ข่าว

Papa เหตุการณ์จริงในฮ่องกงสู่ภาพยนตร์ชวนทำความเข้าใจกลุ่มเปราะบางได้งดงาม

Papa หนังฮ่องกงที่ตีแผ่เรื่องจริงจากครอบครัวหนึ่ง ที่เด็กชายอายุ 15 ปีอาชญากรรมแม่และน้องสาวของตัวเอง

Sriwalee Lakmuang
เขียนโดย
Sriwalee Lakmuang
Staff writer, Time Out Thailand
Papa Hong Kong Film Gala Presentation
Photograph: hollywoodreporter
การโฆษณา

หมายเหตุ: ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป 

หากใครเคยดูหนังฮ่องกง คงรู้อยู่แล้วว่า บทบาทของนักแสดง ฝีมือการกำกับ แม้แต่ทีมเขียนบทส่วนใหญ่คือการเปลื้อง ‘ความจริง’ ของหนังได้หมดเปลือก 

เช่น Papa หนึ่งในภาพยนตร์ฮ่องกงที่หยิบเอาเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการเล่าเรื่องให้ดู ‘ง่าย’ กับคนดูได้อีกหนึ่งเปลาะ  

ภาพยนตร์เรื่อง Papa เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของเทศกาล Hong Kong Film Gala Presentation ที่เพิ่งเข้าฉายที่ House Samyan ไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน ด้วยธีม Together We Dare Together เป้าหมายหลักของเทศกาลคือ การสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและแลกเปลี่ยนวิชาชีพในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงและไทย เรื่องนี้เคยเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่โตเกียวด้วย 

สำหรับ Papa คือภาพยนตร์แนวดราม่า-อาชญากรรม ที่สร้างจากคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเมื่อปี 2010 ที่ย่านซุนวาน ในฮ่องกง ด้วยฝีมือการกำกับของ ‘ฟิลิป ยุง’ ผู้กำกับ นักเขียนบท และผู้ควบคุมงานสร้างหนังในฮ่องกง นำแสดงโดย หลิวชิงอวิ๋น (ฌอน หลิว) โจ คุค และดีแลน โซ ซึ่งเขาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่พลิกบทบาทมารับบทที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยากเรื่องนี้เรื่องแรก จนได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุ 16 ปี 

สาเหตุที่โปรดิวเซอร์และทีมนักเขียนบทสนใจประเด็นเรื่องนี้ก็เพราะว่า แม้ฮ่องกงจะนับว่าเป็นเขตเศรษฐกิจระดับโลก แต่ก็ยังมีมุมมืดที่ซ่อนอยู่ใต้พรม อย่างอัตราการปลิดชีพของเยาวชนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะวัยประถมและมัธยม (หนึ่งในกลุ่มคนที่น่าเป็นห่วง) จึงควรหันมาตระหนักและใส่ใจเรื่องนี้จริงจัง ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างของเยาวชนก็คือ ‘หมิง’ ตัวละครหลักของเรื่อง Papa นั่นเอง 

Papa คือการเล่าเรื่องราวของ ‘หนิน’ เจ้าของร้านอาหารและคาเฟ่เล็กๆ ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับครอบครัว แต่ชีวิตต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อ ‘หมิง’ ลูกชายวัย 15 ปีของเขาได้ลงมืออาชญากรรมแม่และน้องสาวของตัวเองในค่ำวันหนึ่ง ต่อมาหมิงได้ถูกจับกุมโดยการสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหลังจากที่เขาถูกจับกุม เขาก็ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่าเข้าข่ายเป็นโรคจิตเภทขั้นรุนแรง จนถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดในสถานพยาบาลจิตเวชซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐ และจะต้องเข้ารับการบำบัดจนกว่าอาการจะหายดีจริงๆ  

นับตั้งแต่นั้น หนินผู้เป็นพ่อก็ดำเนินชีวิตเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก (แต่ก็มีความเข้าใจโลกในที) ทุกๆ เดือนที่เขาไปเยี่ยมลูกชายที่สถานพยาบาลจิตเวช ความทรงจำในอดีตถึงภรรยา ลูกสาว และลูกชาย ก็เข้ามาหลอกหลอนเขาทุกครั้ง แต่พอเวลาผ่านไป เขาเลิกหาเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต แต่หวังแค่ว่าลูกชายคนเดียวของครอบครัวจะได้กลับบ้านอยู่พร้อมหน้ากับเขาอีกครั้ง 

ประเด็นหลักของภาพยนตร์ฉายภาพไปที่ความเข้าอกเข้าใจและความมีเมตตาของผู้เป็นพ่อที่มีให้ลูกชายได้ลึกซึ้งเกินกว่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ อย่างที่ เอมี ชิน โปรดิวเซอร์เรื่อง Papa บอกว่า เธอตั้งใจอยากให้คนหันมาให้ความสำคัญกับการสำรวจจิตใจ ในอีกแง่เพื่อต้องการให้คนส่วนใหญ่ทำความเข้าใจผู้ที่อยู่ในภาวะทางจิตเวชไปพร้อมกัน 

“เราอยากให้ภาพยนตร์สื่อถึงความเมตตาต่อผู้ป่วยทางจิตเวช ซึ่งอยากให้เข้าใจพวกเขา และมองเห็นว่าเรื่องนี้คือเรื่องใกล้ตัวที่ควรหันมาใส่ใจ” – เอมี ชิน โปรดิวเซอร์หนังเรื่อง Papa 

โดย ดีแลน โซ ตัวเอกของเรื่องให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับการทาบทามจากฝ่ายคัดเลือกนักแสดงให้มารับบทนี้เป็นครั้งแรก ตัวเขาเองก็เป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยม ซึ่งเป็นบทที่ท้าทายความสามารถอยู่มาก โดยเฉพาะการรับบทตัวละครที่มีอาการทางจิต แต่เขาก็มีพี่ชายที่ดูแลผู้ป่วยทางจิตเวชโดยตรงช่วยให้คำแนะนำ 

ดังนั้น ที่บอกว่าแม้หนังจะสกัด ‘ความจริง’ ออกมาให้เห็นถึงเรื่องราวในหนังเพื่อให้ดู ‘ง่าย’ ขึ้นตั้งแต่ต้นโดยที่ดูไม่น่ากลัวจนเกินไปนั้น อันที่จริงกลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจของตัวละครหนึ่งไปสู่อีกตัวละครหนึ่งมากกว่า ซึ่งหนังกำลังบอกว่า ความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่น่าขยะแขยงหรือการตั้งแง่ที่จะหลีกหนีและน่ารังเกียจเสมอไป แต่การอยู่ในสภาวะยอมจำนนเพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจต่างหากคือ ‘ความจริง’ อันน่ากลัว 

ในแง่คนดูอย่างเรา การที่โปรดิวเซอร์หยิบยกประเด็นของกลุ่มผู้เปราะบางอย่างอาการป่วยทางจิตเวชมาชำแหละความจริงโดยถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ นับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งที่ชูเรื่องนี้ออกมาพูดในแวดวงสังคมที่เราคิดไปเองว่าไม่มีใครคิดจะทำสักเท่าไร    

อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะมีเส้นเรื่องที่เล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เกิดขึ้นและจบลงแบบไหน แต่ผู้กำกับและทีมนักแสดงกลับถ่ายทอดออกมาโดยเดินเรื่องที่รู้สึกได้ว่าไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำซากตามตัวละคร หรือโบยตีคนดูให้บอบช้ำไปกับเรื่องราวในหนัง นั่นจึงทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง An Elephant Sitting Still (2018) ที่กำกับภาพออกมาได้คล้ายกับหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ 

อย่างฉากในคืนหนึ่งที่หมิงดูสับสนจนใช้มีดทำร้ายแม่และน้องสาวจนพวกเขาจากไป ฉากนั้นคนดูอาจแปะป้ายด้วยคำถามที่ว่า ทำไมหมิงถึงทำแบบนั้น ซึ่งเป็นคำถามเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อถามลูกชายตัวเองหลังโดนจับกุม ฉากนี้บอกได้ทันทีว่า การทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาจนถึงแก่ชีวิตมันดูอุกอาจอย่างแน่นอน แต่การร้อยเรียงภาพในหนังสื่อออกมาให้เห็นว่า การกระทำของตัวละครต้องอาศัยความสามารถในการเข้าอกเข้าใจ ‘คนดู’ ที่ ‘เคยเผชิญ’ เหตุการณ์นั้นจริงๆ จึงจะพอเดาได้ว่า ‘ทำไม’ พวกเขาจึงลงมือกระทำ ซึ่งหนังก็ไม่ได้สื่อสารเพื่อขอความเห็นใจ แต่เพื่อให้ทำความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ 

หลังจากที่หนินผ่านเหตุการณ์สูญเสียวันแล้ววันเล่า อย่างน้อยเขาก็มีแมวเป็นตัวแทนของลูกสาว ซึ่งตัวละครแบบหนินมันซื้อเราก็ตรงที่เขาไม่เคยกล่าวโทษลูกชายแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับให้ชีวิตได้ดำเนินไปอย่างสามัญ แม้จะต้องทนทุกข์กับความทรงจำทั้งกับภรรยาและลูกสาวมากก็ตาม บางครั้งเขาถึงขั้นลืมตัวว่ามีพวกเขาอยู่ด้วย บางทีก็เผลอเรียกชื่อลูกสาว บางช่วงก็นึกถึงวันดีๆ ที่มีด้วยกันกับภรรยาซึ่งดูทรมานจิตใจถึงขั้นทำให้เขาเสียหลัก แต่เขาก็ต้องตกอยู่ในภาวะยอมจำนนว่าไม่อาจทำอะไรกับความเสียใจได้อยู่ดี

แต่ราวสิบปีให้หลัง ของขวัญล้ำค่าก็ส่งมอบให้เขาได้ทันท่วงที เขาได้ลูกชายกลับคืนมา ภาพความทรงจำเริ่มจางหาย มีเพียงเขาและลูกชายบนโต๊ะกินข้าวที่ฉลองมื้อแรกอย่างเงียบๆ เพื่อร้อยเรียงความทรงจำบทใหม่ด้วยกันอีกคราว  

บทความล่าสุด
    การโฆษณา