[title]
บนโลกโซเชียล ท่าแร่ ได้รับกระแสตอบรับด้านบวกเกินคาด
อย่างที่รู้ ท่าแร่ คือหมู่บ้านที่มีคนนับถือคาทอลิกเยอะสุดในอีสาน วัฒนธรรมหลากหลายเชื้อชาติก็รวมอยู่มาก ทั้งญวน เวียดนาม หรือไทญ้อ เต็มไปด้วยความเชื่อของท้องถิ่น สถานที่ส่วนใหญ่ก็ยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส เช่น โบสถ์เก่าคำเกิ้ม ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์เรื่อง ท่าแร่ จึงเป็นการผสานระหว่างความเป็น Folk Horror (ความกลัวเรื่องผีสางในท้องถิ่น) ของชุมชนท่าแร่ในสกลนครที่เล่าผ่านหมอเหยา และวิธีการปราบผีแบบ Exorcist ในหนังฝรั่งที่เล่าผ่านบาทหลวงให้อยู่ในบริบทของหนังไทยตามแบบฉบับของผู้กำกับหนังสยองแห่งชาติอย่าง คุ้ย-ทวีวัฒน์
ความจริงแล้ว ใครต่างก็รู้จักคุ้ยจากวงการหนัง ละคร ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังกว่า 20 ปี แต่ที่ชัดมากคือภาพจำของผีสาวชุดดำเรื่อง ธี่หยด (2566) และธี่หยด 2 (2567) ซึ่งกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ระดับนานาชาติ อีกอย่าง เขาบอกว่า วัฒนธรรมของหมู่บ้านท่าแร่มีความหลากหลายจนเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายเอามากๆ แต่เขาตอบอย่างมั่นใจว่า แหงล่ะ ก็มันคือเรื่องที่จะต้องทำ!

โดยไม่ต้องเดา แกนหลักของหนังเรื่องนี้จึงเป็น ‘บาทหลวง’ และ ‘หมอเหยา’ ด้วยคัลเจอร์และตำนานของไทยในมุมมองใหม่ซึ่งยังไม่เคยถูกเล่าในหนังผีไทยที่ไหน ในอีกแง่ ท่าแร่ในการกำกับของคุ้ยกลับเห็นอะไรที่ขึงขังกว่าลายเซ็นความหลอนที่คุ้นเคยกว่าในธี่หยดเสียอีก
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ท่าแร่ติดตาได้เกินกว่าทั้งหมด คือเหล่านักแสดงที่สวมบทบาทและใส่ทีท่ากันสุดกู่ โดยเฉพาะเจมส์-จิรายุ (แสดงหนังผีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก) และแพรวา-ณิชาภัทร (ที่บอกว่ายากเพราะกลัวผีสุดชีวิต) กลับเป็นนักแสดงคลื่นลูกใหม่ในวงการหนังผีไทยที่เอาอยู่ได้ดีทีเดียว

*ต่อจากนี้เป็นการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์*
คงไม่เกินจริง หากการเปิดฉากแรกของหนังท่ามกลางโบสถ์คริสต์เก่าคำเกิ้ม (โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ที่มีทีมงานออกแบบมือรางวัลอย่าง สุดเขตร ล้วนเจริญ) ฉายภาพเด็กหญิงอายุราวๆ ห้าขวบถูกมัดมือกับเก้าอี้ ตรงหน้าเธอคือแม่ที่ร้องห่มร้องไห้ใจจะขาด และข้างๆ แม่ของเด็กหญิงคือบาทหลวงที่ยืนท่องบทสวดอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วอยู่ๆ ผู้เป็นแม่และบาทหลวงได้กระทำบางอย่างกับเด็กหญิงต่อหน้ารูปปั้นพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเยซู ซึ่งนี่อาจเป็นคำตอบของจุดเริ่มและจุดจบในเรื่องราวทั้งหมด

ตัดภาพมาสี่สิบปีให้หลัง อยู่ๆ ตามิ่ง (เอก-ธเนศ) อดีตบาทหลวงเมื่อสี่สิบปีก่อนมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านต่างสันนิษฐานและเชื่อกันว่าโดนผีปอบเข้าสิง อาการของตามิ่งน่าจะเป็นเพราะพึ่งศาสตร์การเลี้ยงผี (แบบผิดๆ) จากความเชื่อของภรรยาคนแรกที่เสียชีวิต ซึ่งเป็นแม่ของมาลี (แพรวา-ณิชาภัทร) แล้ววันหนึ่งมาลีได้รับข้อความ (ปลอมๆ) จากยายแสง (เอี้ยง-สวนีย์) -น้องสะใภ้ของพ่อ แต่มาลีเรียกอาแสง- ว่าให้กลับมาที่หมู่บ้านท่าแร่โดยด่วนเพื่อมาดูใจพ่อที่กำลังป่วยหนัก ทั้งที่มาลีไม่เคยรู้เลยว่าการกลับมาครั้งนี้เธอจะโดนผีรุมเล่นงานหนักหน่วง
ระหว่างบาทหลวงกับหมอเหยา ใครจะแน่กว่า?
มหากาพย์ของการปราบผีเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน เมื่อบาทหลวงสมชาย (แฉะ-องอาจ) และบาทหลวงเปาโล (เจมส์-จิรายุ) มาเจอกับแม่เมืองโสภา (มีน-พีรวิชญ์) หมอผีเจนซีในยุคติ๊กต่อก มันคือยุคของหมอผีร่วมสมัยที่ดูอินเทรนด์เข้าท่า

ในช่วงแรกที่แม่เมืองโสภาเปิดฉากร่ายรำในพิธีปราบผีกับบาทหลวงสมชายในบ้านของตามิ่งและยายแสง มันคือการมาถึงของฉากพิธีกรรมโบราณนี้จริงๆ แล้ว สำหรับคนดูอย่างเราการได้เห็นฉากนี้ที่ดำเนินไปราวๆ ยี่สิบนาทีถือว่าจูนติดกับหนังได้พลิ้วลื่น กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับสถานการณ์และตัวละครยังไงยังงั้น อีกแง่ที่สำคัญ มันคือความตื่นเต้นที่บอกไม่ได้ว่าสิ่งนี้ ‘จริง’ หรือกำลัง ‘หลอก’ เราอยู่กันแน่?

ทั้งฉากที่ตามิ่งถูกมัดมือมัดเท้ากลางพิธีเหยา ทันทีที่การร่ายรำด้วยทีท่าการเคาะดาบแล้วมาบรรจบด้วยจังหวะที่เหมือนจะเป็นการฟัน ‘ผีห่า’ ให้ตายราบเป็นหน้ากลองนั้นราวกับว่าตามิ่งโดนลงดาบไปด้วยจริงๆ หรือการที่อยู่ๆ ร่างกายของตามิ่งเกิดอาการพะงาบๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เราเกิดคำถามว่า เหล่านี้คือพิธีกรรมปราบผีหรืออะไรกันแน่ หรือทำไปเพื่อขู่ผีให้กลัวอยู่หรือเปล่า

หรือวิธีการปราบผีของแม่เมืองโสภา บาทหลวงสมชาย และบาทหลวงเปาโลของสองขั้วความเชื่อก็เห็นถึงความต่างแต่เข้ากันได้ อย่างการท่องบทสวดในศาสนาคริสต์ อีกด้านหนึ่งอาจเป็นการช่วย ‘ชะลอ’ ทุกอย่างให้ช้าลง เหมือนบอกกลายๆ ว่า ใจเย็นก่อนนะหนู ทีนี้เมื่อบทสวดคอนเน็กต์กับท่วงท่าการร่ายรำในพิธีของแม่เมืองโสภา จึงเหมือนหลอกให้เราเชื่อไปก่อนว่ากำลัง ‘ปัดเป่า’ สิ่งเลวร้ายออกไปแล้วนะ หรือเธอ (คนที่ถูกผีเข้า) ต้องดีขึ้นแน่เลย พอมาถึงตรงนี้จะรู้สึกได้ถึงเลือดสูบฉีดจนใจเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆ

แต่ในระหว่างนั้นเราไม่ชัวร์ว่าจริงหรือหลอก และเราไม่ชัวร์ว่าทั้งสองขั้วจะร่วมมือกันปราบผีได้จริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็น เราเองรู้สึกได้ถึง ‘พลานุภาพ’ ของการ ‘เกื้อหนุนทางจิตใจ’ ทั้งฝั่งบาทหลวงและฝั่งหมอเหยามากกว่า ที่แม้แต่ผีห่าเองยังยอมศิโรราบ

คนชายขอบที่ถูกครอบทับบนความเชื่อผีๆ
นัยหนึ่ง ถ้าผละมามองทางด้านสังคมศาสตร์ เคยมีคำกล่าวจากผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งอธิบายอาการของคนที่มีพฤติกรรมคาดเดาไม่ได้ หรืออาจโดนผีปอบเล่นงานไว้ว่า จริงๆ แล้วคือพฤติกรรมแปลกประหลาดที่หาสาเหตุได้ยาก อาจหมายถึงอาการเจ็บป่วยก็ได้ แต่คนเหล่านี้จะ ‘ต้อง’ อยู่ในชุมชนที่เชื่อเรื่อง ‘ปอบ’ ซึ่งน่าเศร้าว่าอาการเหล่านี้อาจเป็นเหตุให้พวกเขากลายเป็นคนชายขอบไปเลยก็ได้

หรืออย่างที่ โจฮัน กัลตุง นักสังคมวิทยาชาวนอร์เวย์บอกว่า อาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้คือความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมทั้งในทางตรง ในเชิงโครงสร้าง และในทางวัฒนธรรม ซึ่งถ้าเกี่ยวพันกับคนที่เชื่อเรื่อง ‘ปอบ’ ไม่ว่าจะกรณีไหน เท่ากับว่าคนคนนั้นโดนผลักไสให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองทันที
นั่นเลยทำให้นึกถึงตัวละครอย่าง ตามิ่ง หรือ มาลี สองพ่อลูกที่มีอาการแปลกประหลาด ซึ่งมียายแสงคอยดูแลให้ข้าวให้น้ำ แต่ทุกครั้งยายแสงมักจะอุตริใส่ยานอนหลับในข้าวปลาอาหารและบังคับให้ทั้งสองกินทุกมื้อ นั่นก็เพื่อให้สองพ่อลูกไม่ไปกระทำเรื่องที่ไม่ควรกับคนในหมู่บ้าน แต่อีกทางหนึ่งคือการผลักไสพวกเขาอย่างเลือดเย็นดีๆ นี่แหละ โดยที่ตัวยายแสงเองจะได้หลุดพ้นจากการถูกพันธนาการเสียที

ในทางกลับกัน ความเป็นแม่คนของยายแสงที่เจ็บปวดไม่หายกับการจากไปของลูกสาวเมื่อสี่สิบปีก่อน ที่ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยการแบกรับบนความคาดหวังของตามิ่งและมาลีด้วยความไม่เต็มใจ
การแบกรับบนความคาดหวังนี้ คือการยินยอมให้ตามิ่งเลี้ยงผีในร่างของ ‘เพศหญิง’ อย่างเธอเพื่อเว้นชีวิตทายาทเพศหญิงของตนอีกที นั่นแปลว่า ยายแสงต้องมีชีวิตอยู่ในภาวะจำยอม (หรือมองอีกมุมอาจเป็นการเสียสละ) เพราะไม่อย่างนั้นมาลีอาจกลายเป็นลูกสาวของยายแสงเมื่อสี่สิบปีก่อนเอาได้ แต่ก็สายไปอยู่ดี
ทางที่ดีจึงอย่าเป็นอีผีคอยรังควานคนอื่น
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าตัวละครอย่างมาลีก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความสำคัญไม่น้อย และจะไม่แปลกเลยถ้ามาลีถูกผีเข้าสิงในแบบที่เราเคยเห็นในหนังผีไทย

แต่การที่มาลีถูกสรรพผี ซึ่งรวม Genre ผีพื้นบ้านพรั่งพรูกันมาอาศัยในร่างของมาลีนั้นคิดว่าหนัง ‘พยายาม’ จะขยายความให้เห็นว่ามาลีคือ ‘หญิงสาว’ ที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน เลยเป็นเหตุให้สรรพผี เช่น ผีแถน ผีฟ้า ผีโพง หรือผีปอบ ดันปลื้มปริ่มกับ ‘ร่างกาย’ ของมาลี ซึ่งเรามองในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ผีกับคนก็เหมือนต้นไม้กับกาฝาก ต้นไม้ที่เพิ่งแตกกิ่งก้าน อาจเป็นที่ที่เหมาะสำหรับให้กาฝากยึดเกาะได้อีกนาน

พอคิดในมุมกลับกันเมื่อเธอกลายสภาพเป็นผีในร่างคนโดยที่เธอไม่ได้อยากจะเป็น ‘เลย’ ซึ่งในทางตรงและทางอ้อมเรียกได้ว่าเป็นการทารุณกรรมทางจิตใจที่ส่งต่อมาจากครอบครัว เช่นเดียวกับที่บาทหลวงเปาโลใช้ชีวิตอยู่กับแม่ขี้ยาอย่างทุกข์ทนในอดีต แต่เมื่อวันหนึ่งเปาโลกลายเป็นบาทหลวง เป็นคุณพ่อของชาวบ้าน อาจจะด้วยเหตุผลเพื่อกลบทับรอยแผลในวันวาน หรือเพื่อช่วยปลอบประโลมคนอื่นหรือตัวเอง แต่เขาก็หนีไม่พ้นภาพในอดีตที่เห็นแม่หมกมุ่นกับการเสพยาคอยตามรังควานเขาราวกับผีตนหนึ่งไปได้

ซึ่งตลกดี การคอนเน็กต์กันระหว่างแม่เมืองโสภา เปาโล หรือมาลี กลับทำให้เรารู้สึกว่า แม้พวกเขาจะอยู่กันคนละขั้ว ต่างกันทางความเชื่อ แต่พวกเขาต่างงรีเฟลกซ์และฟื้นฟูกันอย่างกับตอนจบในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น เช่นเปาโลที่อยู่ในคราบบาทหลวงคอยประคองชีวิตตัวเองและคนอื่นเพื่อให้มูฟออนต่ออย่างนั้นหรือเปล่า หรือแม่เมืองโสภาที่สืบทอดการเป็นหมอเหยาต่อจากรุ่นย่ายายเพื่อตอบแทนบุญคุณหรือแค่ความจำเป็น ซึ่งผิดกับยายแสงและตามิ่งที่แม้เฉียดอยู่ในสายเลือดเดียวกัน แต่ทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ดึงดูด ไม่เป็นหนึ่งเดียว จนในที่สุดก็แตกสลายไปคนละทาง

แต่ไม่ว่าอย่างไร ใบหน้าทรงพลังของมาลีในฉากสุดท้ายกลับเตือนใจตัวเองล้วนๆ ว่าอย่าเป็นอีผีคอยรังควานชีวิตคนอื่นก็แล้วกัน
FYI: ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากคุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ ทีมผู้บริหารสหมงคลฟิล์ม และนักธุรกิจในจังหวัดสกลนคร โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการเงินอุดหนุนสำหรับผลิตภาพยนตร์ฯ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและส่งเสริมการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ไทยในปี 2568 จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA)