ข่าว

รีวิว Weapons เมื่ออาวุธที่น่ากลัวที่สุด คือการถูกครอบงำทางความคิด

ภาพยนตร์สยองขวัญที่สื่อหลายสำนักยกให้เป็นที่สุดแห่งปี

Yokploy Chandrabha
เขียนโดย
Yokploy Chandrabha
Staff writer, Time Out Thailand
Weapons
Photograph: Weapons
การโฆษณา

ภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติอเมริกันที่สื่อหลายสำนักยกย่องให้เป็น ‘ที่สุดแห่งปี’ การันตีด้วยคะแนนรีวิวจากนักวิจารณ์สูงถึง 94% บน Rotten Tomatoes และยังเป็นผลงานของ ‘แซ็ก เคร็กเกอร์’ ผู้กำกับที่เคยทำให้คนดูทั้งโลกขนหัวลุกมาแล้วใน Barbarian (2022) ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับความสยองรูปแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมสะดุ้ง แต่ยังชวนให้เย็นวาบไปทั้งตัวอย่างคาดไม่ถึง

ตั้งแต่ตัวอย่างแรก Weapons ก็แทบไม่ให้คำตอบอะไรเลย ทิ้งไว้เพียงปริศนาและบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ความคาดหวังจากฝั่งคนดูอย่างผู้เขียนพุ่งสูงขึ้นว่าเรื่องนี้จะหักมุมอย่างไร จะเฉลยความจริงไปทางไหน และจะหลอนสมคำร่ำลือหรือไม่ กระทั่งเมื่อก้าวเข้าไปสัมผัสจริงๆ แล้วก็ได้พบว่าตัวหนังได้พาเราเดินทางไปไกลเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้

และถ้าหนังสยองทั่วไปคือการทำให้ผู้ชมสะดุ้งด้วยเสียงกรี๊ดหรือจังหวะ Jump Scare แบบตรงไปตรงมา Weapons กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มันใช้ ความเงียบ และการสร้างบรรยากาศที่ค่อยๆ บีบหัวใจให้คนดูนั่งอึดอัดและรอคอยว่าความผิดปกติทั้งหลายนี้จะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ และเมื่อไม่มีฉากตุ้งแช่มากระแทกตรงๆ ความกลัวจึงยิ่งซึมลึกลงไปอย่างเย็นยะเยือก จนกลายเป็นความสยองที่ฝังหัวมากกว่าการสะดุ้งแค่เพียงชั่วขณะ

Weapons
Photograph: Weapons

Weapons พาคนดูดำดิ่งไปกับความหลอนและความกดดันที่ถาโถมใส่ตัวละครอย่างต่อเนื่อง ทุกฉากเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ทั้งความหวาดระแวง ความระทึก และความไม่แน่นอนที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศทางได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าจะถามว่าช่วงไหนคือไฮไลต์ที่สุดของหนัง สำหรับผู้เขียนคงต้องยกให้ องก์สุดท้าย ที่ปล่อยของกันแบบไม่ยั้ง ทั้งความบ้าคลั่ง ความตลกร้ายที่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว จนคนดูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือควรจะตกใจก่อนดี ความผสมผสานระหว่างความสยองกับอารมณ์ขันอันดำมืดนี่เองที่ทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เอาคนดูอยู่หมัด

และนี่คือเหตุผลที่อยากแนะนำให้ใครที่ยังไม่ได้ดู อย่าหาตัวอย่างหรือรีวิวไปเสพก่อน ไปนั่งในโรงแบบสมองโล่งๆ จะดีที่สุด เพราะเสน่ห์ของ Weapons อยู่ที่การพาคนดูไปรับรู้เรื่องราวแบบไม่ทันตั้งตัว หนังตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไม่ให้คุณรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป วิธีเล่าจึงเป็นการใช้ มุมมอง (POV) ของตัวละครหลักทั้ง 6 คน ที่ค่อยๆ เปิดเผยเหตุการณ์ทีละนิด หรือที่เรียกว่า ‘วิถีราโชมอน’ ที่ไม่เรียงตามลำดับเวลา แต่เล่าแยกตามประสบการณ์ของแต่ละตัวละคร ทำให้ผู้ชมต้องประติดต่อเรื่องราวเองเหมือนเป็นนักสืบที่กำลังไล่ล่าหาความจริง

การเล่าแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการภาพยนตร์ แต่ Weapons ทำให้มันน่าติดตามขึ้นด้วยการใส่เบาะแสเล็กๆ หยอดเป็นระยะ และบังคับให้คนดูต้องตีความร่วมไปกับตัวละคร ทุกครั้งที่หนังพาคนดูไปสู่มุมมองใหม่ ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของเรื่องชัดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างปริศนาใหม่ให้เราต้องลุ้นกันอยู่ตลอดเวลา

**ต่อจากนี้จะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์**

Weapons
Photograph: Weapons

หนังเปิดเรื่องมาด้วยเสียงวอยซ์โอเวอร์ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่กำลังเล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมสุดประหลาดว่า 

‘นี่เป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นในเมืองของฉัน วันนี้ที่โรงเรียนก็เป็นวันพุธธรรมดาๆ เหมือนทุกวัน แต่มีบางอย่างผิดปกติ ทุกห้องเรียนมีเด็กนักเรียนครบหมด ยกเว้นห้องครูแกนดี้ที่ไม่มีเด็กเหลือเลยสักคน..’

‘เพราะว่าคืนก่อนหน้านั้น.. เวลาตีสองสิบเจ็ดนาที 

เด็กทุกคนตื่นขึ้นมา ลุกออกจากเตียง เดินลงไปข้างล่าง วิ่งเข้าไปสู่ความมืด และพวกเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย.. นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด’

สิ่งที่น่าสนใจคือตัวหนังเลือกใช้ ‘เสียง’ เป็นอาวุธตั้งแต่หมัดแรก ทำให้ผู้ชมถูกดึงให้ตั้งคำถามทันทีว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นเฉพาะในห้องครูแกนดี้? และเมื่อตัวบทเปิดขึ้นมาพร้อมเสียงเล่าที่เรียบนิ่ง เย็นยะเยือก มันยิ่งทำให้เรายิ่งรู้สึกหลอนขึ้นไปอีกขั้นเพราะเหมือนว่ากำลังฟังเหตุการณ์จริงจากปากของหนึ่งในเด็ก 17 คนที่หายตัวไป

ประเด็นการล่าแม่มดที่ไม่เคยหายไป

Weapons
Photograph: Weapons

หนึ่งในประเด็นที่ Weapons สอดแทรกไว้อย่างแยบยลคือ การล่าแม่มดในสังคม ซึ่งสะท้อนผ่านตัวละคร ครูแกนดี้ได้อย่างเจ็บแสบ ตั้งแต่ฉากการประชุมในโรงเรียนช่วงต้นเรื่อง เราจะเห็นเธอกลายเป็นเป้าโจมตีของผู้ปกครองและชุมชนทันที ทั้งที่เธอก็เป็นครูที่ห่วงใยเด็กไม่ต่างจากใคร แต่เพียงเพราะเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในห้องของเธอ ทุกสายตาจึงหันมาจับผิดและกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล

สิ่งที่น่าสนใจคือหนังไม่ได้เล่าแค่ ‘การถูกกล่าวหา’ แต่ยังสะท้อนให้เห็นกระบวนการที่สังคมมักจะทำงานแบบหาคนผิดก่อนหาความจริง ความผิดปกติที่ยังหาคำตอบไม่ได้กลับกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ชุมชนเลือกใครสักคนมาตราหน้า เพื่อระบายความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนของตัวเองออกไป เหมือนการล่าแม่มดในประวัติศาสตร์ที่ใครก็ตามที่แตกต่าง มักถูกผลักให้กลายเป็นแพะรับบาป

ฉากนี้จึงไม่ได้สะท้อนเพียงความตึงเครียดในโรงเรียน แต่ยังขยายความไปถึงภาพใหญ่ของสังคมร่วมสมัย ที่เรายังคงเห็นรูปแบบ การรุมด่า การกล่าวหา การสรุปผิดถูก โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานมารองรับ

อาวุธที่มองไม่เห็น

Weapons
Photograph: Weapons

ครึ่งหลังของ Weapons คือจุดที่หนังเริ่มเปิดเผยความจริงของการหายตัวไปของเด็กทั้ง 17 คน ที่ไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญ แต่โยงตรงไปที่ ‘อเล็กซ์’ เด็กชายเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ และ ‘ป้าแกลดีส’ พี่สาวของแม่อเล็กซ์ ผู้ใช้หลานชายเป็นเครื่องมือหลอกล่อมาทำพิธีกรรมคุณไสย ดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดไว้กับตัวเอง

รายละเอียดเล็กๆ ที่หนังใส่ไว้ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับผู้ชม ป้าแกลดีสปรากฏตัวครั้งแรกในสภาพซูบผอมเหมือนคนป่วยใกล้ตาย แต่หลังจากเริ่มพิธีกรรม เธอกลับฟื้นคืนพลัง แข็งแรง และเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้ตอกย้ำการตีความว่าเธอคือ แม่มด ที่ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนาน และเมื่อเชื่อมโยงกับบทสนทนาของพ่ออเล็กซ์ที่บอกว่าไม่ได้เจอเธอมานานกว่า 15 ปี ก็ยิ่งทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ว่า ป้าแกลดีสที่เราเห็นอาจไม่ใช่ป้าตัวจริง แต่เป็นใครบางคนหรือ บางสิ่ง ที่เข้ามาสวมรอยแทน

ตรงนี้เองที่หนังพาเรากลับเข้าสู่แกนหลักของชื่อเรื่อง Weapons ในความหมายที่กว้างกว่าอาวุธ เพราะป้าแกลดีสไม่ได้ถือปืนหรือมีด แต่เธอใช้การครอบงำจิตใจ และพิธีกรรมลี้ลับ มา weaponize เด็กทั้ง 17 คนให้กลายเป็น ‘อาวุธ’ โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว จุดไคลแม็กซ์ของหนังจึงน่ากลัวที่สุด เพราะมันทำให้คนดูตระหนักว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดอาจไม่ใช่ของมีคม แต่คือการชักจูง ความเชื่อ และการครอบงำทางความคิด ซึ่งในแง่นี้หนังยังสะท้อนกลับไปสู่สังคมจริง ที่การบงการผ่านศรัทธาหรืออุดมการณ์มีความทรงพลังและสามารถทำลายชีวิตผู้คนได้มากกว่าสงครามเสียอีก

คุณไสยมนต์ดำ ความเชื่อข้ามซีกโลกที่มีอยู่ในทุกสังคม

Weapons
Photograph: Weapons

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Weapons แตกต่างจากหนังสยองทั่วไป คือการสอดแทรกเรื่อง คุณไสยหรือมนต์ดำ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ปรากฏอยู่แทบทุกสังคม ไม่ว่าจะโลกตะวันตกหรือตะวันออก สิ่งที่ป้าแกลดีสทำคือการใช้ Voodoo-Doll หรือ Dark Witchcraft เพื่อสะกดและควบคุมผู้อื่นผ่านพิธีกรรม จุดนี้ทำให้เรานึกถึง การเล่นของในสังคมไทย การลงของ เล่นคุณไสย หรือพิธีบูชายัญ ที่ปรากฏบ่อยครั้ง ยกตัวอย่างหนังไทยอย่าง ร่างทรง (2021) หรือ บ้านเช่าบูชายัญ (2023) ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น

แต่สิ่งที่ Weapons ทำให้มันน่าขนลุกคือการนำเสนอในสไตล์แบบอเมริกัน และเชื่อมโยงเข้ากับสัญลักษณ์ร่วมสมัย ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมโบราณ แต่เป็นความเชื่อที่ยังดำรงอยู่ และสามารถ weaponize เพื่อครอบงำคนอื่นได้ ความคล้ายที่น่าขนลุกก็คือไม่ว่าคุณจะอยู่ซีกโลกไหน มนุษย์ต่างก็สร้างเครื่องมือทางความเชื่อขึ้นมาเพื่อควบคุมกันเองได้เสมอ

Weapons
Photograph: Weapons

ทฤษฎีตัวเลข 2:17 และสัญญะปืนไรเฟิ้ลลอยฟ้า

ในหนังตัวเลข 02:17 คือช่วงเวลาที่เด็กทั้ง 17 หายไป และตัวเลขนี้หลายคนก็บอกว่ามันมีนัยยะสำคัญที่ชวนให้เราตีความกันในหลายประเด็น บ้างก็ว่ามันคือตัวเลขของเด็ก 17 คนที่หายไป ส่วนเลข 2 หมายถึงสองคนที่ยังเหลืออยู่ นั่นคือครูแกนดี้กับอเล็กซ์ 

ส่วนทฤษฎีปืนไรเฟิ้ลที่ปรากฏในฝันของอาเชอร์ พร้อมเลข 2:17 ก็พาไปเชื่อมกับประเด็น Gun Violence ในสังคมอเมริกัน บาดแผลเรื้อรังที่อาจกำลังสะท้อนความจริงที่น่าขนลุก เมื่อครั้งหนึ่งรัฐสภาสหรัฐฯ เคยโหวตร่างกฎหมาย Assault Weapons Ban ด้วยคะแนน 217 เสียง แต่ไม่ผ่านวุฒิสภา ผลลัพธ์คือความรุนแรงจากอาวุธยังคงดำเนินต่อไป

แม้ว่าผู้กำกับ แซ็ก เคร็กเกอร์ จะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน เขายืนยันว่าชอบที่ปล่อยให้ผู้ชมได้ตีความเอง จะมองเป็นการเมืองหรือแค่ภาพที่หลอนที่อาเชอร์คิดไปเองก็ได้ และการที่เขาไม่ตีกรอบนี่แหละที่ทำให้ Weapons กลายเป็นหนังที่เปิดพื้นที่ให้ ทุกคนสร้างคำตอบของตัวเอง

ถอดรหัส Weapons = อาวุธ

Weapons
Photograph: Weapons

หากมองลึกลงไป คำว่า Weapons ในหนังไม่ได้หมายถึงอาวุธทางกายภาพอย่างปืนหรือมีด แต่คือการ weaponize สิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทั้งความเชื่อ พิธีกรรม และความคิดของผู้คน ป้าแกลดีสใช้เด็ก 17 คนเป็นอาวุธมนุษย์ ใช้พิธีกรรมเป็นเครื่องมือในการยืดอายุขัย และสุดท้ายเราก็พบว่า อาวุธที่แท้จริงก็คือเหล่าผู้คนที่ถูกครอบงำ 

ในเชิงนามธรรม Weapons ยังอาจหมายถึงทุกสิ่งที่สังคมใช้กดทับและทำร้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ศรัทธา อุดมการณ์ หรือแม้กระทั่งการตีตราคนผิดโดยไม่มีหลักฐาน ดังนั้น อาวุธใน Weapons จึงไม่ใช่เพียงของมีคม แต่คือ พลังทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ในความคิดมนุษย์

บทความล่าสุด
    การโฆษณา