าเป็นคนที่ติดลบสกิลด้านนี้มาอยู่แล้ว ถ้าจะบอกก็ทำต่อไป ทำให้มันดี อาจจะบอกให้ทำหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ มันจะได้ดีกว่าเดิมตอนนี้ ถ้าถามว่าโตไหม ก็โตมาเยอะเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เฌอก็เข้าใจโลกพอสมควรเลยนะ มองประวัติศาสตร์ก็เห็นความซ้ำอะไรของคนอยู่ ในวงการวิทยาศาสตร์ก็เห็นอยู่ พอมาในวงการก็เห็นเหมือนเดิม มีวนมีลูป สุดท้ายทุกอย่างมันจะกลับมาจบที่ตัวเราเองว่าเราจะรู้สึกกับมันมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าจริงๆ ก็เจอเรื่องเยอะเหมือนกันค่ะ เท่าที่นับๆ แล้ว ตอนแรกเข้า BNK48 มาก็แกเป็นใครวะ พอตอนนี้ก็จะอยู่ได้นานไหม ซึ่งก็เจอไปเรื่อยๆ

เฌอมีชีวิตส่วนตัวไหม

มีค่ะ มีนานๆ ทีที่มีวันหยุดก็ได้ไป ส่วนใหญ่จะลงเวลาไปกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ไปหาหมอกายภาพฯ ไปตรวจเช็คร่างกายตัวเอง เรื่องสุขภาพรู้สึกว่าเราเป็นอะไรไปไม่ได้ คือแค่เฌอหายไปประมาณครึ่งวัน ไม่อัพเดตอะไร แฟนๆ ก็เริ่มมาแหละ รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ของเฌออีกคนที่เฌอต้องแคร์เขา เพราะมีคนดูเราทั่วประเทศแล้ว คืออันนี้เฌอก็เจอคุณหมอบอกมาว่าเฌอต้องดูแลร่างกายตัวเองดีๆ นะ เพราะร่างกายเฌอไม่ใช่แค่ของเฌอคนเดียวแล้ว มีวันหนึ่งหนูไปกินข้าว ก็คิดว่าเออ ร้านนี้คงไม่มีใครรู้จักหรอก สักพักเจ้าของร้านเดินมา "หวัดดีค่ะ น้องน่ารักมากเลย" หนูก็.. ค่ะ (หัวเราะ)

        น้องมีชีวิตของน้อง น้องแค่ทำงาน น้องแค่ทำเต็มที่กับทุกอย่างไปเรื่อยๆ น้องมีความสุขกับการทำงานแค่นั้นเอง น้องแค่เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตส่วนตัวจริงๆ มันก็ไม่ได้มีตั้งแต่แรก ก็เรียนๆ อยู่หอๆ แค่นั้น เปลี่ยนจากดูการ์ตูนอยู่หน้าคอม หรือทำโปรเจ็ต์ ไปเป็นไปทำงานที่ต้องเจอคนแทน ชีวิตส่วนตัวจริงๆ ก็ยังไม่ได้หายไป ยังคงมีเวลาเจอเพื่อน นานๆ ที (ทำเสียงสูง) นานทีมาก... ตรูมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง ไม่งั้นจะไม่เหลืออีกแล้ว อะไรอย่างนี้ ก็ต้องบอกเพื่อน แล้วเพื่อนก็จะดีใจที่เรามา เพื่อนก็ไม่ได้เจอกันบ่อยอยู่แล้วค่ะ เพื่อนมหาวิทยาลัยจะกระจายกัน เพราะงั้นนานๆ ทีเจอกันค่ะ

"รู้สึกว่าเราเป็นอะไรไปไม่ได้ คือแค่เฌอหายไปประมาณครึ่งวัน ไม่อัพเดตอะไร แฟนๆ ก็เริ่มมาแหละ รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ของเฌออีกคนที่เฌอต้องแคร์เขา เพราะมีคนดูเราทั่วประเทศแล้ว เฌอเจอคุณหมอบอกมาว่าเฌอต้องดูแลร่างกายตัวเองดีๆ นะ เพราะร่างกายเฌอไม่ใช่แค่ของเฌอคนเดียวแล้ว"

เป็นเฌอปรางมันเหนื่อยเนาะ

(หัวเราะ) จริงๆ เฌอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้องการมีชีวิตส่วนตัวอะไรหรอก แค่เขาไม่บ่นเวลาเฌอหายไป เฌอก็แฮปปี้มากแล้ว เพราะจริงๆ ถ้าเกิดเฌอหายไป คือเฌอนอนอยู่ ไม่ก็นั่งเล่นโทรศัพท์ นั่งดูยูทูป ฟังเพลง การ์ตูนนี่ก็แทบไม่ได้ดูแล้ว เพราะไม่มีเวลาจะดู แต่เริ่มดู Netflix เพื่อการแสดงเลยนะคะ (หัวเราะ)

Cherprang Areekul

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา