[title]
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วกับการส่งภาพเข้าประกวดในแคมเปญ Capture Bangkok ที่จะปิดรับในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ สำหรับใครยังไม่ได้ส่งเข้ามา ตอนนี้ยังมีเวลาปล่อยของ!
เพื่อจุดประกายไอเดียของทุกคน เราเลยชวนช่างภาพมือโปรที่ร่วมแคมเปญมาบอกเล่าเบื้องหลัง ผลงานของพวกเขา ตั้งแต่แหล่งที่มาของแรงบันดาลใจ วิธีรับมือกับความโกลาหลของเมืองกรุง ไปจนถึงเทคนิคการมองกรุงเทพฯ ในรูปแบบของตัวเอง
เพราะชัยชนะไม่ได้อยู่ที่ว่ากล้องคุณเจ๋งหรือแพงแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ ‘มุมมอง’ เป็นการฝึกมองสิ่งธรรมดาให้เป็นความงดงามที่แสนจะพิเศษ และค้นหาเรื่องราวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป
เก็บทริคเหล่านี้ไว้ให้ดี หยิบกล้อง แล้วถ่ายให้โลกเห็นว่า ‘กรุงเทพฯ’ ในมุมมองคุณเป็นแบบไหน
แดนนี่ (Danny)
ถ้าถามแดนนี่ จุดถ่ายภาพที่ดีที่สุดคือที่ไหน บอกเลยว่ามันไม่ใช่จุดท่องเที่ยวดังๆ แน่นอน เขาชอบเดินถ่ายตามตลาดท้องถิ่นง่ายๆ อย่างตลาดคลองเตยที่มีชีวิตชีวาไม่หยุดตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังแนะนำย่านเสาชิงช้าที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและตึกเก่าจากสมัยก่อนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
แดนนี่ยืนยันเลยว่า แสงตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสำหรับเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า ‘ตราบใดที่วันนั้นยังมีแสงแดดอยู่ เวลาไหนก็ถ่ายได้ทั้งนั้น’ เขาเลยไม่ค่อยออกไปถ่ายในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ เพราะเชื่อว่าวันฟ้ามัวๆ ทำให้เสน่ห์ของเมือง ดูราบเรียบไปหมด
ในฐานะคนใช้กล้อง Canon มาอย่างยาวนาน เขาชื่นชมในความเสถียรของระบบ และบอกว่า ‘เพราะผมรู้ว่าโทนสีและกล้องจะตอบสนองอย่างไรมันทำให้ผมโฟกัส กับโมเมนต์ตรงหน้าได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอุปกรณ์ว่ามันจะมีปัญหากลางทาง
สำหรับโปรเจกต์ Capture Bangkok นี้ เขาเลือกใช้ Canon RF 35mm f/2.8 เนื่องจากขนาดเล็กกะทัดรัดและควบคุมได้เข้ามือ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องถ่ายใน สภาพแวดล้อมที่ทุกคนเร่งรีบไปหมดอย่างกรุงเทพฯ เขามักตั้งรูรับแสงไว้ที่ f/5.6–f/8 เพื่อให้ภาพคมชัดตลอดเฟรมที่ถ่าย และเมื่อพูดถึงการถ่ายภาพผู้คน แดนนี่กล่าวว่า ให้พยายามเข้าหาคน เขาแนะนำให้เรียนประโยคง่ายๆ อย่าง ‘ถ่ายรูปได้ไหมครับ’ เพราะคำถามสั้นๆ แบบนี้แหละ คือหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อใจ

ดาร์เคิล (Darkle)
ดาร์เคิล ชวนให้ช่างภาพมองหาพลังงานที่ยังล่องลอยของเมืองกรุง เขาแนะนำให้ลองเข้าไปในพื้นที่ที่ยังมีอดีตของเมืองหลงเหลืออยู่ เช่น ย่านฝั่งธน โดยเฉพาะแถว ท่าดินแดง เขากล่าวว่า มันชวนให้นึกถึงเยาวราชช่วงปลายยุค 90 ถึงต้น 2000 เพราะเป็นพื้นที่ที่ระบบเศรษฐกิจพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์จนถึงตอนนี้ คำแนะนำของเขาสำหรับคนที่อยากจะไปสำรวจแถวนั้นคือ ให้ ‘เดินเงียบๆ ’
นอกจากนี้ยังชวนให้ลองเดินตาม ‘เส้นเลือดฝอย’ เก่าๆ ของเมืองอย่าง แขนงซอยแปลกๆ หรือรอยผุพังจากช่วงเวลาและความทรงจำ อย่างเช่น ตามแนวคลอง หรือรางรถไฟ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำเลือนลางที่กำลังจะถูกลืม โดยช่วงเวลาที่เขาชอบถ่ายภาพที่สุด ก็คือยามเช้า เพราะเขารู้สึกว่าแสงอ่อนๆ มันมอบความรู้สึก ‘นุ่มนวล’ ให้กับทุกๆ สิ่งรอบตัว
ในการถ่ายทำโปรเจกต์นี้ดาร์เคิล เลือกใช้ Canon RF 24–105mm f/2.8L เพราะความอเนกประสงค์ของมันที่เขาสามารถซูมเข้าไปถ่ายภาพชีวิตบนท้องถนนได้อย่างแนบบเนียน ได้ดีกว่าแบบอื่น ส่วนอีกเลนส์ที่เขาใช้งานคือ Canon RF 100mm f/2.8L Macro เพื่อเก็บรายละเอียดเล็กๆ โดยพึ่งพาระบบกันสั่นขั้นเทพแบบ 8 สต็อปของบอดี้ EOS R5
สำหรับดาร์เคิล เขาคิดว่า ความเคารพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ควรมากไปจนน่าอึดอัด เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ภาพหนึ่งภาพออกมาดูสมจริงที่สุด คือแรงดึงดูดของผู้ถ่ายกับตัวแบบ และแนวทางการถ่ายภาพของเขาคือการหาสมดุลที่พอดี หรือถ้อยคำทรงพลังของเขาว่า ถ่อมตัว แต่คงความเท่ไว้

ดรณ์ อมาตยกุล
ดรณ์ชื่นชอบในพลังงานจากชีวิตจริงของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ อย่างสถานที่โปรดของเขานั่นก็คือ ตลาดโบ๊เบ๊ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศคึกคักและวิถีชีวิตชาวบ้านแบบจริงๆ
เขาแนะนำเส้นทางเดินถ่ายภาพสตรีทแบบคลาสสิกอย่าง ตลาดพลูและเยาวราช ย่านที่ยังคงรักษาความเป็นชุมชนดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดีในกรุงเทพฯ และกล่าวว่า ‘ถ้าไปเดินที่นี่ ไม่มีทางที่คุณจะได้กลับบ้านมือเปล่าอย่างแน่นอน’
ดรณ์เป็นคนที่รักในความงดงามของแสงยามเย็น (Golden Hour) เพราะแสงช่วงนี้มีอะไรบางอย่างที่เหมือนสะกดจิตคุณให้หลงไหลไปกับมัน และเข้ากันได้พอดีกับ โทนสีเหลืองนวลอ่อนๆ ของไฟล์ภาพจากกล้อง Canon ซึ่งช่วยให้ภาพของเขาดูละมุน และสวยงามมากกว่ามองด้วยตาเปล่า
ในการถ่ายภาพแนวสตรีท Don เลือกใช้เลนส์ซูมอย่าง
Canon RF 24–105mm f/4L IS USM และ RF 70–200mm f/4L IS USM โดยเขาจะไม่ยึดกับการตั้งค่าตายตัว แต่จะเลือกให้กล้องปรับตามแสง และเปิดโหมดจับใบหน้า เพื่อไม่ให้พลาดจังหวะดีๆ ซึ่งสิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการพูดคุยแบบเป็นกันเอง เพราะมันเป็นทางที่จะเข้าถึงคนอื่นๆ ได้ดีที่สุด ด้วยสไตล์ของเขาที่ชอบถ่ายให้ผู้คน
ในองค์รวมของฉากใหญ่ ขนาดของกล้องจึงไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเขาส่วนสไตล์การแต่งภาพ ดรณ์ใช้ Lightroom แบบง่ายๆ และปรับแต่งภาพเล็กน้อยจากไฟล์ RAW จากสีที่สวยอยู่แล้ว ให้ออกมาเหมือนกับภาพที่ตาเห็น

คเณศ สินก่อเกียรติ
คเณศแนะนำให้เดินตามเลียบเส้นริมคลองของเมือง อย่างเช่น คลองบางกอกน้อย ที่ยังคงมี วิถีชีวิตโบราณให้เห็น ณ ปัจจุบันนี้ ตั้งแต่คนพายเรือ ไปจนถึงสถานีรถไฟไอน้ำเก่าแก่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล อีกหนึ่งสถานที่โปรดของเขานั่นคือ ปากคลองตลาด ในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่แสงแดดจัดลอดผ่านผ้าใบมากลายเป็นลำแสงเฉพาะจุด สร้างเงาและแสงที่สวยชัด แบบดรามาติก เขากล่าวว่า ‘ผมชอบถ่ายตะกร้าผลไม้ที่วางซ้อนเรียงกัน สีสันมันหลากหลายและสดใสมาก’
เวลาเดินถ่ายภาพคเณศจะใช้ Canon RF 15–30mm สำหรับภาพมุมกว้าง และ RF 24–105mm แต่ถ้าอยากเจาะรายละเอียดเฉพาะจุด เขาจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า ‘fishing’ นั่นก็คือการยืนรอในโลเคชันที่ใช่ แล้วรอให้เรื่องราวเดินผ่านเข้ามาในเฟรมเอง และเพื่อให้พร้อมสำหรับทุกจังหวะ เขาจึงตั้งรูรับแสงไว้ล่วงหน้าที่ f/7.1 หรือ f/8 นอกจากนี้คเณศยังเชื่อว่า ความเป็นมิตรและการรู้จักสังเกตสิ่งต่างๆ คือหัวใจสำคัญ ในการถ่ายภาพผู้คนท้องถิ่น รอยยิ้มเล็กๆ การพยักหน้าเบาๆ และการอ่านภาษากายให้เป็น คือสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน และถ้าใครดูไม่สบายใจที่จะโดนถ่าย ‘ผมจะหยุดถ่ายทันที ไม่ฝืน ไม่รุกล้ำ’

เฮี้ยง เรืองนิรมาณ กาญจน์จิณณะ
สำหรับเฮี้ยง คำถามที่ว่าจะถ่ายที่ไหนดีในกรุงเทพฯ มีคำตอบเดียวนั่นก็คือ ‘เจริญกรุง’ เพราะถนนทั้งเส้นคือผ้าใบของเธอไปแล้ว ช่วงเวลาที่เธอชอบที่สุดในการถ่ายภาพบนถนนสายนี้คือ แสงยามเย็นระหว่าง 16.00 - 18.00 น. สไตล์การถ่ายภาพของเธอตรงไปตรงมา แบบไม่อ้อมค้อม โดยเฉพาะเวลาจะถ่ายคน เธอใช้กฎง่ายๆ ข้อเดียว คือการถามแบบตรงไปตรงมาว่า ‘ขอถ่ายรูปได้ไหมคะ’
แนวคิดแบบนี้ก็สะท้อนอยู่ในการแต่งภาพของเธอเช่นกัน ลายเซ็นของเฮี้ยง คือ โทนแมตต์ผสม วิกเนตที่ไม่เน้นความเนี้ยบทางเทคนิคแต่กลับให้ความสำคัญกับอารมณ์ของภาพ โดยส่วนใหญ่ เธอกล่าวว่า ‘ภาพที่ดีสำหรับฉัน คือภาพที่ถ่ายทอดอารมณ์ของช่างภาพ หรือของตัวภาพออกมาได้ด้วยตัวเอง’ และนี่ คือสิ่งที่ทำให้ภาพของ Hiang มีพลัง และเข้าถึงใจคนดูได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ

STYLEdeJATE
ถ้าถาม STYLEdeJATE ว่ามีโลเคชันลับที่ไหนแนะนำบ้าง เขาจะตอบเลยว่า ‘ทุกที่ที่ยังไม่เคยไปนั่นแหละ คือสมบัติลับที่รอให้ค้นหา’ คำแนะนำของเขาคือ ให้ขยันหน่อย เดินเข้าซอยไหนก็ได้ แค่เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวตัวตนของเมืองมันจะเผยออกมาเองเขาชอบทดลองจับคู่กล้อง Mirrorless ของ Canon กับเลนส์มือหมุนวินเทจ
เพราะรู้สึกว่าเลนส์เก่าๆ พวกนี้มันช่วยลบความคมจัดๆ แบบยุคดิจิทัลออกไปได้เลย
ให้ภาพมีความนุ่มละมุนมากขึ้น
แนวทางการเข้าหาคนของเขาก็เป็นธรรมชาติไม่แพ้กัน แค่ยิ้ม ทักทาย แล้วเริ่มคุยเหมือนคนทั่วไป
เขาเชื่อว่า ‘ความเป็นมิตรคือภาษาสากล’ และคนไทยก็พร้อมจะเป็นมิตรกับคุณตลอดอยู่แล้ว ขั้นตอนการทำงานของเขาคือการปล่อยให้มันเป็นไป สำหรับโปรเจกต์นี้ เขาใช้กล้องขนาดเล็ก แล้วพรินต์ภาพทันทีด้วย เครื่องพิมพ์พกพาของ Canon เป็นการย้ำเตือนว่าข้อจำกัดข้อเดียว คือความคิดสร้างสรรค์ของคุณเองเท่านั้นแหละ

ปิติ อัมระรงค์
ปิติ แนะนำให้มองหาพื้นที่ที่ผู้คนรวมตัวกันด้วยพลังและใจรัก ถ้าสำหรับประสบการณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เขาแนะนำให้ไปซื้อตั๋วบอลสักใบ แล้วเข้าไปสัมผัสบรรยากาศในสนาม PAT ของทีมการท่าเรือสักครั้ง และเพื่อเลี่ยงแดดร้อนเผา ๆ เขาแนะนำให้เริ่มเดินถ่ายช่วงบ่ายแก่ๆ ประมาณบ่ายสาม ที่แสงเริ่มอ่อนลงและอุณหภูมิกำลังดี
ในโปรเจกต์นี้ปิติ ใช้เลนส์เอนกประสงค์ Canon RF 24–50mm f/4.5–6.3 IS STM
แต่เลนส์ที่เขาชอบที่สุดคือ RF 28mm f/2.8 STM pancake
เพราะมันขนาดกำลังดี เหมาะกับการถ่ายสตรีท พกง่าย แถมราคาไม่แพง และสำหรับการถ่ายภาพผู้คน ปิติแนะนำให้แกล้งทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว เพราะคนท้องถิ่นจะไม่ติดใจสงสัยว่าคุณกำลังถ่ายอะไรแปลกๆ อยู่หรือเปล่า นอกจากนั้นเขายังเชื่อในหลักการแต่งภาพให้ง่ายที่สุด และเตือนว่า ในโลกของภาพถ่ายแนวสตรีทสิ่งสำคัญคือเนื้อหา และบางทีความไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละ ที่ทำให้ภาพมันมีชีวิตชีวา

พีเค วรรณศิริกุล
พีเค เชื่อว่า ภาพที่จริงแท้ที่สุด ก็อยู่ในย่านที่อยู่อาศัยนั่นแหละ เขาแนะนำว่าให้ลองเดินสำรวจ ย่านบางกระเจ้า เหม่งจ๋าย หรืออุดมสุข เพื่อสัมผัสชีวิตท้องถิ่นแบบแท้จริง แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศที่ต่างออกไป เขาชอบเดินถ่ายแถวนานา และ อโศกตอนกลางคืน เพื่อบันทึกชีวิตหม่นๆ ดิบๆ อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพฯ พร้อมกับแนะนำว่า ให้ไปตามจังหวะของโมเมนต์ ไม่ใช่แค่ตามแสงไป เพราะภาพที่ดี มันขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ไม่ได้มีสูตรตายตัวอะไรเลย
PK ชอบใช้ เลนส์ซูม f/2.8 series ของ Canon เพราะให้ความยืดหยุ่นในการถ่ายได้จริง
ช่วงนี้เขาก็ยังทดลองใช้สปีดชัตเตอร์ช้า เพื่อให้ภาพมีความรู้สึกเหนือจริงและดูฟุ้งฝันมากขึ้น กฎข้อหนึ่งที่เขายึดไว้เสมอเวลาถ่ายคนคือ ความสุภาพ และเชื่อว่า ‘ถ้าโมเมนต์นั้นไม่ใช่ ก็แค่ยืนมองและเก็บไว้ในใจ ดีกว่าฝืนถ่ายแล้วเสียจังหวะ’ PK เสริมว่า กล้องโปรอย่าง Canon ยังช่วยให้คุณดูมืออาชีพขึ้นในสายตาคนอื่น และนี่ก็มีส่วนทำให้คนในรูปรู้สึกวางใจ และเชื่อใจเขามากกว่าเดิมอีกด้วย

ตอนนี้ถึงตาคุณแล้ว
ได้ฟังทริคจากมือโปรไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีของคุณแล้ว ที่จะสร้างงานภาพระดับมาสเตอร์พีซ ของตัวเองออกมาให้คนทั้งโลกได้เห็น นาฬิกานับถอยหลังเริ่มขึ้นต้นแล้ว! กับการส่งภาพ เข้าประกวดในแคมเปญ Time Out Capture Bangkok ที่จะปิดรับผลงานในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ที่คุณจะได้ออกไปตามหาแสงที่ใช่ จังหวะที่ชอบ และกดชัตเตอร์ในโมเมนต์ที่มีแค่คุณคนเดียวที่มองเห็นและถ้าอยากเห็นภาพถ่ายของคุณ ไปอยู่บนผนังแกลเลอรีที่ The Corner House ส่งภาพของคุณมาตอนนี้ได้เลย กรุงเทพฯ กำลังรอให้คุณถ่ายทอดตัวตนของมันออกมาอยู่!