เป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง
Tanisorn Vongsoontorn / Time Out Bangkok

เป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง: ความสำเร็จสูตรไม่ลับที่มีความพยายามและความอดทนเป็นวัตถุดิบหลัก

คุยกับแชมป์มาสเตอร์เชฟคนล่าสุดของประเทศไทยที่พิสูจน์ตัวเองด้วยความพยายามอดทน และการพัฒนาตัวเองแบบไม่หยุด

Suriyan Panomai
เขียนโดย
Suriyan Panomai
การโฆษณา

‘สวย-รวย-เก่ง’ ถ้าให้นึกถึงผู้หญิงสักคนที่มีคุณสมบัติทั้ง 3 อย่างนี้และพ่วงด้วยฝีมือการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา เราเชื่อว่า ‘เป่าเป้-เจสสิก้า หวัง’ น่าจะเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกออกในตอนนี้ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นแฟนรายการมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 เป่าเป้เป็นที่รู้จักครั้งแรกในการแข่งขันมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ซีซัน 3 ตอนนั้นเธอไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันที่เก่งที่สุดมาตั้งแต่ต้น แต่ก็มีพัฒนาการที่ดีมาตลอด จนเกือบได้เป็น 3 คนสุดท้ายของซีซัน มาปีนี้เราได้เห็นเธอกลับมาสู่มาสเตอร์เชฟคิตเชนอีกครั้งในรายการมาสเตอร์เชฟ ออลสตาร์ ไทยแลนด์ ซีซันที่รวมหัวกะทิจากซีซันก่อนหน้ามาประชันฝีมือกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เธอทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นแชมป์คนล่าสุดของรายการที่ใครๆ ก็บอกว่า ‘สมมง’

เป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง
เป่าเป้ - เจสสิก้า หวังTanisorn Vongsoontorn / Time Out Bangkok

เป่าเป้เกิดและโตที่ไทยแต่คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนไต้หวันที่มาทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในไทย เธอเรียนที่ไทยจนถึง ป.6 แล้วย้ายไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ทำให้เธอสามารถพูดได้ทั้งไทย จีน และอังกฤษ จากนั้นก็ไปศึกษาต่อด้านการบริหารโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ตามความสนใจในวัยเด็ก และมีโอกาสได้สัมผัสกับการทำงานด้านอาหารและเครื่องดื่มจนเกิดความสนใจถึงขั้นไปเรียนทำอาหารฝรั่งและขนมหวานที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ และกลับมาเรียนทำอาหารไทยต่ออีก 1 ปี

“อยากพิสูจน์กับคุณพ่อคุณแม่ว่าสิ่งที่ท่านลงทุนไป เราเอามาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มันไม่เสียเปล่า” คือเหตุผลที่เป่าเป้ตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันในรายการทั้ง 2 ซีซัน ซึ่งจะว่าไปก็เหมือนกับการเลือกเดินบนเส้นทางที่ไม่ได้สวยงามและง่ายเท่าอีกทางที่เธอสามารถเลือกได้-แต่ไม่เลือก

เป่าเป้ ในวัย 26 กับตำแหน่งแชมป์มาสเตอร์เชฟ ออลสตาร์ ไทยแลนด์ ยังมีเรื่องให้เราทำความรู้จักอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองการใช้ชีวิต ทัศนคติในการทำงาน เป้าหมายสูงสุด ไปจนถึงตัวตนจริงๆ ที่ไม่ค่อยเหมือนกับภาพลักษณ์ที่คนมอง ทั้งหมดนี้เราขอเล่าให้ฟังผ่านบทสัมภาษณ์นี้

เป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง
เป่าเป้ - เจสสิก้า หวังTanisorn Vongsoontorn / Time Out Bangkok

หลังจบมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ซีซัน 3 ไปทำอะไรมาบ้าง?

“ซีซัน 3 ที่พลาดไปรู้สึกเซ็งและเสียดายมาก แต่มันก็ทำให้ความรักในการทำอาหารชัดเจนขึ้น ก็มีไปทำ Chef’s Table บ้าง แล้วก็เริ่มทำแบรนด์ขนมเค้กของตัวเอง รวมถึงได้ไปศึกษาเพิ่มเติมในสิ่งที่เราไม่ถนัด พอทีมงานรายการติดต่อไปว่าจะมีการแข่งขันออลสตาร์ก็ยิ่งทำการบ้านหนักเลย สิ่งที่เราไม่ถนัด สิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่กล้า ก็ไปเรียนรู้มาหมดเลย”

ก่อนมาแข่งขันทั้ง 2 ซีซัน เตรียมตัวยังไงบ้าง?

“จริงๆ ก่อนแข่งซีซัน 3  ไม่ได้เตรียมตัวเลย เพราะหลังจากเรียนอาหารไทยจบก็หยุดไปช่วยงานที่บ้านประมาณ 1 ปี ก็ห่างจากการทำอาหารไปพักหนึ่งเลย พอเข้าไปลึกๆ ถึงได้เริ่มฝึกฝน แต่ก่อนจะมาแข่งออลสตาร์สิ่งแรกที่ทำก็คือเดาโจทย์ แล้วทำการบ้านว่าถ้าโจทย์นี้มาเราจะทำอะไรและที่สำคัญคือกลับไปดูเทปซีซัน 3 ของตัวเอง เพราะเราคิดว่าถ้าอยากพัฒนาตัวเอง สเต็ปแรกคือการย้อนกลับไปดูข้อผิดพลาดของตัวเองก่อน”

ตอนแข่งกดดันจนร้องไห้ ทำไมตำแหน่งแชมป์ถึงสำคัญขนาดนั้น?

“การแข่งขันกดดันมากอยู่แล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่การทำอาหาร มันมีเรื่องชื่อเสียง เรื่องสิ่งที่เราอยากพิสูจน์กับครอบครัว ตำแหน่งก็เลยสำคัญมากๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความภูมิใจที่เป้อยากมอบให้ครอบครัว เพราะเป้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาให้มา เป้ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ก็เลยกดดัน”

ทัศนคติในการทำงานเป็นยังไง?

“ต้องมีความอดทน ต้องมีความพยายาม แล้วก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด อย่าคิดว่าจบแล้ว พอแล้ว มันมีตั้งหลายคนในโลกนี้ที่ดีกว่าเราได้ตลอด เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ จนไม่มีใครสามารถมองข้ามเราได้แล้ว”

เป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง
เป่าเป้ - เจสสิก้า หวังTanisorn Vongsoontorn / Time Out Bangkok
“ต้นทุนไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินทุกอย่าง แต่มันคือความพยายามและความอดทนมากกว่า คุณอาจจะไม่ได้มีต้นทุนดีเท่าใคร แต่มีความพยายามความอดทนคุณก็ไปต่อได้ แต่ถ้าคุณมีต้นทุนสูงกว่าคนอื่น แล้วไม่มีความอดทนความพยายามคุณก็ไปไม่ถึง”

เป้าหมายสูงสุดในฐานะคนทำอาหาร?

“เป้คิดว่าเชฟหลายๆ คนก็จะมีเป้าหมายว่าอยากได้มิชลินสตาร์ อยากเป็นเซเลบริตีเชฟชื่อดัง แต่สำหรับเป้ เหตุผลที่เลือกเส้นทางการทำอาหาร เพราะเป้รู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่เราสามารถใช้มือของเราเอง ใช้ความสามารถของเราเอง ทำให้คนมีความสุขได้ ทำให้คนอิ่มได้ ทำให้คนใช้ชีวิตได้  ก็อยากจะคงคอนเซ็ปต์นี้ต่อไป เราไม่ต้องเป็นคนมีชื่อเสียง แต่เราจะเป็นคนที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาร้านเราเรื่อยๆ”

แล้วเป้าหมายในเรื่องอื่นล่ะ?

“อยากเป็นลูกที่ประสบความสำเร็จกว่าพ่อแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำตัวอย่างไว้ดีมากๆ ทั้งที่พื้นฐานเขาเริ่มต้นด้วยศูนย์ แต่เป้มีคุณพ่อกับุคณแม่คอยซัปพอร์ต เพราะฉะนั้น เป้มีพื้นฐานที่ดีกว่าก็เลยอยากทำให้ได้ดีกว่า เพื่อเป็นการตอบแทนเขาที่ดีที่สุด”

คิดจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้?

“การชนะมาสเตอร์เชฟเป็นความสำเร็จเล็กๆ ในชีวิต เป็นแค่อีกจุดเริ่มต้นหนึ่งที่เราต้องพิสูจน์ให้ตัวเองและคนรอบข้างรู้ว่าเราเหมาะสมกับมันจริงๆ หลังจากนี้ก็อยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง ตำแหน่งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เป้ทำให้ดีขึ้น ให้ลูกค้าที่มาทานอาหารที่ร้านประทับใจ นี่คือจุดมุ่งหมายต่อไปค่ะ”

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา