[title]
สุดสัปดาห์ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา โรงแรมดุสิตธานีไม่ได้แค่มาเกาะกระแสสุขภาพ แต่กลับตีความใหม่ในแบบของตัวเองไปเลย
งานนี้ไม่ได้แค่ชวนทุกคนหนีจากความวุ่นวายของเมืองกรุง แต่จัดขึ้นเพื่อให้เราได้เดินช้าลง ไม่ต้องวิ่งตามจังหวะเร่งรีบของเมืองหลวง งานนี้จัดข้าง ๆ กับ ‘ปอด’ ของกรุงเทพฯ
โดยในงานมีหลายกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น วิ่งรับแสงตอนเช้าไปจนถึงการวาดด้วยทรายแมนดาลา กิจกรรมต่าง ๆ ถูกจัดขึ้นด้วยความใส่ใจอย่างจริง ๆ เป็นสุดสัปดาห์ที่เราได้หยุดพัก ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร กินแบบไม่ต้องคิดมาก และนิ่งสงบแบบไม่ต้องพยายาม

Staycation นี้เริ่มต้นกับการเข้าไปในห้องพัก ที่ไม่ได้ต้อนรับเราด้วยแค่ความหรูหราจนน่าอึดอัด อย่างเตียงขนาดคิงไซส์ หรือ Layout ห้องสุดหรู แต่สิ่งที่เตะตาและดึงดูดเราที่สุดคือวิวที่อยู่ตรงหน้า แม้เมืองทั้งเมืองจะทอดยาวไปไกลสุดสายตา แต่มันก็มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม พอได้อยู่ข้างบนนี้แล้วทุกอย่างกลับรู้สึกห่างไกลออกไป เงียบสงบลง แม้เมืองจะยังก้าวเดินต่อไปตามจังหวะของมัน แต่การได้อยู่ในที่แบบนี้กลับทำให้รู้สึกสงบ ทำให้รู้ว่าเราสามารถหายใจได้ทั่วท้อง โดยไม่ต้องวิ่งตามอะไรเลย

กิจกรรมแรก โยคะแบบวินยาสะกับอาจารย์ Syam เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากมาถึง
วิวบนชั้น 39 จากตรงนี้ เหมือนวุ่นวายทั้งเมืองนี้กลายเป็นแค่เสียงเบา ๆ ไปแล้ว และกลับอยู่ห่างออกไปเลย อาจารย์ Syam ไม่ได้แค่สอนตามหน้าที่ แต่เขาอยู่กับเราแบบจริง ๆ ทั้งเดินไปทั่วห้อง พูดหยอกเล่นบ้าง ปรับท่าให้บ้าง ถามไถ่ว่าโอเคไหม คอยเตือนให้เราหายใจอย่างถูกวิธี พร้อมกับท่าโยคะที่สอนก็ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน แต่เน้นไปที่การปล่อยวาง ทั้งกล้ามเนื้อตัว และหัวใจเราเอง เหมือนกับได้ปล่อยวางสิ่งที่เราได้แบกตลอดมาทั้งปี ให้เราได้ผ่อนคลายแบบจริง ๆ สักที หลักจากได้คลายกล้ามเนื้อแล้ว เราก็ได้พักกลางวันด้วยมื้ออาหารที่ถูกปรุงขึ้นมาด้วยความใส่ใจแบบจริง ๆ เป็นอาหารที่ใส่ใจสุขภาพ แต่ไม่ได้ทิ้งรสชาติไหนไปเลย เป็นการเติมพลังก่อนกิจกรรมช่วงบ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ ๆ

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงเสียเหงื่อ เพราะเทรนเนอร์คนดังอย่างคุณ Mickey Nol Allpach ได้พาพวกเราไปออกกำลังกายต่อกับ Full-body workout ที่ทำเอาขาสั่น เรียกได้ว่าโดนทุกกล้ามเนื้อทุกมัด หลังจากนั้นเขาก็สาธิตการทำ Energy Drink ไว้ดื่มหลังออกกำลังกาย เอาไว้ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและคลายความโหย และแม้ว่าจะปวดตัว แต่ไม่เหนื่อยเลยจริง ๆ

พระอาทิตย์ใกล้จะตกเต็มที เราก็เปลี่ยนจากกิจกรรมเอเนอร์จีหนัก ๆ มาสู่ความสงบจากข้างในด้วยเสียงบำบัดจาก Jaan Healing ที่พาเราดิ่งไปในความเงียบสงบที่เราไม่รู้มาก่อนว่ามันเงียบได้ขนาดนี้ เพราะเราชินกับเสียงและความวุ่นวายของเมืองกรุงไปแล้ว นี่ไม่ใช่แค่คลาสธรรมดา แต่มันเป็นเหมือนปุ่มรีเซ็ตให้ตัวเองกลับไปสู่ความสงบแบบช้า ๆ เบา ๆ แล้วเราก็ปิดท้ายวันอย่างดีที่ห้องอาหาร Pavilion ด้วยเมนูอาหารไทยที่เราคุ้นเคย แต่ถูกนำเสนอในแบบใหม่ ละเมียดละไม ใส่ใจสุขภาพแบบไม่ต้องประดิษฐ์ ทุก ๆ จานเหมือนการเฉลิมฉลองรสชาติของอาหารท้องถิ่นของไทย ไม่ต้องยิ่งใหญ่มาก แต่รู้ว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เช้าถัดมาเราก็เริ่มต้นวันด้วยแสงแดดอ่อน ๆ และทางที่เปิดกว้างให้เราได้เริ่มต้นใหม่ เราเตรียมตัวออกวิ่งที่สวนสาธารณะลุมพิณี หรือหัวใจสีเขียวของกรุงเทพฯ ที่ยังเต้นเบา ๆ ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ก้าวทุกก้าวเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจว่า ‘Wellness’ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของวันนี้ แต่มันคือทุก ๆ วันของ 364 วันที่เหลือของเรา จากนั้นเราก็ได้เติมพลังกับไลน์บุฟเฟต์อาหารเช้าที่ถูกเตรียมไว้อย่างดีโดย Pavilion ที่มีตั้งแต่ Jamón Ibérico ไปจนถึงแซลมอนรมควันจากแอตแลนติกทุก ๆ คำเหมือนการเติมเต็มแบบมีรสนิยม

และในช่วงสายของวัน เราก็ได้ไปหยุดที่กิจกรรมที่ลึกซึ้งถึงก้นบึ้งของหัวใจกับการสร้างศิลปะไปกับ Sand Mandala ครั้งแรกของดุสิตธานี ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์หรือเทคนิค ไม่ต้องมีพรสวรรค์อะไรเลย สิ่งที่เราพกมาเข้ากิจกรรมนี้มีแค่ ‘ตัวเอง’ กับเม็ดทรายตรงหน้า ทรายทุกเม็ดที่ค่อย ๆ ถูกขูดลงไป กลายเป็นภาพสะท้อนของชีวิต ว่าจริง ๆ แล้วชีวิตเรามันไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปทั้งนั้น และไม่ใช่ทุกอย่างที่เราควรจะแบกไว้ ชีวิตมันคือการปล่อยวาง ปล่อยมันไปอย่างที่ ‘เป็น’ ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและคำจำกัดความต่าง ๆ นี่คือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้เราได้คิด หายใจ และปล่อยให้บางอย่างไหลไปตามสายลม

สุดสัปดาห์นี้จบลงด้วยความรู้สึกที่ตัวเราเบาขึ้น ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นใจเราด้วย หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เราได้แต่วิ่งตามจังหวะของชีวิตอย่างไม่หยุดหย่อน วิ่งตามแบบแผนของสังคมที่ถูกวางไว้ สองวันนี้เป็นช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่ให้พื้นที่เราได้หยุดวิ่ง ให้เราได้เดินช้า ๆ ได้รู้สึกว่าเรากลับมา ‘เติมเต็ม’ อีกครั้ง นับว่าเป็นอะไรที่หาได้ยาก ในเมืองที่ทุกอย่างก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา
Global Wellness Day อาจเป็นเหตุผลที่เรามาที่นี่ แต่สิ่งที่ยังอยู่กับเราหลังจากนั้นคือความสงบ โอกาสเล็ก ๆ ที่ให้เราหลุดออกไปจากวงโคจรที่เสียงดังวุ่นวายนี้ โดยไม่ต้องไปไหนไกล ดุสิตธานีไม่ได้พยายามเปลี่ยนอะไรมากมาย แค่ให้พื้นที่เราได้หยุดพัก ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง และเมื่อเราได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่า ปีหน้า Well-Fest จะกลับมาอีกในรูปแบบไหน และเราจะไปถึงที่นั่น ในแบบไหน