[title]
กรุงเทพฯ ที่ไม่มีสตรีทฟู้ด ก็เหมือนส้มตำที่ขาดพริก คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะออกมาเป็นยังไง ถ้าอาหารขึ้นชื่อเมืองไทยหายไป ไม่ว่าจะเป็นหมูปิ้งควันคลุ้งจามริมฟุตบาท ไปจนถึงผัดกะเพราตามรถเข็น วัฒนธรรมการกินแบบวุ่นๆ แต่น่าหลงใหลล่าสุด กรุงเทพฯ กำลังจะยกระดับความวุ่นวายนี้ให้เป็นระเบียบมากขึ้น ด้วยการสร้าง Lumphini Hawker Centre หรือ ศูนย์อาหารที่รวบรวมร้านอาหารริมทางหรือแผงลอยไว้ในที่เดียว บนถนนราชดำริ ติดสวนลุมพินี คาดว่าจะเปิดต้นปี 2569 คอนเซ็ปต์คล้ายฮอว์กเกอร์ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ว่าได้ใส่กลิ่นอายแบบไทยๆ ที่รับรองว่ายังคงเผ็ดร้อนจนเหงื่อซึมเหมือนเดิม
ศูนย์นี้จะประกอบด้วย 176 ร้านอาหารแบ่งออกเป็น 2 เวลาได้แก่ รอบเช้าตี 5 ถึง 16.00 น. ซึ่งเหมาะกับสายวิ่งสวนลุมฯ และรอบเย็นบ่าย 4 ถึงเที่ยงคืนที่เหมาะกับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ทุกแผงได้พื้นที่ขนาดมาตรฐาน 2x2 เมตร พร้อมคุมราคาให้สบายกระเป๋าเหมือนเดิม แถมบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เคยถูกเคลียร์พื้นที่จากฟุตบาทแถวนี้ จะได้สิทธิ์เลือกทำเลก่อนใคร นั่นหมายความว่า ร้านโปรดของคุณอาจกลับมาในบ้านหลังใหม่ที่มีหลังคาคุ้มแดดฝนแล้ว

สำหรับคนกรุง นี่อาจหมายถึงการได้นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ก่อนเข้าออฟฟิศ หรือผัดไทยตอนเที่ยงคืนหลังเลิกงาน โดยไม่ต้องเสี่ยงหลบมอเตอร์ไซค์กลางถนน ส่วนฝั่งแม่ค้า พ่อค้า ก็ได้ที่ยืนถาวรไม่ต้องลุ้นทุกวันว่าจะถูกไล่หรือไม่ แต่คำถามคือการย้ายเข้าไปในฮอว์กเกอร์ฮอลล์แบบนี้ จะทำให้เสน่ห์ของสตรีทฟู้ดกรุงเทพฯ หายไปหรือเปล่า? เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร แต่เป็นเรื่องบรรยากาศที่เต็มไปด้วยควันโขมง เสียงเจ๊ขายส้มตำเจื้อยแจ้ว และความตื่นเต้นจากการเจอร้าน ‘เจ้าประจำ’ ที่ทำรสถูกปากแบบเป๊ะๆ

แม้ว่าสิงคโปร์จะมีฮอว์กเกอร์เวิลด์คลาส จนได้ขึ้นทะเบียน UNESCO แต่หลายเสียงก็บอกว่ามนตร์เสน่ห์มันหายไป ส่วนปีนังยังคงเลือกใช้พื้นที่เปิดโล่ง ที่ยังให้ความรู้สึกถึงความเป็นสตรีทฟู๊ดจริงๆ ฮอว์กเกอร์ลุมพินีจึงเหมือนอยู่ระหว่างกึ่งกลาง ที่ทั้งมีความสะอาด มีพื้นที่เขียว และเป็นระบบระเบียบ แต่ยังคงแก่นแท้ของสตรีทฟู้ดไทย
โครงการนี้ไม่ได้ริเริ่มเพื่อยกระดับอาหารไทยเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบเมือง รวมทั้งต้นไม้ที่ต้องย้ายระหว่างก่อสร้าง ได้ถูกนำไปพักไว้ และจะถูกย้ายกลับเมื่อสร้างเสร็จ ตัวอาคารจะใช้ระบบระบายอากาศธรรมชาติแทนเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งหลังคายังเลือกสีเพื่อลดมลภาวะทางแสงด้วย

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผลักดันไอเดียย้ายแผงค้าเข้าสู่พื้นที่ที่จัดไว้ เหมือนโมเดลสิงคโปร์เป๊ะ ถ้าสำเร็จ เมืองหลวงของเราอาจได้โมเดลใหม่ที่คงเสน่ห์สตรีทฟู้ดไว้ได้ ที่ทั้งปลอดภัยและยั่งยืนขึ้น แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไรหรอก รถเข็นเจ้าเก่าที่คุณชอบยังคงไม่หายไปไหน จนกว่าจะถึงปี 2569 เราก็คงยังได้นั่งกินหมูปิ้งริมถนน พร้อมตั้งคำถามแบบชาวกรุงเทพฯ ว่า ‘เราจะจัดระเบียบให้กับสตรีทฟู้ตอย่างไร โดยไม่ทำให้ความขลังของกรุงเทพฯ หายไป’