ข่าว

แผนรับมือ PM 2.5 ของ กทม. เมืองปรับตัวยังไง เมื่อฝุ่นปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ

เมืองทั้งเมืองกำลังถูกยึดพื้นที่โดยฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้การหายใจกลายเป็นภารกิจประจำวันไปแล้ว

Fitri Aelang
เขียนโดย
Fitri Aelang
Staff writer, Time Out Thailand
BMA
Photograph: BMA
การโฆษณา

ช่วงนี้ชาวกรุงเทพฯ คงไม่ได้ตื่นมาพร้อมแสงแดดและลมหนาวปลายปีแบบสวยๆ ให้ลงสตอรี่เหมือนทุกที เพราะเมืองทั้งเมืองกำลังถูกยึดพื้นที่โดยฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้การหายใจกลายเป็นภารกิจประจำวันไปแล้ว ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ค่าฝุ่นพุ่งไปที่ประมาณ 47-59 ไมโครกรัม/ลบ.ม. และ AirBKK ก็จัดทั่วกรุงเข้าโซน ‘สีส้ม’ แบบไม่อ้อมค้อม ชัดเจนแล้วว่าฝุ่นเริ่มกระทบสุขภาพของประชาชนแบบจริงจัง ใครที่ตั้งใจจะออกไปวิ่งตอนเช้ารับลมเย็นๆ อาจต้องพักความฟิตไว้ก่อน เพราะอากาศนิ่งๆ บวกกับรถยนต์มหาศาลบนท้องถนน ก็กำลังผสมสูตร ‘หมอกเทียม’ ที่ไม่มีใครอยากได้

แต่ใช่ว่า กรุงเทพมหานคร จะยอมปล่อยให้คนเมืองหายใจลำบากอยู่ฝ่ายเดียว มาตรการต่างๆ ถูกงัดออกมาทำงานพร้อมกันแบบฟูลทีม ตั้งแต่การจัดการไซต์ก่อสร้าง ชุมชน สวนสาธารณะ ไปจนถึงนโยบาย Work From Home เพื่อให้กรุงเทพฯ ยังพอ ‘หายใจ’ ได้อย่างมีคุณภาพ

คุมก่อสร้างเข้ม จุดเริ่มต้นของฝุ่น

BMA
Photograph: BMA

ไซต์ก่อสร้างคือหัวโจกตัวใหญ่ของฝุ่น และเขตวังทองหลางก็ถูกจับตาแบบใกล้ชิด ทันทีที่ AirBKK ส่งสัญญาณสีส้ม รองผู้ว่าฯ ลงพื้นที่โครงการ COBE ลาดพร้าว-สุทธิสารแบบไม่รอช้า เพราะจุดนี้คือออกซิเจนของโครงการควบคุมฝุ่นทั้งระบบ มาตรการคุมเข้มถูกยกมาทั้งเซ็ต ไม่ว่าจะเป็นการล้างล้อก่อนออกไซต์ ฉีดน้ำรอบพื้นที่ รั้วกันฝุ่นสูง 6 เมตร ไปจนถึงการบังคับให้รถทุกคันต้องอยู่ในระบบ Green List นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาจุดเดียว แต่คือหมุดหนึ่งในแผนภาพใหญ่ที่หวังจะทำให้ฝุ่นฟุ้งตัวน้อยลงทั้งเมือง

ในจังหวะเดียวกัน โรงงานและสถานประกอบการต่างๆ ในพื้นที่ก็ถูกสุ่มตรวจไล่ไปทีละจุด ไม่ปล่อยให้มีใครเล็ดรอด นอกจากนี้ กทม. ยังเพิ่ม ‘ตัวกรองธรรมชาติ’ ให้เมือง ด้วยการรีโนเวตพื้นที่รกร้างริมคลองแสนแสบให้กลายเป็นสวนขนาดเดินถึงใน 15 นาที พร้อมสร้างและปรับปรุงสวนรวมกว่า 10 แห่ง เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ดูดซับมลพิษและช่วยให้ลมพัดผ่านย่านชุมชนได้ดีขึ้น

 

ลดจำนวนรถเพื่อลดฝุ่นเมื่อ Work From Home กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่

Jobsdb
Photograph: Jobsdb

ฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป เมื่อค่าฝุ่นเริ่มพีค ผู้ว่าฯ ชัชชาติประกาศให้หน่วยงาน กทม. ทำงานจากบ้าน ในวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อช่วยลดจำนวนรถบนถนนก่อนเข้า ‘ช่วงฝุ่นหนัก 3 วัน’ นี่ไม่ใช่แค่นโยบายให้คนอยู่บ้าน แต่เป็นการตัดตอนการปล่อยมลพิษจากต้นทางแบบตรงจุด พร้อมกันนั้นก็มีคำแนะนำง่ายๆ สำหรับชาวเมืองอย่าง งดออกกำลังกายหนักกลางแจ้ง, หาหน้ากากดีๆ ไว้สักชิ้น และหลีกเลี่ยงรถดีเซลรุ่นคุณปู่

BMA
Photograph: BMA

ในระดับเมือง ปลัด กทม. ก็สั่งตรวจรถควันดำและโรงงานมลพิษแบบเข้มงวดเจอผิดปุ๊บ ดำเนินคดีปั๊บ ขณะเดียวกัน AirBKK รายงานค่าฝุ่น 34.9-59.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ในกว่า 60 จุดทั่วกรุงแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกคนปรับตัวให้ทันสถานการณ์

และใช่ว่าจะมีแต่ฝ่ายรัฐที่ขยับตัวมาแก้ไขปัญหาเรื้อรังนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ปก็เปิดตัวโครงการ Green List Plus ชวนคนเมืองตรวจรถ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ลดควันดำ พร้อมโปรพิเศษเป็นแรงจูงใจที่ใครก็อยากโดน:

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รับคูปองลด 200 บาท (3-31 ธ.ค. 68) และ 100 บาท (1-31 ม.ค. 69)

  • จอดรถฟรีเพิ่ม 2 ชั่วโมง ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ทุกสาขา รวมถึงเอ็มโพเรียม-เอ็มควอเทียร์

  • สาขาบางกะปิให้ฟรีสูงสุด 12 ชั่วโมง

  • และยังขยายจุดชาร์จ EV Station PluZ เพื่อสนับสนุนการขับรถไฟฟ้าอีกด้วย

ผู้ว่าฯ ชัชชาติยังสรุปให้ฟังอีกว่าฝุ่นมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ สภาพอากาศปิดช่วง พ.ย.-ก.พ., รถดีเซลเก่า และการเผาชีวมวล ซึ่งอาจทำให้ค่าฝุ่นพุ่งสูงสุดถึง 90 µg/m³ ได้

นี่แหละคือกาวที่เชื่อมมาตรการทั้งหมดเข้าด้วยกัน มาตรการทั้งหมดของ กทม. ไม่ว่าจะ คุมไซต์ก่อสร้าง, ลดขยะ, เพิ่มสวน, ลดรถ, ตรวจโรงงาน ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบแยกส่วน แต่คือ เครือข่ายเดียวกันที่ทำงานประสาน เพื่อให้เมืองรับมือ PM 2.5 ได้ดีที่สุดในสถานการณ์ทรัพยากรจำกัด

ฝุ่นอาจยังไม่หายไปเร็วๆ นี้ แต่เมืองกำลังเรียนรู้ที่จะปรับตัว และคนกรุงเทพฯ ก็มีบทบาทสำคัญในวงจรนี้ ทุกพื้นที่ ตั้งแต่ไซต์ก่อสร้างยันสวนริมคลอง กำลังขยับไปพร้อมกัน เพื่อให้กรุงเทพฯ หายใจได้ดีขึ้นอีกนิดในทุกวันและฝ่าฟันช่วงวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

 

การโฆษณา