ทันทีที่โลกภาพยนตร์รู้ข่าวว่า ยอร์กอส ลานทิมมอส (Yorgos Lanthimos) ผู้กำกับชาวกรีกเปี่ยมวิสัยทัศน์กำลังจะมีผลงานเรื่องใหม่ในปีนี้ และได้เห็นเค้าโครงเรื่องรวมถึงภาพเบื้องหลังที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ก่อนเข้าฉาย ผู้เขียนก็ปักธงไว้ในใจเลยว่า นี่คือภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ห้ามพลาดอย่างแน่นอน
สำหรับคอหนังที่เคยผ่านงานของผู้กำกับคนนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น The Lobster (2015), The Favourite (2018) หรือผลงานสร้างชื่อล่าสุดอย่าง Poor Things (2023) ย่อมตระหนักดีว่า ลานทิมมอสคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในการสร้างภาพยนตร์ที่จิกกัดประเด็นสังคมอย่างลึกซึ้ง ผ่านการนำเสนอคาแร็กเตอร์ตัวละครที่บิดเบี้ยว แตกต่าง และมีสไตล์เฉพาะตัวสูงมาก
และในผลงานล่าสุดอย่าง Bugonia (2025) เรื่องนี้ ก็ยังคงเป็นหนังที่สับขาหลอกคนดูอย่างถึงพริกถึงขิงจนถึงวินาทีสุดท้าย ชวนให้ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าสิ่งที่เห็นอยู่บนจอคือเรื่องจริงหรือความวิปลาสกันแน่ เป็นการผสมผสานองค์ประกอบที่ทั้งปั่นประสาท ผิดเพี้ยน ตลกร้าย เสียดสี และสะท้อนประเด็นโลกทุนนิยมได้อย่างแสบสันต์
สไตล์เฉพาะตัวที่เข้าถึงง่ายที่สุดของ ยอร์กอส ลานทิมมอส
หากให้นิยามมวลรวมของ Bugonia คงต้องบอกว่าเป็นภาพยนตร์แนว ไซไฟ แฟนตาซี ตลกร้าย เสียดสี จิกกัดโลกทุนนิยม ในแบบฉบับเฉพาะตัวของลานทิมมอส โดยหนังเรื่องนี้เป็นการรีเมคจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่องดัง Save the Green Planet!(2003)
แม้ว่าโดยปกติแล้ว งานของลานทิมมอสมักต้องใช้การตีความและวิเคราะห์ผ่านสัญญะต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ภายในเรื่อง แต่ใน Bugonia กลับเป็นงานที่เรียกได้ว่าดูรู้เรื่องและเข้าใจง่ายที่สุดแล้วในบรรดาหนังทั้งหมดของเขา เพราะเส้นเรื่องและไทม์ไลน์ถูกเล่าอย่างค่อนข้างชัดเจน บอกเล่าให้คนดูรับรู้หมดว่า ใคร ชื่ออะไร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และทำไปเพื่ออะไร
แต่ถึงกระนั้น ลายเซ็นเฉพาะตัวของเขาก็ยังคงชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความงดงามทางภาพ (Visual) ทั้งการจัดเฟรมที่พิถีพิถัน การเกรดสีที่สร้างบรรยากาศเฉพาะตัว ไปจนถึงการตัดต่อคัทติงน้อยๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่แฟนๆ คุ้นเคย
พล็อตที่ว่าด้วยความเชื่อ ความบ้าคลั่ง และการกอบกู้โลก
เรื่องราวเริ่มต้นจากสองลูกพี่ลูกน้อง ดอว์น และ เท็ดดี้ (นำแสดงโดย ไอแดน เดลบิส และ เจสซี่ พลีมอนส์) ชายหนุ่มผู้ซึ่งจมดิ่งและหมกมุ่นอยู่กับทฤษฎีสมคบคิดอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องเอเลี่ยนและมนุษย์ต่างดาว
ความเชื่ออันแรงกล้านี้เองที่นำพาไปสู่การก่อเหตุสุดพิลึก เมื่อพวกเขาได้ลักพาตัว มิเชล (รับบทโดย เอ็มม่า สโตน) ซีอีโอสาว ประธานบริษัทวิจัยและผลิตเคมีภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก เพราะพวกเขาปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเธอคือมนุษย์ต่างดาวจากเผ่าอันโดรเมดา ที่มีเจตนาจะทำลายล้างโลก การลักพาตัวครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการช่วยกอบกู้โลกให้สงบสุขจากภัยคุกคามต่างดาวพล็อตที่ฟังดูพิลึกพิลั่นนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสุดเหวี่ยง มันทั้งเพี้ยน และโดนเส้นความตลกร้ายมากกว่าที่เราคาดคิดไว้มาก
การต่อสู้ทางความคิด: ทุนนิยมปะทะแรงงานผู้อ่อนล้า
ความน่าสนใจของ Bugonia ไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่เรื่องราวเหนือจริง แต่คือการสร้างตัวละครให้เป็นตัวแทนทางความคิดที่น่าขบคิด
มิเชล เป็นตัวแทนภาพใหญ่ของ ระบบทุนนิยม ที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนโลกให้เป็นไปตามเครื่องจักรทุน เธอไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่เป็นสัญลักษณ์ขององค์กรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนนับล้าน ในขณะเดียวกัน เท็ดดี้ ถูกวางให้เป็น ‘ผึ้ง’ ภาพสะท้อนของแรงงานในระบบทุนนิยมที่อ่อนล้า และอาจเป็นภาพของคนที่ถูกล้างสมองด้วยทฤษฎีสมคบคิดและการเสพสื่อที่ควบคุมไม่ได้
ซึ่งต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าเพราะเหตุใดการเปรียบเปรยนี้จึงสมเหตุสมผล
ในเชิงสัญลักษณ์ ผึ้ง (Bee) เป็นสัตว์ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อส่วนรวม มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และผลิตผลผลิต (น้ำผึ้ง) เพื่อระบบ แต่ในบางมุมก็เป็นเหมือนฟันเฟืองเล็กๆ ในโครงสร้างขนาดใหญ่ที่อาจถูกใช้งานอย่างหนักและถูกมองข้าม การเปรียบเทียบนี้จึงสะท้อนถึงแรงงานที่ต้องทำงานภายใต้ระบบทุนนิยมที่ไม่เป็นธรรมได้เป็นอย่างดี
ความเฮี้ยนของตัวละครที่ไม่มีใครยอมใคร การต่อสู้กันด้วยบทสนทนาและไดอะล็อกที่ชวนคิดตลอดทั้งเรื่อง จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจและดูสนุกอย่างมาก ชวนให้คนดูต้องคิดตามตลอดว่า เรื่องของทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมานั้น แท้จริงแล้วมันมีอยู่จริงหรือไม่?
นอกจากนี้ หนังยังได้สะท้อนถึงอิทธิพลของการเสพสื่อและการหมกมุ่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างสุดโต่งของตัวละครเท็ดดี้ ซึ่งนำพาไปสู่การกระทำที่โหดร้าย ทั้งการกักขังหน่วงเหนี่ยวและการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อมิเชล
สารที่ซ่อนอยู่ในชื่อ ‘Bugonia’ ความตายเพื่อการเกิดใหม่
เมสเสจสำคัญที่สุดของเรื่องถูกซ่อนไว้ตั้งแต่ชื่อของภาพยนตร์ Bugonia ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่เชื่อมโยงกับภาษากรีกโบราณที่หลายคนอาจไม่คุ้นหู โดยความหมายที่ซ่อนอยู่คือความเชื่อที่ว่า ‘ผึ้ง’ จะมีชีวิตได้จากซากหรือการตายของ ‘วัว’ สื่อถึงแนวคิดที่ว่า ‘การทำลายล้างอะไรบางอย่าง อาจนำไปสู่การเริ่มต้นสิ่งใหม่ หรือความหวังใหม่ๆ’ อันเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงกับการคลี่คลายของเนื้อเรื่องในตอนจบอย่างลึกซึ้ง และแน่นอนว่า ตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำพาไปสู่ความเข้าใจหรือข้อคิดอะไรนั้น… ขอเชิญชวนให้ทุกท่านไปรับชมกันต่อในโรงภาพยนตร์
สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้และยกให้เป็นความพิเศษของ Bugonia คือการได้เห็นพลังการแสดงที่เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือดของสองนักแสดงคู่บุญของยอร์กอส อย่าง เอ็มม่า สโตน (Emma Stone) ที่ครั้งนี้ถึงกับลงทุนโกนหัวจริง และ เจสซี่ พลีมอนส์ (Jesse Plemons) ที่ได้ร่วมงานกับลานทิมมอสมาตั้งแต่ The Favourite(2018), Poor Things (2023) มาจนถึง Kinds of Kindness (2024) และ Bugonia
การแสดงของ เอ็มม่า สโตน ในบทบาทซีอีโอสาวครั้งนี้ทำให้เราเห็นมิติที่ซับซ้อนของตัวละคร ที่ต้องต่อสู้กับความบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้า เธอถ่ายทอดความฉลาด ความหวาดกลัว และความแข็งแกร่งได้อย่างน่าทึ่ง ทางฝั่งของ เจสซี่ พลีมอนส์ ในบทบาทชายผู้หมกมุ่นกับทฤษฎีสมคบคิด ก็แสดงให้เห็นถึงความเฮี้ยน และความเชื่อที่ฝังรากลึกจนกลายเป็นความอำมหิตได้อย่างมีพลัง สร้างความรู้สึกน่าขนลุกและชวนอึดอัดให้กับผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม การประชันบทบาทของทั้งคู่จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้บทสนทนาและสถานการณ์อันผิดเพี้ยนของหนังมีน้ำหนักและน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ
Bugonia จึงไม่ได้เป็นเพียงหนังไซไฟตลกร้าย แต่มันคือกระจกที่สะท้อนความบิดเบี้ยวของสังคมทุนนิยม อิทธิพลของความเชื่อ และความหวาดระแวงที่เรามีต่อโลกและกันและกัน การเล่าเรื่องของยอร์กอส ลานทิมมอส ในครั้งนี้ได้ทิ้งคำถามก้อนใหญ่ไว้ในใจผู้ชม
ถ้าทฤษฎีสมคบคิดที่เรามองว่าไร้สาระเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ และมีผลต่อความเป็นความตายของโลก คุณจะเลือกเชื่อมันหรือไม่? และการทำลาย ‘วัว’ (สิ่งที่เป็นอยู่เดิม) เพื่อให้เกิด ‘ผึ้ง’ (การเริ่มต้นใหม่) นั้น คุ้มค่าและสมเหตุสมผลหรือเปล่า?
รับชม Bugonia ได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
นักแสดงและทีมงาน
ผู้กำกับ: ยอร์กอส ลานทิมมอส
นักเขียนบท: วิลล์ เทรซี่, จาง จุน ฮวาน
นักแสดง: เอ็มมา สโตน, เจสซี พลีมอนส์, ไอแดน เดลบิส, สตาฟรอส ฮัลคีอัส, อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน

