ปลายปีของกรุงเทพฯ มักมาพร้อมลมเย็นที่ชวนให้ออกมาเดินเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็พาเอาฝุ่น PM2.5 กลับมาแบบที่เราไม่เคยอยากเจอ ปีนี้เองก็ไม่ต่างกัน ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กรุงเทพฯ กลับเข้าสู่โหมดอากาศปิดจนค่าฝุ่นพุ่งสูงอีกครั้ง ทำให้หลายพื้นที่ต้องหยิบหน้ากากกลับมาใช้ และทำให้หลายคนเริ่มห่วงสุขภาพปอดของตัวเองมากกว่าปกติ
แต่ปีนี้มีอะไรแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อทางกรุงเทพมหานครเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประกาศมาตรการ Work From Home (WFH) เพื่อช่วยลดจำนวนรถวิ่งบนท้องถนน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นรายใหญ่ของเมือง และดูเหมือนว่ามาตรการเชิงรุกที่ออกมานี้กำลังค่อยๆ เห็นผล และทำให้คนเมืองอย่างเราๆ ได้มีอากาศที่สะอาดและหายใจคล่องขึ้น วันนี้ Time Out เลยสรุป 3 ประเด็นสำคัญที่เป็นความคืบหน้าและมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้คนเมืองหายใจสะดวกขึ้น จะมีประเด็นและมาตรการใดๆ ที่น่าสนใจบ้าง ไปดูพร้อมกัน
WFH ได้ผลจริง รถน้อยลง 8.5% ช่วยชีวิตปอดในวันที่อากาศปิด
ต้องยอมรับว่ามาตรการขอความร่วมมือ WFH ที่ กทม. ประกาศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้นได้ผลจริง เพราะจากตัวเลขสรุปออกมาว่า การทำงานจากบ้านช่วยให้ปริมาณรถยนต์สัญจรเฉลี่ยบนท้องถนนต่อชั่วโมง ลดลงถึง 8.5% ซึ่งส่งผลดีแบบเห็นได้ชัดคือปริมาณฝุ่นสะสมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในวันที่สภาพอากาศปิดที่ฝุ่นมักจะลอยต่ำและค้างอยู่ในเมืองนานกว่าปกติ
นี่คือสัญญาณที่ดีที่บอกเราว่าการแก้ปัญหาฝุ่นไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนช่วยได้ การดำเนินการนี้ยังสะท้อนถึงความจริงจังในการแก้ปัญหาระยะยาวของรัฐบาล ไม่ใช่แค่การเตือนตามฤดูกาลเท่านั้น โดยนอกจากการจัดการจราจรในเมืองแล้ว ยังมีการเน้นย้ำไปยังกระทรวงเกษตรฯ ให้จัดการเรื่องการเผาอ้อยและชีวมวลอย่างเข้มงวด รวมถึงกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ให้จัดการปัญหาไฟป่า ซึ่งถือเป็นต้นตอใหญ่ของฝุ่น PM2.5 ในภาพรวมด้วย
ราษฎร์บูรณะทำงานหนัก ส่องลานทราย ยันแยกขยะไซต์ก่อสร้าง
การแก้ปัญหาฝุ่นไม่ได้มีแค่เรื่องใหญ่ๆ แต่เกิดขึ้นได้จริงในระดับเขต และช่วงนี้ต้องยกให้เขตราษฎร์บูรณะ เพราะรองผู้ว่าฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามมาตรการควบคุมฝุ่นแบบถึงที่ โดยเฉพาะการส่องกล้องไปยัง ท่าทรายมิตรเจริญ ซึ่งเป็นแหล่งเสี่ยงที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกมักเป็นพาหะนำฝุ่นมาสู่เมือง
ที่ท่าทรายมีการกำชับให้ผู้ประกอบการล้างล้อรถบรรทุกทุกคันก่อนออกพื้นที่, ตรวจควันดำ, และจัดการฝุ่นอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันยังมีการแนะนำไซต์ก่อสร้างของอิตาเลียนไทยให้แยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของเศษวัสดุ ที่มักเป็นต้นเหตุของฝุ่นจิ๋ว
นอกจากนี้ เขตยังจัดทำแผนตรวจสอบสถานประกอบการที่เสี่ยงปล่อยฝุ่นแบบรายประเภท ทั้งหม้อไอน้ำ, แพลนท์ปูน, ไปจนถึงไซต์ก่อสร้าง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรฐานตามกฎหมาย ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าการแก้ปัญหาฝุ่นไม่ได้เกิดแค่จากมาตรการใหญ่ของเมือง แต่เกิดจากการขยับของแต่ละเขตที่ทำให้เมืองหายใจดีขึ้นแบบจับต้องได้จริง
แผนสู้ฝุ่นใหม่ 10 ข้อ ผู้ว่าฯ ชัชชาติบุกทั้งถนน โรงงาน เพิ่มปอดให้เมือง
ล่าสุด ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ออกมาตอกย้ำความจริงจังในการรับมือปัญหามลพิษด้วยการประกาศยกระดับแผนปฏิบัติการสู้ฝุ่น PM2.5 ของ กทม. โดยเพิ่มมาตรการรวมเป็น 10 ข้อ เพื่อรับมือช่วงที่ กทม. ถูกประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ (พ.ย. - มี.ค. ทุกปี) อย่างเป็นทางการ
แผน 10 ข้อนี้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการบุกจัดการมลพิษจากยานพาหนะด้วยการขยาย Low Emission Zone (LEZ) ครบทั้ง 50 เขต, ตรวจควันดำเข้มขึ้น และบังคับรถบรรทุกไซต์ก่อสร้างลงทะเบียน Green List นอกจากนี้ยังขยับไปที่ภาคอุตสาหกรรม โดยผลักดันให้โรงงานติดตั้งระบบตรวจปล่อยไอเสียอัตโนมัติ
ที่สำคัญคือการดูแลสุขภาพของคนเมือง โดยมีการเร่งทำห้องปลอดฝุ่น ในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กให้ครบตามเป้า, ขยายการแจ้งเตือนฝุ่นเป็น 7 วันล่วงหน้า, และแน่นอนว่าต้องมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าปลูกต้นไม้ให้ครบ 3 ล้านต้น พร้อมผลักดันแนวคิด สวน 15 นาที ให้ครบ 500 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ส่วนมาตรการ WFH ก็ถูกบรรจุในแผนระยะยาว โดยตั้งเป้าคนร่วมสูงสุด 3 แสนคนในปี 2569 และให้หน่วยงานในเมือง WFH อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อลดมลพิษจากการเดินทางในระยะยาว
จะเห็นได้ว่า การรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปีนี้มีความเข้มข้นและครอบคลุมทุกมิติอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การขอความร่วมมือ WFH ที่ช่วยได้จริง ไปจนถึงการลงรายละเอียดในระดับพื้นที่ และการประกาศยกระดับแผนปฏิบัติการ 10 ข้อ ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ซึ่งรวมถึงการดูแลทั้งรถ โรงงาน และการเพิ่มปอดให้เมือง
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมีอากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตที่ดีในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่เกิดจากมาตรการเชิงรุกที่มาพร้อมกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งแน่นอนว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คนเมืองอย่างเราๆ ก็จะสามารถหายใจได้คล่องขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงฤดูฝุ่นที่กำลังจะมาถึงนี้

