[title]
อะไรที่ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับสองของโลก? เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราได้โยนคำถามนี้ออกไป และพวกคุณคือคนที่ตอบกลับมา คำตอบเหรอ? ก็คือเอเนอร์จี้ของเมือง อาหารที่มีให้เลือกแบบจัดเต็ม วัฒนธรรมที่ชุบหัวใจ และความวุ่นวายอันแสนงดงาม… แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือเรื่องราว เรื่องเล่าเล็กๆ นับล้าน ที่เกิดขึ้นทุกวินาทีบนถนนของกรุงเทพฯ ตอนนี้ เราอยากเห็นเมืองหลวงแห่งนี้ ผ่านสายตาของคุณบ้าง ผ่านเลนส์ของคุณเอง ผ่านภาพที่พูดแทนใจ
ในโอกาสพิเศษของงาน Capture Bangkok ปีนี้ เราภูมิใจนำเสนอผลงานของช่างภาพแนวสตรีทที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ที่สุดของ ชาวเมืองกรุงเทพฯ จำนวนสิบคน ซึ่งจะจัดแสดงที่ The Corner House ย่านเจริญกรุง ระหว่างวันที่ 7–20 สิงหาคมนี้
ศิลปินเหล่านี้คือผู้ที่รู้จักเปิดเปลือกเมืองออกทีละชั้น เผยบทกวีที่ซ่อนอยู่ขณะที่รถติด ค้นพบความโรแมนติกในสายไฟที่พันกัน และความสงบกลางความเร่งรีบ ผลงานของพวกเขาจะปลุกแรงบันดาลใจ ท้าทายมุมมอง และทำให้คุณเห็นกรุงเทพฯ ด้วยมุมมองใหม่อีกครั้ง
โปร์เจกนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจาก Canon และ Coca-Cola และเราแทบรอไม่ไหวที่จะพาคุณมาร่วมเห็นภาพของเมืองที่คุณอาจไม่เคยสังเกตมาก่อน
ส่วนไฮไลต์ของงานนี้ อยู่ผนังของแกลเลอรีที่ยังมีที่ว่างอีกหนึ่งตำแหน่ง สงวนไว้สำหรับช่างภาพหน้าใหม่ ซึ่งคนนั้นอาจเป็นคุณ!
แล้วเตรียมตัวให้พร้อม! Time Out Capture Bangkok Street Photography Challenge จะเริ่มเปิดรับภาพถ่ายตั้งแต่ 30 มิถุนายน ถึง 15 กรกฎาคม
เรียกว่าเป็นสัญญาณเรียกออกลุยอย่างเป็นทางการ ชาร์จแบตให้เต็ม เดินออกไปตามท้องถนน แล้วเตรียมเผยให้เราเห็นว่า ‘กรุงเทพฯ’ ในมุมมองของคุณเป็นแบบไหน ถ้าได้ภาพแล้วก็เตรียมส่งมาที่ Google Form ของเราได้เลย แต่ก่อนอื่นมาหาแรงบันดาลใจอุ่นเครื่องกันก่อน
และนี่คือ 10 ช่างภาพผู้สร้างสรรค์ภาพถ่ายที่ทำให้เราเห็นกรุงเทพฯ ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ทั้งหมดกัน
STYLEdeJATE

สำหรับช่างภาพผู้หลงใหลในเมืองใหญ่อย่าง STYLEdeJATE ภาพของกรุงเทพฯ ในทัศนะของเขาไม่ใช่แค่เพียงฉากหลังของชีวิตประจำวัน แต่คือผืนผ้าใบแห่งความโกลาหลที่ชวนสะกดทุกสายตา เมืองที่ความวุ่นวายของผู้คน สายไฟที่พันกันยุ่งเหยิง และการจราจรที่ไม่มีวันหลับใหล กลับกลายเป็นสนามแห่งจินตนาการที่ไม่รู้จบสำหรับเลนส์ของเขา
เขาไม่ได้เพียงเก็บภาพเมืองนี้ หากแต่ร้อยเรียงมันใหม่ผ่านสายตาเฉพาะตัว ปล่อยให้ภาพทำหน้าที่เป็น บทสนทนาเงียบๆ ระหว่างเขากับสิ่งแวดล้อมในเมือง วิธีคิดแบบทดลองนอกกรอบนี้คือแก่นของงานเขา ที่เปลี่ยนผืนผ้าทอเรื่องราวของกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นสิ่งที่เปี่ยมตัวตนและมีชีวิตชีวาอย่างน่าหลงใหล
แม้ในชีวิตการทำงาน เขาจะมีโปรเจกต์ศิลปะและงานเชิงพาณิชย์ที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบแต่ความหลงใหลที่แท้จริงกลับอยู่บนท้องถนน ผ่านการเดินสำรวจโดยไร้แบบแผนบทปฏิบัตินี้เองที่เขานำมาแบ่งปันผ่าน Fotoclub BKK คอมมูนิตี้ที่เขาร่วมก่อตั้งและดูแลมากว่า 6 ปี
STYLEdeJATE พาผู้คนออกเดินสายถ่ายภาพเดือนละครั้ง เขาสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนกับศิลปินจากทั่วโลก โดยเฉพาะในย่านเจริญกรุง ย่านที่เขาอาจเคยเดินผ่านมากกว่าร้อยหน แต่กลับไม่เคยพบเรื่องเดียวกันซ้ำสอง ที่นั่นคือพื้นที่ซึ่งอดีตและอนาคตโอบกอดกันไว้ ในรูปแบบที่พร้อมจะถ่ายทอดเรื่องราวใหม่ ๆ เสมอ
การสังเกตแบบลึกซึ้งอย่างยั่งยืนนี้ ได้หล่อหลอมเป็นปรัชญาในการทำงานของ เจต นั่นคือ การถ่ายภาพด้วยความจริงใจและใคร่ครวญ เขาเชื่อว่าสิ่งที่ยกระดับภาพธรรมดาให้กลายเป็นงานศิลปะ ไม่ได้อยู่ที่เทคนิคหรืออุปกรณ์ แต่คือเจตจำนงที่แท้จริงของผู้สร้าง ในการสร้างสรรค์ พัฒนา และถ่ายทอดความจริงภายในใจของตน ให้เชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง ในยุคที่ภาพถ่ายดิจิทัลถูกผลิตอย่างไม่หยุดยั้ง เขากลับแนะนำให้ ‘ถ่ายน้อยลง แต่ไตร่ตรองให้มากขึ้น’ โดยเฉพาะการใช้ฟิล์มที่มีข้อจำกัดด้านจำนวน เพื่อบ่มเพาะกระบวนการสร้างสรรค์อย่างมีจุดมุ่งหมายและเปี่ยมไปด้วยความหมาย
สำหรับเขา ภาพถ่ายที่ทรงพลังที่สุดของกรุงเทพฯ ไม่ได้งดงามเพียงเพราะรูปทรงหรือแสงเงา หากเกิดจากการเชื่อมโยงอย่างแท้จริงกับห้วงเวลา ภาพที่สะท้อนตัวตนอันหลากหลายของเมือง คอลลาจแห่งประสบการณ์ที่บางครั้งขัดแย้ง แต่เปี่ยมชีวิต มีตัวตน และห่างไกลจากความปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง



ดาร์เคิล (Darkle)

การถ่ายภาพกรุงเทพฯ ในกรอบความคิดของ ดาร์เคิล นั้นเปรียบเสมือนการคว้าจับทั้งเงาของสิ่งที่ปรากฏ และเสียงสะท้อนของสิ่งที่เคยมี การใช้ชีวิตในย่านเยาวราชยาวนานกว่าสองทศวรรษ ทำให้เขาคลายความหลงใหลในความวุ่นวายอันฉาบฉวยลง แต่กลับถูกดึงดูดด้วยพลังบางอย่างที่ซ่อนลึกลงไป พลังเหนือธรรมชาติ ความรู้สึกถึงวิญญาณในความทรงจำ เส้นสาย จังหวะ และแรงสั่นสะเทือนของอดีตที่ไม่ยอมจางหาย คล้ายเสียงกระซิบจากกาลก่อนที่ยังคงสะเทือนอยู่ในห้วงปัจจุบัน ‘ความหมกมุ่นอย่างคลั่งไคล้’ คือนิยามที่เขาใช้เรียกกระบวนการทำงานของตัวเอง ความรู้สึกที่ผลักให้เขาเก็บเกี่ยวเศษเสี้ยวของเมืองไว้ราวกับนักโบราณคดี ก่อนที่มันจะสาบสูญไป ทุกผิวผนังและหน้าตึก สำหรับเขา คือภาพพอร์เทรตอีกแบบหนึ่งของเมือง ที่เก็บงำเรื่องราวของกาลเวลาไว้ในรอยแตกร้าว เขาคือช่างภาพที่ค่อยๆ ขูดผิวชั้นของปัจจุบัน เพื่อค้นหาเศษซากของสิ่งที่เคยมี และสำรวจว่า ‘สิ่งที่ขาดหาย’ นั้นยังคงก่อร่างกำหนด ‘สิ่งที่หลงเหลือ’ อย่างไร
แนวทางที่ลงลึกและละเอียดถี่ถ้วนนี้ คือแก่นของปรัชญาทั้งหมดในงานของเขาเขามองว่าการถ่ายภาพบนท้องถนนไม่ใช่แค่การกดชัตเตอร์ หากคือการเจรจาเงียบๆ ระหว่างตากล้องกับสภาพแวดล้อม การเคลื่อนไหวที่ถูกนำทางด้วยความเกรงใจอย่างฝังลึกในวัฒนธรรมไทย ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ความตึงเครียดระหว่างมนุษย์สามารถถูกแปรเปลี่ยนให้เกิดความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ มันคือสมดุลที่แสนบอบบาง ระหว่างการเป็นผู้สังเกตที่ไร้ตัวตน กับการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เส้นแบ่งบางๆ ที่ขยับเขยื้อนไปมาตามสถานการณ์
โปรเจกต์หนึ่งที่สะท้อนแนวคิดนี้อย่างเด่นชัด คือการถ่ายภาพหน้าจั่วหลังเดิมที่ ล้ง 1919 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ซึ่งเงาที่เปลี่ยนมุมตามแสง กลายเป็นนาฬิกาธรรมชาติที่บอกเล่าการไหลเวียนของเวลาอย่างเนิบช้า ทว่าหนักแน่น
คำแนะนำของเขาเรียบง่ายแต่เฉียบคม: ‘ถามตัวเองให้ชัด... เราอยากจะพูดอะไรจริง ๆ กันแน่?’เพราะสำหรับเขาแล้ว ภาพถ่ายที่ทรงพลัง ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียกยอดไลก์ในโลกออนไลน์ หากคือถ้อยคำส่วนตัวที่เปี่ยมด้วยความหมาย คำประกาศที่เจาะทะลุเสียงรบกวนทั้งปวง ตรงเข้าถึงใจ และทิ้งแรงสะเทือนเอาไว้


คริสเตียน โฮก (Christian Hogue)

กรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่นครที่เรื่องราวถูกเล่าขาน หากที่นี่คือสถานที่ที่เปิดให้ผู้คนค้นพบช่วงเวลาแห่งความหมาย นั่นคือเลนส์มุมมองของ คริสเตียน โฮก ช่างภาพแนวสตรีทผู้มองเมืองนี้ผ่านสายตาที่ปราศจากกรอบจำกัด เขาก้าวเดินโดยไม่ตั้งธงหรือเตรียมบทไว้ล่วงหน้า ปล่อยให้เมืองบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านฉากชีวิตที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า กระบวนการถ่ายภาพของเขาเสมือนการโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติกับสิ่งรอบตัว เขาไม่ได้ออกล่าเพื่อคว้าช็อต แต่ฝึกฝนใจให้จดจำและรับรู้เมื่อภาพใดภาพหนึ่ง ‘เรียกหา’ เขา แสงคือเข็มทิศนำทาง ไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สะท้อนบนตึกสูง หรือแสงนีออนที่เรืองรองในยามสนธยา เขาค้นพบแรงบันดาลใจจากการหลีกเลี่ยงภาพจำเดิมๆ มุ่งหน้าไปยังย่านชุมชนไทยแบบโลคอล ย่านไฮโซ และตรอกซอกซอยที่เรืองรองด้วยแสงนีออนในบริเวณอย่างสยามสแควร์และพร้อมพงษ์ ที่ซึ่งความจริงของเมืองนี้รอให้ใครสักคนหยุดมองและเก็บเกี่ยวไว้ผ่านเลนส์
แนวคิดเรื่องความเปิดกว้างของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับสถานที่ หากยังแผ่ไปถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอีกด้วย ขณะเคารพบริบททางวัฒนธรรม โฮกก็เลือกที่จะโอบรับอัธยาศัยไมตรีของคนไทยที่มักไม่ขัดเขินกับกล้อง เขามักโน้มเอียงไปทางการถ่ายภาพแนวพอร์เทรตบนท้องถนนมากกว่าการแอบถ่ายจากระยะไกล เพราะหลงใหลในชั่วขณะที่ผู้คนรับรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในเฟรม วินาทีสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความเป็นธรรมชาติ
สำหรับเขาแล้ว เสน่ห์ของกรุงเทพฯ ซ่อนอยู่ในรายละเอียดของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ในแลนด์มาร์กสำคัญ แต่ในเฉดสีจัดจ้านและองค์ประกอบที่คนท้องถิ่นคุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำอัดลมสีสันฉูดฉาดที่ตั้งอยู่ในศาลพระภูมิ รูปปั้นตำรวจริมถนน หรือปลาตะเพียนสานที่ห้อยแกว่งบนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ในมุมมองของเขา หากต้องแนะนำการถ่ายภาพเมืองนี้ให้สะท้อนถึงความเป็นต้นตำรับ เขามีเพียงประโยคเดียวที่เรียบง่ายแต่กินใจ นั่นคือ ‘แค่เปิดใจรับกับช่วงเวลาตรงหน้า’



แดนนี่ (Danny)

การเดินไปกับแดนนี่ในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกับการออกล่าความงามเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน เขาไม่ได้เดินตามแพลนที่วางไว้ แต่เขาปล่อยให้แสงแดดกับความรู้สึกนำทางต่างหาก ลัดเลาะไปตามซอยเล็กซอยน้อยในย่านอย่างเจริญกรุงหรือสามเสน กล้องของเขาคอยจับภาพสิ่งที่ ‘เป็นกรุงเทพฯ แบบไม่ต้องพยายาม’ ตั้งแต่ดีไซน์เฉพาะของเครื่องแบบชุดนักเรียน สีสดดึงสายตาตาของผลไม้ไทยท้องถิ่น ตัวอักษรไทยบนป้ายถนนข้างทาง ไปจนถึงรอยยิ้มจริงใจของคนเมืองกรุง สไตล์ของเขาไปทางเรียบง่ายและจริงใจ ไม่จัดฉาก เพราะเขาเชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมัน เว้นแต่บางจังหวะที่ภาพตรงหน้าเพอร์เฟคจริงๆ เขาก็จะไม่ลังเลที่จะขอถ่ายภาพเลย สั้น กระชับ และให้เกียรติคนในรูปเสมอ
แดนนี่มองศิลปะด้วยสายตาที่เปิดกว้างและไร้กรอบจำกัด สำหรับเขา ภาพถ่ายทุกใบที่เกิดจากความตั้งใจ ล้วนมีความหมายในแบบของมันเองทั้งนั้น เขามักถ่ายภาพสีเต็มเฟรม แต่ก็ห้ามความน่าดึงดูดของความสมมาตรและความลึกลับของภาพขาวดำไม่ได้จริงๆ อย่างภาพโปรดของเขาที่ไปถ่ายคนขายลอตเตอรี่ แม้ใบหน้าจะถูกบดบัง แต่บุคลิกกลับสื่อออกมาชัดเจนผ่านท่าทาง สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการถ่ายภาพในกรุงเทพฯ สำหรับคุณแดนนี่ ไม่ใช่แค่แสงหรือองค์ประกอบภาพ แต่เป็นการอยู่กับปัจจุบันท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ และผู้คนที่เบียดเสียด แนวคิดของคุณแดนนี่ได้รับการถ่ายทอดผ่านคำแนะนำของเขา นั่นก็คือ ให้ออกไปข้างนอกแบบไม่ต้องมีแพลน แค่เปิดตา เปิดใจ และสังเกตสิ่งรอบตัว ช้าๆ ไม่ต้องรีบ เพราะต่อให้ไม่ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ ช่วงเวลาที่คุณได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ก็คือชัยชนะอย่างหนึ่งแล้ว


ดรณ์ อมาตยกุล

ในมหานครที่ถูกนิยามด้วยพลังอันไม่หยุดนิ่ง ช่างภาพอย่าง ดรณ์ อมาตยกุล กลับมองหาสิ่งที่ตรงข้ามกับความวุ่นวาย สำหรับเขา ศิลปะแท้จริงของการบันทึกกรุงเทพฯ คือการค้นพบและบรรจงจับภาพมุมสงบที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของเมือง
เขามิได้มองเมืองนี้เป็นเพียงพายุแห่งความวุ่นวายที่ต้องเร่งบันทึก หากแต่เป็นภูมิทัศน์อันซับซ้อนที่ซ่อนความสงบไว้อย่างแนบเนียน รอเพียงใครสักคน คนที่รู้จักมอง และมองอย่างเข้าใจ วิธีการของเขานั้นไร้จังหวะตายตัว บางครั้งเขาเดินละเมียดปล่อยให้บรรยากาศนำทางให้เลนส์จับภาพเอง ในบางช่วง เขาก็ตระเวนสำรวจสถานที่อย่างละเอียดลออก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมา เลือกพื้นที่ ศึกษาทิศทางแสง มุมกล้อง และกลับมาสะท้อนภาพที่สื่อถึงความสงบที่เขาต้องการถ่ายทอด ความปรารถนาในความสงบคือสารที่เขาหวังจะ ถ่ายทอดความรู้สึกว่าแม้ในมหานครที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เมืองก็อาจช้าลงได้ หากเรายอมให้สายตาและหัวใจได้หยุดพักไว้ที่ภาพเหล่านั้นเพียงครู่เดียว
ในฐานะช่างภาพ ดอนเปรียบเสมือนผู้สังเกตการณ์ผู้ไร้ตัวตน เขาเชื่อว่าการเก็บภาพผู้คนในช่วงเวลาที่เผลอไผล ย่อมนำมาซึ่งการแสดงออกที่จริงแท้และเป็นธรรมชาติที่สุด เขาเคลื่อนไปบนท้องถนนด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเกรงใจ ละเมียดละไมในทุกย่างก้าว และตระหนักเสมอว่า เขาเป็นเพียงผู้มาเยือนชั่วคราวในห้วงชีวิตของผู้คนที่กลายเป็นเรื่องเล่าในภาพถ่ายของเขา หลักคิดนี้สะท้อนอย่างชัดเจนในภาพถ่ายไอคอนิกของเขา พระพุทธรูป ‘พระธรรมกายเทพมงคล’ แห่งวัดปากน้ำ ที่ตั้งสงบนิ่งอยู่ใต้กรอบแสงของอาทิตย์ยามอัสดง เหนือความจอแจของรถราเบื้องล่างซึ่งไปด้วยเปี่ยมด้วยความสงบ สำหรับดอนแล้ว ภาพนี้คือภาพแทนสายตาและหัวใจของเขา เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในใจกลางความเร่งรีบของเมืองหลวง ความสงบและความงามก็ยังดำรงอยู่เสมอ ส่วนคำแนะนำจากเขาสำหรับใครที่อยากเห็นด้านที่อ่อนโยนของกรุงเทพฯ?
‘ตื่นเช้ากว่านี้สักนิด’ ในชั่วโมงอันเงียบสงบของยามเช้า และเมื่อคุณยอมให้ตัวเองได้ดื่มด่ำกับสถานที่อย่างจริงจัง คุณอาจได้พบกับอีกมิติของเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นเลยตลอดชีวิต



คเณศ สินก่อเกียรติ

สำหรับคเณศ กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ค่อยๆ เผยเสน่ห์ในช่วงเวลาสงบเล็กๆ ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในเมือง เมื่อหกปีก่อน สิ่งที่เขาเห็นมีแค่รถติดและความเร่งรีบ แต่เมื่อได้มองผ่านเลนส์กล้อง เขากลับค้นพบกรุงเทพฯ ในมุมที่ต่างออกไปซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแสงอรุณอ่อนๆ ยามเช้า ความเงียบสงบในยามเย็น และรายละเอียดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในตรอกแค ๆ ที่ไม่มีใครสังเกต ภารกิจของเขาคือการเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ผ่านภาพถ่าย หวังว่าผลงานของเขาจะทำให้คนที่เห็นได้หยุดคิด หยุดมอง และเริ่มเห็นสิ่งรอบตัวในมุมใหม่ๆ เขาอยากให้คนเมืองได้รู้สึกถึงการค้นพบอีกครั้ง เช่นคำพูดที่ว่า ‘เดินผ่านตรงนี้ทุกวัน แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันสวยขนาดนี้’ ไม่ว่าจะเป็นแสงเช้าที่อบอุ่น แสงเย็นที่โรแมนติก หรือความเงียบสงบยามค่ำคืน คเณศอยากให้ภาพของเขาเป็นเหมือนการหยุดพักสายตา พาใจให้ผ่อนคลาย และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนออกไปใช้เวลาวันหยุดให้คุ้มค่า
คเณศมักมองหามุมมองใหม่ ๆ จากที่สูง ไม่ว่าจะเป็นดาดฟ้าหรือจุดชมวิวต่าง ๆ เพราะที่นั่นเขาได้เห็นบทสนทนาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น วัดเก่าแก่ตั้งอยู่เคียงข้างตึกระฟ้าอย่างกลมกลืน เขาหลงใหลในช่วงเวลา ‘โกลเดน อาวร์’ และยอมเฝ้ารอเพื่อให้แสงที่ดีที่สุดได้ทาบทาเมืองอย่างพอดิบพอดี ความอดทนนี้คือหัวใจของงานเขา ภาพถ่ายชิ้นหนึ่งที่เขาภูมิใจที่สุดคือภาพพระอาทิตย์ตกที่ตกลงตรงกลางระหว่างองค์พระพุทธรูปใหญ่ของวัดปากน้ำและเจดีย์ข้างๆ ภาพที่เกิดขึ้นได้ไม่กี่วันในรอบปี และต้องใช้การรอคอยอย่างใจเย็นหลายชั่วโมง สำหรับใครที่อยากเริ่มถ่ายภาพ เขามีคำแนะนำง่ายๆ แต่กินใจว่า ‘ลองเดินช้าลง มีสติมากขึ้น และถ้าหามุมที่ใช่เจอแล้ว ก็อยู่ตรงนั้นให้นานขึ้น’ เพราะในความนิ่งนั้นเอง เขาเชื่อว่าเราจะได้เห็นกรุงเทพฯ ที่แท้จริง เมืองที่มีความงามซ่อนอยู่มากกว่าที่ตาเห็น



เฮี้ยง เรืองนิรมาณ กาญจน์จิณณะ

เฮี้ยงเชื่อว่า หากจะถ่ายทอดภาพกรุงเทพฯ ให้ถึงแก่นจริง ๆ ต้องเปิดใจรับต่อความหลากหลายอันไร้ขอบเขตของเมืองนี้ สิ่งที่เธอเรียกว่า “Diversity of the Metropolis” หรือความหลากหลายแห่งมหานคร
สายตาภายใต้เลนส์ของเธอสามารถหยิบเรื่องราวจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพลังพลุ่งพล่านของเมือง ความสงบที่ซ่อนอยู่ในวันหยุดสุดสัปดาห์แถวคลองลัดมะยม หรือแม้แต่เสี้ยววินาทีของอารมณ์ขันที่โผล่มาโดยไม่ได้นัดหมายบนถนนเส้นใดเส้นหนึ่ง ปรัชญานี้เรียกร้องให้เธอยืดหยุ่นอยู่เสมอ บางครั้งก็ลงรายละเอียดอย่างรอบคอบในการวางแผนถ่ายภาพ แต่ในอีกวันก็อาจเลือกเดินอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้เมืองเป็นคนชี้ทาง กฎที่สำคัญที่สุดของเธอนั้นเรียบง่าย จงมีกล้องติดตัวไว้เสมอ เพราะโอกาสในการถ่ายภาพอาจเกิดขึ้นได้จากทุกมุมของเมือง ไม่ว่าจะเลือกเก็บภาพจากระยะไกลในฐานะผู้เฝ้าดู หรือเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับตัวแบบโดยตรง เธอเชื่อว่าแต่ละวิธีต่างก็ให้สัมผัสทางอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็มีคุณค่าไม่แพ้กันในฐานะภาพถ่ายที่เล่าเรื่องอย่างจริงใจไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าสังเกตจากระยะไกล หรือเข้าไปพูดคุยกับตัวแบบอย่างใกล้ชิด เธอเชื่อว่าแต่ละวิธีต่างให้ผลลัพธ์ทางอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่งดงามและทรงคุณค่าไม่แพ้กัน
การเติบโตในย่านเจริญกรุงทำให้เฮี้ยงซึมซับความลึกซึ้งของย่านนี้อย่างแนบแน่น พื้นที่ที่วัดวาและตึกเก่าเกาะเกี่ยวอยู่กับตึกสูงสมัยใหม่อย่างกลมกลืน สายสัมพันธ์ส่วนตัวนี้ยังหล่อหลอมมุมมองต่อกรุงเทพฯ โดยรวมว่าเป็นเมืองที่ไม่มีคำจำกัดความตายตัว ภาพถ่ายที่เป็นดั่งลายเซ็นของเธอ คือภาพพระปรางค์วัดอรุณอันสง่างาม ถูกจัดวางอย่างละเมียดในกรอบของประตูไม้ พร้อมแสงเย็นยามเย็นที่ทอดลงมาอย่างอ่อนโยน คือกรุงเทพฯ ที่ทั้งคลาสสิกและน่าหลงใหลในคราวเดียว คำแนะนำของเธอสำหรับคนที่อยากถ่ายภาพให้ได้ จิตวิญญาณของเมืองนี้จริงๆ คือ ‘อย่าคาดหวังอะไรเลย’ เพราะเมื่อเราเปิดใจเดินเข้าไปโดยไม่มีกรอบหรือสูตรสำเร็จ เมืองก็จะค่อยๆ เปิดเผยสิ่งมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ให้เห็นเอง และนั่นแหละ คือช่วงเวลาที่กล้องของคุณจะได้เก็บภาพที่เป็นของคุณจริง ๆ ดั่งลายเซ็นที่เกิดจากสายตา หัวใจ และจังหวะที่ไม่มีใครเลียนแบบได้



กันตพัฒน์ พฤฒิธรรมกูล (เจ้าของเพจกอล์ฟมาเยือน)

ช่างภาพอย่างกอล์ฟได้สังเกตว่า กรุงเทพฯใน ‘ช่วงเวลาพิเศษ’ คือนครที่เปล่งความมีชีวิตชีวาได้ดีที่สุด แม้เขาจะพกกล้องติดตัวอยู่เสมอ แต่สัญชาตญาณของช่างภาพทิวทัศน์จะตื่นขึ้นทันที เมื่อขอบฟ้าอันคุ้นตาแปรเปลี่ยนไปโดยไม่ทันตั้งตัว พลุที่ระเบิดแสงขึ้นกลางฟ้าอย่างฉับพลัน ตึกระฟ้าใหม่ที่เจาะทะลุม่านเมฆขึ้นมาเงียบๆ หรือเทศกาลท้องถิ่นที่เปลี่ยนถนนสายหนึ่งให้กลายเป็นโลกอีกใบ
ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนแค่ความเพียงงดงาม หากยังเปรียบเสมือนสมอแห่งความทรงจำที่ปลุกให้เกิดภาพจำใหม่อันทรงพลังของเมือง แม้เขาจะวางแผนการถ่ายภาพอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายชัดเจนในใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งที่สุด มักไม่ใช่ภาพที่ตั้งใจหากคือ ‘ภาพระหว่างทาง’ เศษเสี้ยวที่ไม่คาดคิดซึ่งบังเอิญบรรจบกันอย่างงดงามเกินแผนที่วางไว้ ในห้วงเวลาแห่งความบังเอิญเหล่านั้นเอง ที่ตัวตนอันแท้จริงของกรุงเทพฯ ซึ่งไร้บท ไร้การจัดฉาก ค่อยๆ เปิดเผยออกมา ความหลงใหลในความเป็นสองขั้วคือโลกในมุมมองที่กอล์ฟที่ใช้มองเมือง เขาเห็นกรุงเทพฯ เป็นมหานครใหญ่โตที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เมืองที่เมื่อมองจากไกลคือภาพรวมอันโอ่อ่า แต่เมื่อก้าวเข้าใกล้ กลับพบว่าแต่ละเส้นสายของมันถักทอขึ้นจากชีวิตเล็ก ๆ ของผู้คนแต่ละรายอย่างประณีตงดงาม
องค์ประกอบภาพที่เขาหลงใหลที่สุด มักบันทึกเรื่องราวระหว่างอดีตและปัจจุบัน การวางแสงสีส้มอุ่นของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในย่านเมืองเก่า เคียงข้างเงาวับเย็นตาของตึกสูงยุคใหม่อย่างจงใจ เขาพบแรงบันดาลใจไม่รู้จบในย่านตลาดน้อย ที่นั่นอาคารเก่าแก่ยังคงยืนหยัด โครงสร้างเดิมกลับมีชีวิตใหม่ที่เปล่งสีสัน สดใสราวได้รับการเติมลมหายใจใหม่อีกครั้ง แสงแดดลอดผ่านซอกซอยแคบอย่างแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความน่าพิศวงในทุกรายละเอียด และหากจะให้เขาแนะนำเคล็ดไม่ลับในการถ่ายภาพให้ได้จิตวิญญาณแท้จริงของกรุงเทพฯ คำตอบนั้นไม่ได้ไม่ใช่เรื่องของเทคนิค หรือแม้แต่เลนส์กล้อง แต่อยู่ในเสียงของผู้คน เขาจะบอกว่า ‘จงเปิดบทสนทนากับผู้คนในพื้นที่’ เพราะไม่มีแผนที่หรือคู่มือเล่มใดจะบอกเล่าเมืองนี้ได้ลึกซึ้งเท่าเรื่องราวจากปากของผู้ที่เรียกที่นี่ว่า ‘บ้าน’ อย่างแท้จริง คำแนะนำสำคัญที่สุดของเขาสำหรับผู้ที่อยากจับจิตวิญญาณแท้จริงของเมืองหลวง เพราะสำหรับกอล์ฟแล้ว ไม่มีหนังสือท่องเที่ยวเล่มใด หรือแผนที่ฉบับไหน ที่จะทดแทนเรื่องเล่าและสายตาของผู้ที่เรียกกรุงเทพฯ ว่าบ้านได้เลย



ปิติ อัมระรงค์

ช่างภาพผู้เชื่อมั่นว่าแก่นแท้ของกรุงเทพฯ ไม่ได้สถิตอยู่ในหมุดหมายอันตระการตา หากแฝงตัวอยู่ในร่องรอยของการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดที่มนุษย์ทิ้งไว้ตามท้องถนน เขาหลงใหลในความสร้างสรรค์ฉบับคนเมือง วิธีซ่อมของแบบบ้านๆ หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยไอเดียเฉียบๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกหัวมุม สำหรับปิติแล้ว สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานของจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ฝังแน่น และอารมณ์ขันแบบไทยๆ ที่หาดูได้แค่บนถนนบ้านเรา เขาเดินโดยไม่มีแผน ปล่อยให้ถนนนำทาง ราวกับปล่อยใจไปตามสายลม จนบางสิ่งแวบเข้าตาและกลายเป็นจังหวะของภาพถ่ายที่รอคอย เมื่อเขาเจอสิ่งที่สะดุดใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ข้าวของ หรือมุมหนึ่งของเมือง เขาจะหยุดลงและมอบเวลาให้มันอย่างเต็มที่ คล้ายจิตรกรที่นั่งเพ่งผืนผ้าใบ รอจังหวะที่แสง สี และอารมณ์ กลั่นตัวออกมาเป็นภาพ เขาค่อย ๆ คลี่คลายฉากนั้นทีละน้อย เฝ้าสังเกต ปรับมุม และรอคอยให้ภาพที่เห็นในใจปรากฏขึ้นจริง หรือปล่อยมันจากไปหากเวลาไม่ยินยอม วิธีการทำงานอย่างเงียบสงบนี้เองที่หล่อหลอมสไตล์ของเขาให้มีลายเซ็นเฉพาะ และทำให้เขาสามารถเก็บภาพความจริงของกรุงเทพฯ ในชั่วขณะที่ไร้การปรุงแต่ง ความงามที่เผยตัวโดยไม่ต้องถูกขออนุญาต
วิสัยทัศน์ทางศิลปะของปิติเผยผ่านสายตาของนักจัดวาง เขามองหาความเชื่อมโยงเล็ก ๆ ระหว่างสิ่งของรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นแสง เฉดสี รูปทรงเรขาคณิต หรือแม้แต่ท่วงท่าของผู้คน เป้าหมายของเขาคือการทำให้ผู้ชมรู้สึกผ่อนคลาย และหากภาพหนึ่งจะเรียกรอยยิ้มได้สักนิด ก็ถือว่าบรรลุแล้ว หนึ่งในภาพถ่ายอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาสะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน ภาพแท็กซี่สีฉูดฉาดของกรุงเทพฯ จอดเคียงกับกระถางดาวเรือง สองสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยที่บังเอิญมาอยู่ร่วมเฟรมกันอย่างลงตัว ถ่ายทอดความงามของความเรียบง่าย และจังหวะที่ลงตัวของชีวิตในเมือง เขาไม่ได้หลงใหลในความสับสนอลหม่านของตลาด แต่กลับพบแรงบันดาลใจไม่รู้จบในสวนสาธารณะของกรุงเทพฯ สถานที่ซึ่งเขามองว่าเป็นเสมือนผืนผ้าใบสำหรับภาพถ่ายแนวสตรีท ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย กิจกรรมพลุกพล่าน และพื้นที่เปิดโล่งที่เปิดโอกาสให้แสงและชีวิตไหลเวียนอย่างอิสระ คำแนะนำของปิติคือ ‘ใช้เวลาเรียนรู้จากศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ที่คุณพบเจอระหว่างทาง’ เพราะสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่จะหล่อหลอมมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน ไม่ได้มาจากกล้องหรือเลนส์ หากคือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ค่อยๆ ตกผลึกในใจเมื่อถึงจุดนั้น ภาพถ่ายธรรมดาก็อาจเปลี่ยนกลายเป็นงานศิลปะที่มีความหมาย



พีเค วรรณศิริกุล

ด้วยพื้นเพจากโลกแฟชั่น พีเคจึงมองเมืองนี้เสมือนแบบบนรันเวย์ จับจังหวะ เคลื่อนไหว และถ่ายทอดอารมณ์ ผ่านสายตาเชิงสร้างสรรค์ที่มองข้ามความวุ่นวายอันวูบวาบที่ช่างภาพมากมายมักไขว่คว้า หากเลือกเดินตามหาห้วงเวลาโรแมนติกอันแผ่วเบา ช่วงจังหวะเงียบงามที่กรุงเทพฯ เผยด้านละมุนให้เห็นเพียงชั่วครู่ สำหรับเขา นั่นหมายถึงการเดินตามถนนไปเรื่อย ๆ จนเจอภาพเงียบสงบที่ดูเหนือกาลเวลา ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่สะท้อนจิตวิญญาณของกรุงเทพฯ ได้ดีที่สุด การแสวงหาความสงบนี้ มักพาเขาไปยังซอยเล็กซอยน้อยในย่านทรงวาดและเจริญกรุง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวและเดินได้สบายๆ ที่ซึ่งจักรวาลใบจิ๋วค่อยๆ ซ่อนอยู่ห่างไกลจากถนนสายหลักอันวุ่นวายของเมืองใหญ่ เป้าหมายของเขาคือการเนรมิต “พื้นที่ปลอดภัย” ภาพถ่ายที่ชวนให้ใจสงบและเข้าถึงง่าย เสาะหาความงามซ่อนเร้นในความธรรมดา เรียบง่ายแต่งดงาม เหมือนหยิบช่วงเวลาเล็กๆ มาขัดเกลาให้เปล่งประกายในโลกอันวุ่นวาย มอบความรู้สึกเบาสบายเสมือนลมหายใจท่ามกลางเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
มุมมองเช่นนี้หยั่งรากลึกมาจากความปรารถนาที่จะมองเห็นความงามในสิ่งที่อยู่นอกกรอบ โดยมีจุดเริ่มต้นจากสายใยส่วนตัวที่เขามีต่อวัฒนธรรมย่อยอย่างของไทย เด็กช่าง (นักเรียนสายอาชีวะ) เขาเห็นแววแห่งจิตวิญญาณแบบร็อกสตาร์ ดิบ กล้า แกร่ง ที่มักถูกตีตราหรือเข้าใจผิด จึงเลือกใช้เลนส์ของตนเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่เปลือยเปล่าและตัวตนอันซับซ้อนของคนกลุ่มนี้ ด้วยความตั้งใจจะยกย่องสิ่งที่อยู่นอกกรอบความคุ้นชิน ให้กลายเป็นเส้นใยสำคัญที่ถักทออยู่ในผืนผ้าหลากสีของเมืองหลวงใบนี้ เลนส์ที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจนี้คือรากฐานของปรัชญาการถ่ายภาพของเขาที่เรียกว่า “การถ่ายภาพอย่างมีจริยธรรม” เขาเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า ความรู้สึกระหว่างช่างภาพกับผู้ถูกถ่ายคือหัวใจสำคัญยิ่งกว่าภาพใดๆ และหากต้องเลือกระหว่างการบันทึกช่วงเวลาอันทรงพลังกับการรักษาความรู้สึกของใครสักคน เขายินดีปล่อยให้ภาพนั้นหลุดลอยไป ดีกว่าที่จะได้มันมาในแบบที่บั่นทอนใคร สำหรับพีเคแล้ว ความตั้งใจ คือหัวใจที่ยกระดับภาพหนึ่งใบจากแค่ช็อตธรรมดาให้กลายเป็นงานศิลปะ และเจตนาของเขานั้นชัดเจนเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการวางองค์ประกอบของชั้นภาพ เงาสะท้อน และเส้นสายเรขาคณิตอย่างพิถีพิถัน เพื่อเผยให้เห็นกรุงเทพฯ เผยให้เห็นกรุงเทพฯ ที่เหนือกาลเวลา อ่อนโยนกว่าเดิม และเปี่ยมด้วยชั้นเชิงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


