Nont Tanont
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

คุยกับ นนท์-ธนนท์ หนุ่มที่อยากให้เสียงร้องเพราะๆ ของเขาเป็นส่วนหนึ่งในความสุขของคุณ

จากเด็กเวทีประกวดร้องเพลงที่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง สู่แชมป์รายการร้องเพลงถึง 2 เวที นนท์-ธนนท์ พร้อมแล้วกับคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก

เขียนโดย
Time Out Bangkok editors
การโฆษณา

จากเด็กเวทีประกวดร้องเพลงที่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง นนท์-ธนนท์ จำเริญ ก้าวสู่การเป็นแชมป์รายการร้องเพลงถึง 2 เวที (The Voice Thailand ซีซั่นแรก และ The Mask Singer Thailand ซีซั่น 4) ล่าสุดหลังจากผ่านประสบการณ์ในวงการมากว่า 7 ปีที่ นักร้องหนุ่มเสียงดีที่มาพร้อมกับร่างสูงรางนายแบบก็อดใจไม่ไหวที่จะทำตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ตัดสินใจจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกให้ทุกคนได้มาเอ็นจอยด้วยกันในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

เราชวนนนท์มานั่งคุยเบาๆ อีกครั้งก่อนคอนเสิร์ต มารู้จักตัวตนและเส้นทางของหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นอีก

จริงๆ แล้วสนใจการร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอน 4 ขวบครับ ชอบมากแต่ก็ยังไม่ได้ร้องจริงจัง เพราะว่าเรามีสัญญาในการเป็นนักกีฬาอยู่ … แต่ว่ามาเริ่มร้องเพลงจริงๆ ตอนที่เกิดอุบัติเหตุล้มสเก็ตบอร์ด กระดูกเชิงกรานร้าว กายภาพอยู่ 2-3 ปี ดับฝันไปเลย นักวิ่งที่เราวิ่งมาก่อน วันนึงมันวิ่งไม่ได้ มันเหมือนเป็นนกแต่บินไม่ได้ แต่บังเอิญไปเจอกับวงดนตรีโรงเรียนเขากำลังซ้อม แดนเซอร์ก็ซ้อมรำไป นักร้องก็ซ้อมร้องกันไป งั้นเราไปสมัครเป็นนักร้องดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าอยากเป็นแบบวงพราว วงพรู อยากมีภาพแบบนั้น

        ไปแรกๆ เขาก็ไม่เอาเข้าวง หน่วยก้านไม่ได้ เราก็ไม่ยอม ก็ไปบอกพ่อ พยายามใช้เส้นสายทุกอย่าง อำนาจมืดทุกอย่าง กลายเป็นว่าทำไปทำมาพ่อรู้จักกับคุณครูที่เป็นเจ้าของวง เป็นเพื่อนสมัยที่เรียนช่างด้วยกัน มิตรภาพก็เกิดขึ้นแล้วผลประโยชน์ก็ตามมา (หัวเราะ) โดยที่เราก็ได้เข้าไปอยู่ในวง ซึ่งตอนนั้นในวงก็มีพี่แก้ม [วิชญาณี เปียกลิ่น] พี่เกต [จิณภัค เปียกลิ่น] ตอนนั้นผม 7 ขวบ ร้องเสร็จก็ลงมานั่งเล่นบ้านทรายทองกัน แล้วก็ขึ้นไปร้องต่อ ตอนนั้นพี่เกตเป็นเป็นแดนเซอร์แล้วก็เป็นนักร้องด้วย พี่แก้มตอนนั้นก็สมบูรณ์เลย แบบร้องเก่งสุดในวง

คนไป The Voice ต้องมีความมั่นใจว่าตัวเองเสียงดี นนท์มั่นใจในตัวเองขนาดไหน

ไม่มั่นใจ เหตุผลเดียวที่ไปคือเข้าใจว่าเป็นรายการประกวดวง ก็เอาวงไป เวลาประกวดเดี่ยวนี่แพ้ตลอด ก็เลยรู้สึกว่า ไม่ใช่ทางของเรา เคยเจอคำว่ารบร้อยครั้ง แพ้ร้อยครั้ง นี่ก็ตลอด ประกวดแล้วกลับบ้านเลย ไม่ต้องรอประกาศผล ตลอดปีนั้นมีครั้งเดียวที่เขาโทรกลับมาว่าได้ที่ 2 แม่ต้องปลุกลุกขึ้นมาแต่งหน้าใหม่ไปรับรางวัล นอกนั้นก็คือ ร้องเสร็จแล้วก็กลับบ้านเลย

หลังจากประกวด The Voice นนท์หายไปไหนมา

ไปเรียนมาครับ ไปเรียนให้จบม.6 แต่ระหว่างนั้นคือทำเพลง หลักๆ ก็เพลงละคร ซิงเกิ้ลจะปล่อยปีละเพลง แต่เราก็จะไม่ได้โฟกัสมากเพราะว่าตอนนั้นเราเรียนหนัก มัธยมมันจะไม่เหมือนมหาวิทยาลัย มันเรียนมันก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงเรียน 8 ชั่วโมง ถึงจะออกมาได้ แล้วโรงเรียนก็ไม่ค่อยปล่อย จัดการชีวิตตัวเองยาก ก็เลยรู้สึกว่า งั้นรีบทำให้จบ จะได้โฟกัสเป็นอย่างๆ ไป

Nont Tanont

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

  

หลังจากไม่ได้เห็นหน้ามานาน กลับมาอีกครั้งกับการเดินแบบ รู้สึกตกใจกับกระแสตอบรับไหม

ตกใจครับ ตกใจตั้งแต่แบบ เฮ้ย! ทำอาชีพนี้ได้ด้วยเหรอวะ มันไม่ใช่อาชีพที่เราครอปหน้าแล้วไปวางเลย ไม่มีภาพในหัวเลยว่าตัวเองทำอาชีพนี้ได้ คือมีภาพทุกอาชีพเลยนะที่เอาหน้าตัวเองไปวางอะ รู้สึกไม่เคอะเขิน แต่เดินแบบเนี่ย... อย่าลืมนะว่าผมมาจากรายการที่ไม่เอาหน้าตา แล้วจู่ๆ มันได้มาเดินแบบ มันคือพลิกแล้วพลิกอีกกว่าที่เราคิดไว้ แล้วที่พลิกกว่าคือมาบอกก่อนไม่นาน ที่สำคัญคือเดินฟินาเล่ด้วย เราโชคดีตรงที่ว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เราเลยไม่ค่อยที่จะป่าวประกาศให้คน expect ในสิ่งที่เราทำ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ใช่คนที่จะกดตัวเองให้ต่ำหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เราเชื่อว่าเราทำทุกอย่างได้ ถึงแม้เราจะไม่เคยคิดเลยก็ตามว่าเราจะทำสิ่งนี้แต่เมื่อได้โอกาสมาทำเราก็เลยทำ ทางผู้ใหญ่เชื่อว่าเราทำได้ แล้วทำไมเราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

ด้วยความที่นนท์ดูดีขึ้น คนเลยสงสัยว่าเราไปทำศัลยกรรมมารึเปล่า นนท์รู้สึกยังไง

ก็ไม่แปลกนะ ตอนนั้นผมเดินแบบแล้วคนเขาก็จะไปขุดรูปเก่า ผมยังตกใจตัวเองเลย (หัวเราะ) แบบเขาส่งรูปมา เราหาตัวเองไม่เจอ เพราะในรูปนั้นตัวเองถอดแว่น พอถอดแว่นก็เลย นี่เราเหรอวะ แล้วก็ไปดูรูปพ่อตอน 16 ไปดูรูปพี่ๆ ที่ว่าเราศัลยกรรมอะ ตอนเขาเด็กๆ (หัวเราะ) ก็ไม่ต่างจากเราแหละ

        ทุกคนก็ผ่านจุดที่เรียกได้ว่า มั่นใจในเรื่องที่ห่วย แบบว่าคิดว่าแฟชั่นนี้มันมา แต่งแล้วมันโดน ลุคนี้เข้ากับเรา ผมทรงนี้มันใช่ มั่นใจมาก แต่จริงๆ แล้วคือมันพลาด เขาก็ผ่านจุดนั้นมา เราก็แค่คนหนึ่งที่พยายามพัฒนาตัวเองเหมือนกัน…เราไม่ได้แอนตี้ศัลยกรรม หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลก ไปไหนก็มีรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนสมัยนี้ไม่ได้เชื่อมั่นในโครโมโซมของมนุษย์เลยว่ามันสามารถพัฒนาเองได้ คนบางคนที่ดูแลตัวเองก็สามารถดูดีขึ้นได้ แล้วมันไม่ได้ดูดีแค่เรื่องร่างกาย กายภาพ แต่มันมีมากกว่านั้น มันมีเรื่องของเสื้อผ้าหน้าผมที่มันตัดแล้วมันเข้ากว่า มันอยู่กับเราแล้วมันเหมาะกว่า มันต้องมีจุดที่มันก้าวผ่านบางอย่าง

การร่วมงานกับ แม็ค-ศรัณย์ วงศ์น้อย เป็นยังไงบ้าง

ผมสนุกอ่ะ คนนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกคนที่ผมมองว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนเข้าใจเรา … ก่อนหน้านี้ที่ทำเพลงก็จะมีโปรดิวเซอร์ที่เราไม่กล้าเสนอไอเดีย เรารู้สึกเกรงใจ เพราะเขารุ่นใหญ่มาก แล้วเราก็เด็กมาก แต่พอมาเป็นพี่แม็ค เรากล้าพูด แล้วโชคดีคือ เราพูดออกไปแล้วเขาฟังเรา เราก็เลยชอบทำงานกับคนแบบนี้

นอกจากเขียนเพลงแล้ว นนท์มีส่วนร่วมอย่างอื่นอีกไหม

มีทั้งในส่วนของงานภาพ งานอะไรที่เราอยากให้มันจะเป็น …อย่างเรื่อง MV เราก็มีเสนอบ้าง มี inspire บ้าง เสนอเข้าไปนิดหน่อยว่าอยากได้ภาพประมาณนี้ โทนประมาณนี้ สีประมาณนี้ เฉดประมาณนี้ หลักๆ จะเป็นเรื่องเพลง ดีไซน์ร้องเราจะมีส่วนร่วมทุกอย่าง ดีไซน์เพลงหรือช่องคำไหนทีเรารู้สึกว่าไม่ใช่คำพูดของเรา เนื้อเพลงที่ไม่ใช่ของเรา อาจจะขอเปลี่ยน …เรารู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับทุกผลงาน เพราะว่าเราไม่อยากให้งานทุกงานมันเป็นงานที่เรารู้สึกแย่กับมัน

การเล่นซีรีส์ Love Song Love Series ตอน สบายสบาย เป็นยังไงบ้าง แตกต่างกันไหมกับการแสดงละครเวทีมากไหม

เป็นพระเอกครับ ก็ตอนแรกไปออดิชั่นเป็นนางเอก แต่เขาไม่เอา เหลือบทพระเอกว่างอยู่เลยเอา เล่นเอง ล้อเล่น (หัวเราะ) ได้รับโอกาสดีๆ ครับ จากทาง GMM25 แล้วก็จากทีมผู้จัด ทีมภาพยนตร์ ทีมซีรีส์ครับ คือเขาชอบสตอรี่ ชอบคาแร็กเตอร์ของเรา เรื่องราวที่เกี่ยวกับเรา เขาก็เขียนบทนนท์ขึ้นมาเลย เป็นคาแร็กเตอร์เรื่องราวที่เป็นความรักเพื่อน เราอ่านบทก็ เฮ้ย! บทดี ถามเขาว่าเราเล่นเป็นใคร ก็เล่นเป็นนนท์เลย เราเลยอยากลองทำ เพราะปีนึงเราก็อยากทำงานแสดงบ้าง ถ้ามีเวลา

        ความยากก็ต่างกันครับ อย่างละครเวทีตอนแรกตกลงกันที่ 40 รอบ ทำไปทำมา กระแสตอบรับดี ผมตายไป 80 รอบครับในเรื่อง ตายจนแบบพอแล้วนะ เพิ่มรอบผมไม่ไหวแล้ว ให้ผมไปไอๆๆๆ ไอจนตายเนี่ย ผมแบบไม่ไหว (หัวเราะ) พักก่อน แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ละครเวทีคือการรวม 3 ศาสตร์ ร้อง แสดง เต้น รวมหมดเลยอยู่ในการแสดงครั้งเดียว ที่โหดที่สุดคือ ไม่มีคัท ไม่มีมุมกล้องช่วย ไมโครโฟนช่วยได้นิดหน่อย แต่ energy, message ทุกอย่าง คุณต้องส่งให้ถึง แต่พอมาเล่นซีรีส์มันก็ง่ายขึ้น

Nont Tanont

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

จากการเป็นผู้ชนะทั้ง The Voice และ The Mask Singer คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จไห

ดีใจครับ เพราะมันเป็นเวทีรวมซุปเปอร์สตาร์ทั้ง 2 เวทีเลย แล้วเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องชนะ เราไม่ได้รู้สึกเหมือนเราไปแข่งขัน เราไปเป็นแขกรับเชิญของรายการ ไปนั่งตอบคำถามกัน ไปซ่อนแอบกันว่ารู้ไหมว่าเราเป็นใคร แอบปั่นหัวเขาเล่น แอบหยอก แอบแซว เราชอบโมเมนต์แบบนั้น … เราไม่รู้สึกว่าชนะคือการประสบความสำเร็จ ชนะมันคือการได้รับฟืนก้อนใหญ่มาเพื่อโยนเข้าไปในรถไฟหัวไอน้ำแค่นั้นเอง (หัวเราะ) ทำให้เราขับเคลื่อนต่อได้ ทำงานต่อไปได้ มีกำลังใจที่อยากทำงาน แต่งานจะดีหรือไม่ดีอ่ะ อันนี้อยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่คำติชม อยู่ที่มุมมองของตัวเอง

ถ้ามีโอกาสได้เขียนเพลงจริงๆ อยากให้ใครร้องเพลงของเรา

ผมเคยเอาเพลงที่ผมเขียนไปให้พี่ๆที่ผมเคารพรักดู ทุกคนบอกว่ามันคือเพลงเพื่อชีวิตหมดเลย (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่า taste ของเราไม่ใช่ taste ที่คนทั่วไปทานได้ เชื่อดิ เด็กม.ต้นฟังไม่ได้หรอกเพลงที่เราเขียนเรื่องการจากลาอะไรอย่างเงี้ย …แต่ถ้าถามว่าคิดไหมว่าจะให้ใครร้อง ถามว่าใครกล้าร้องดีกว่า ถ้ามีคนกล้าร้องเดี๋ยวมาเลือกตาม choice ที่มี แต่ให้มันมี choice เกิดขึ้นมาก่อน (หัวเราะ)

ในบรรดาผลงานที่ทำมา ร้องเพลง ละครเวที เดินแบบ นนท์ชอบทำอะไรมากที่สุด

ชอบหมดเลย มันเป็นงานศิลปะหมดเลย มันมีวิธีเล่าต่างกัน มีวิธีพรีเซนต์ให้คนมองเห็นต่างกัน … แต่ถามว่างานไหนเป็นตัวตนเราสุด เรารู้สึกขอบคุณงานไหนสุดก็คงเป็นร้องเพลง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามาเจอกับงานอื่น เราเลยรู้สึกว่าการร้องเพลงเป็นที่ของเรามากที่สุด เราชอบอยู่กับคน เราอยากเห็นรอยยิ้มของคนกับแอ็กชั่นที่เราทำไปตอนนั้น เราอยากเห็นผลลัพธ์ของมันเลยว่าคนมีความสุขกับเราขนาดไหน คนสัมผัสจากสิ่งที่เราทำได้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นเรารู้สึกชอบตัวเอง on stage ที่สุด

Nont Tanont

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

Nont Tanont

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในวงการ นนท์คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ในวัย 21 ปี

ผมว่าผมก็ยังเล่นดนตรีนะ ผมอยากเป็นครูสอนดนตรี เออทำอะไรก็ได้ที่มีความสุขอะ มีแฟนจะทำให้เราได้เป็นตัวเองสุดๆ หรือไม่เป็นตัวเองโครตๆ ไปเลยอะ แล้วก็จะได้พยายามหาตัวเองไปอีก เราก็จะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก นอกจากมีแฟน ทำงาน แล้วก็มีสุขภาพที่ดีกว่านี้ ทำงานตรงนี้แล้วสุขภาพแย่ ถ้าพูดตรงๆ มันนอนแทบไม่ได้นอน กินแทบไม่ได้เป็นเวลา ผมป่วยบ่อยมาก

เร็วๆ นี้นนท์กำลังจะมีคอนเสิร์ตของตัวเองแล้ว

คอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตแรกในชีวิต อยากทำอะไรก็ตามที่อยากทำ เท่าที่ทำได้และมันก็ไม่แย่เกิน เพราะว่าในหัวก็มีนะเรื่องที่แย่ละก็อยากทำ (หัวเราะ) หลักๆ คือผมว่าการได้เป็นตัวเอง 100% ในตลอดการอยู่วงการบันเทิงมันเป็นอะไรที่ดี ดีใจที่ทุกคนได้รู้จักเรา แต่ก็รู้สึกว่าอยากรู้จักทุกคนด้วยอยากรู้จักคนดูมากขึ้น อยู่ใกล้คนที่แบบติดตามเรามากขึ้นจริงๆ ก็เลยทำคอนเสิร์ตเดี่ยวเลยดีกว่า มีเกสต์พิเศษ มีโชว์พิเศษ มีเซอร์ไพรส์รออยู่ มันเป็นสิ่งที่เราอยากทำ แล้วครั้งแรกมันมีได้แค่ครั้งเดียว แล้วเผลอๆ เราไม่รู้ว่าจะทำคอนเสิร์ตอีกไหม เพราะว่าทำคอนเสิร์ตโครตเหนื่อยเลยอ่ะ พูดตรงๆ

        คอนเสิร์ตนี้เตรียมตัวนานครับ จริงๆ ก็มีแพลนในหัว ผมมองว่าจุดสูงสุดของศิลปินสำหรับผมตอนนี้คือผมอยากมีคอนเสิร์ตเดี่ยวที่ใหญ่ และคนดูเป็นพัน ซึ่งตอนนี้ที่ซาวด์เสียงบัตรไม่น่าพอเว้ย ถ้ารู้งี้นะ (หัวเราะ) รู้อะไรไม่เจ็บใจเท่ารู้งี้จริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมถือว่าเดี๋ยวจะจัดขึ้นอีก มั้งนะ มันเหนื่อยอ่ะ คือผมก็คิดว่าอยากให้เป็นครั้งเดียวเลยก็ดี แต่ถ้าจะมีอีกก็คงอีกเป็นสิบปี ขอคิดดูก่อนเยอะๆ เพราะมันเป็นงานที่ต้องทุ่มเท เราเป็นคนที่ไม่ได้ทำสุกเอาเผากิน เราทำจริงจังแล้วเราอยากให้คนดูได้ดูอะไรที่ดีจริงๆ

ในอนาคตนนท์เห็นตัวเองยังไง ยังเป็นนักร้องอยู่ไหม หรือว่าจะย้ายไปทำเบื้องหลัง

จริงๆ ตามจุดประสงค์แรกของผมคือเข้าวงการมาเป็นคนเขียนเพลง ทำเบื้องหลัง ผมก็ยังคิดแบบนั้นนะ เพราะว่าผมมองว่าชีวิตเบื้องหน้าก็ไม่ใช่แบบที่ผมคิดไว้ทั้งหมด … แต่ผมก็รู้สึกว่าชอบตัวเองเวลาอยู่ท่ามกลางคนดู ผมชอบเวลาได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขของใครสักคน ยิ่งช่วงที่เขาแย่ๆ แล้วเขายึดเราเป็นจุดที่ดึงเขาขึ้นมาจากมุมมืดตรงนั้นได้ เดินทางมาเพื่อเจอเรา ลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลบินข้ามประเทศมาเพื่อดูเรา โครตเจ๋งเลยอะอาชีพเนี้ย แต่ว่าท้ายสุดก็ไม่รู้ แก่แล้วไม่ไหวมั้ง (หัวเราะ) แต่ก็จะพยายามทำเท่าที่ทำได้ครับ

I am Nont Tanont The First Concert วันที่ 24 พฤศจิกายนที่ Ultra Arena Hall, Show DC บัตรราคา 1,000-3,000 บาท เปิดจองบัตร early bird วันที่ 29-30 กันยายนพร้อมรับโฟโต้เซ็ตพิเศษ เปิดจองบัตรปกติตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคมที่ All Ticket ทุกสาขาทั่วประเทศ  

เขียนโดย บุสบา ขันซ้อน

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา