Sretsis sisters

คุยกับ 3 สาวพี่น้อง Sretsis

คล้ายเดือน พิมพ์ดาว และมทินา สุขะหุต เล่าทุกเรื่องตั้งแต่แฟชั่น ผ้าไหมไทย และพวกเธอรับมือกับพวกชอบก็อปกันอย่างไร

Top Koaysomboon
เขียนโดย
Top Koaysomboon
การโฆษณา

Sretsis เดินทางมาไกลจากวันที่พิมพ์ดาว สุขะหุต นักเรียนแฟชั่นจาก Parsons และคล้ายเดือน พี่สาว เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Sretsis ในปี 2004 "ตอนนั้นเหมือนเป็นช่วงที่เราเรียนรู้ และยังไม่มีประสบการณ์ในการทำแบรนด์เลย แต่ตอนนั้นเรามีอุดมการณ์สูง และมีแรงในการทำแบรนด์อย่างเต็มที่" พิมพ์ดาวกล่าว "เราพยายามค้นหาวิธีที่จะทำแบรนด์ของพวกเราเอง" ก่อนที่ มทินา น้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นจิลเวอรี่ดีไซเนอร์จะได้มาร่วมกับสองพี่สาว ก่อร่างสร้างอาณาจักร Sretsis ให้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นที่คนรู้จักอย่างกว้างขวาง และมีพนักงานมากกว่า 140 คนในปัจจุบัน 

 

ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้ Sretsis เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?

พิมพ์ดาว: Sretsis เป็นแบรนด์ที่มีความเป็นผู้หญิงมากๆ มีความแฟนตาซี  และมีกลิ่นอายความเป็นวินเทจมาโดยตลอด แต่เรายังคงมีความคลาสสิค และความเปรี้ยวซ่าไว้เหมือนเดิม  เพียงแต่เราดูหรูหราขึ้นตามตัวเราที่โตขึ้นด้วย ... การเดินทางของ Sretsis ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์แฟชั่นในเมืองไทย ซึ่งตอนแรกที่เราเริ่ม คนอาจจะมองว่าแบรนด์นี้คืออะไร เสื้อผ้าแบบนี้เราใส่ยังไง จะใส่ในโอกาสไหน แต่ตอนนี้คนเข้าใจและสนใจเรื่องความเป็นตัวของตัวเองที่มากขึ้น รวมไปถึงกระแสความหรูหรารูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องเป็นแบรนด์หรูหัวจรดเท้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ

 

12 ปีผ่านไป คุณต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้แบรนด์ตกยุค?

พิมพ์ดาว: เราอยากมองว่าผู้หญิงของ Sretsis คือผู้หญิงที่ไร้กาลเวลา เพราะคุณยังสามารถใส่เสื้อผ้าของเราที่ทำเมื่อสิบปีก่อนได้ เสื้อผ้าแต่ละชิ้นมันมีความพิเศษในตัวมันเอง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือการออกแบบ เราเชื่อว่าถ้าคนรูปร่างเหมือนเดิมแล้ว คุณสามารถใส่เสื้อผ้าตัวเดิมของเราไปนานเท่าที่คุณต้องการ

คล้ายเดือน: สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เพราะเราก็อยากได้ลูกค้าที่เด็กลงด้วย

 

 

Sretsis เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกๆ ที่พิมพ์ผ้าเองด้วย ทำไมการพิมพ์ผ้าจึงสำคัญกับแบรนด์?

พิมพ์ดาว: เรารู้สึกว่าการพิมพ์ผ้าเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาโดยตลอด ตอนที่ฝึกงานที่นิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็น Marc Jacob หรือ Anna Sui เอ๋ยได้เรียนรู้ว่าคุณสามารถสั่งผ้าพิมพ์ปริมาณมากจากเมืองจีนได้ ลายผ้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันสามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับคอลเลกชั่นแต่ละอันได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเล่าผ่านสี สไตล์ หรือแม้กระทั่งเนื้อผ้า ฉันไม่สามารถใช้ผ้าของคนอื่นได้ เพราะรู้สึกเหมือนอบคุ้กกี้จากส่วนผสมสำเร็จรูป ถ้าต้องการอะไรที่เป็นออริจินัล ก็ต้องทำเองแบบที่เราทำมาโดยตลอด

 

ปกติแล้วคอลเลกชั่นนึงจะพิมพ์เองประมาณกี่ลาย?  

พิมพ์ดาว: ทุกซีซั่นจะมีลายซิกเนเจอร์ 1 ลาย ซึ่งจะผสมผสานกับลูกไม้และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เราทำทั้งหมดเอง ไม่ว่าจะเป็นการการปัก ติดกระดุม และงานปักชุนต่างๆ  

 

มีศิลปินหรือดีไซเนอร์คนไหนที่อยากร่วมงานด้วยในอนาคตบ้างไหม? 

พิมพ์ดาว: ถ้าตอนนี้ก็น่าจะเป็น House of Hackney ซึ่งเริ่มต้นจากการทำวอลเปเปอร์ แต่ตอนนี้เขาได้ออกไลน์ชุดนอนเป็นของตัวเองด้วย 

 

 

แล้วคุณมาทำแบรนด์นี้ได้อย่างไร?

มทินา: ตอนปี 2003 ยังเรียนอยู่เลย แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเป็นคนติดพี่ ตอนกลับมาช่วงปิดซัมเมอร์ พี่ๆ ก็เริ่มทำงานกันพอดี พอเขาทำงาน เราก็ไปเที่ยวไม่ได้ เลยอยู่ช่วยงานจะได้อยู่ด้วยกัน ด้วยความที่เราเรียน Product Design ซึ่งเน้นไปทางเฟอร์นิเจอร์มากกว่า พอเห็นเขาทำเสื้อผ้ากัน เราก็คิดอยากจะทำเครื่องประดับแบบนี้ เหมือนเป็นการเล่นสนุกๆ มากกว่าว่าเราจะแต่งตัวกันยังไงเหมือนตอนเด็กๆ ก็เลยเริ่มประดิษฐ์ พอได้มาทำเครื่องประดับ ก็เลยรู้สึกว่านี่แหละคือที่สิ่งที่เราอยากทำเลยย้ายไปเรียนที่ Saint Martin แทน เครื่องประดับที่ทำกับ Sretsis ก็ดูว่าเขาทำอะไรกันที่จะส่งเสริมให้การแต่งตัวมันสนุกสนานมากขึ้น แต่ถ้าเป็นของแบรนด์ตัวเอง (Matina Amanita) ก็จะเป็นพวกเรื่องราวและความคิดเพ้อฝันของตัวเองมากกว่า

 

จริงๆ แล้วเครื่องประดับสำคัญขนาดไหน?

มทินา: สำหรับตัวเองแล้ว การใส่เครื่องประดับไม่ใช่การใส่เพื่อโชว์ใคร แต่มันเป็นการใส่เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจ เราจะซื้อให้ตัวเองหรือมอบให้คนที่เรารักก็ได้ ความจริงแล้วชอบเพชรพลอย เพราะมันเป็นอะไรที่ขุดมาจากใต้ดิน  และยิ่งกาลเวลาผ่านไปยิ่งหาได้ยาก เราจึงมีความสุขมากเวลาลูกค้าสั่งเครื่องประดับเป็นพิเศษ และบอกว่ามีเรื่องราวยังไง และเราก็ช่วยทำขึ้นมาจากเรื่องตรงนั้น

 

Sretsis ยังเปิดตลาดใหม่ที่ญี่ปุ่นด้วย การสร้าแบรนด์ที่นั้นยากไหม?

คล้ายเดือน: จริงๆ แล้วเราเคยคิดว่า ถ้าไปในตลาดเด็กเหมือนจะง่าย แต่พอได้ไปศึกษาประเทศนี้จริงๆ ลูกค้าช่วงอายุ 15-20 จะเป็นวัยที่แต่งตัวจัดมาก แต่เสื้อผ้าเราไปแล้วจะอยู่กลุ่มผู้หญิงญี่ปุ่นที่โตขึ้น ซึ่งเขาจะมีบุคลิกภาพอีกแบบที่่ค่อนข้างหัวโบราณกว่าคนไทย

พิมพ์ดาว: ภาพที่เราเห็นในนิตยสารกับในชีวิตจริงต่างกันเยอะอยู่ค่ะ

คล้ายเดือน: เราอยากจะทำให้ภาพชัดเจนมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น เราต้องคุยให้สื่อที่โน่นซึ่งก็ทำงานคล้ายๆ กับสื่อยุโรป

 

คุณพึ่งเปิดร้านที่อาโอยาม่าเมื่อ 2 ปีก่อน ทำไมถึงเลือกที่นี่?

คล้ายเดือน: เราวางตัวเองว่าเป็นแบรนด์นานาชาติที่ดูร่วมสมัย และอาโอยาม่าก็เหมาะกับสิ่งที่เราต้องการ เราไม่ได้มองว่า Sretsis เป็นแบรนด์แค่สำหรับลูกค้าเด็ก เพราะฉะนั้นเราไม่เคยมองว่าร้านจะต้องอยู่ชิบูย่าหรือฮาราจูกุ 

 

 

หลังจากก่อตั้งแบรนด์มา 14 ปี คุณคิดว่าคุณได้ทำอะไรให้กับวงการแฟชั่นไทยบ้าง? 

พิมพ์ดาว: เราได้สร้างมุมมองในการแต่งตัวของผู้หญิงขึ้นใหม่ เสื้อผ้าที่ดูสนุกสนานและมีความเป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นเสื้อผ้าสำหรับเด็กเท่านั้น เราสามารถแต่งตัวหวานแต่ดูดีไปพร้อมๆ กัน ผู้หญิงเป็นเพศที่เก่ง มีความหรูหรา พวกเรามีหลายมิติ และไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเฉพาะเวลามีงานหรือโอกาสสำคัญเท่านั้น เหมือนเราปล่อย "ไวรัสยูนิคอร์น" เลยล่ะ

 

คุณรับมือกับการถูกก๊อปปี้ยังไง? 

พิมพ์ดาว: เรามองว่าเป็นคำชมค่ะ ช่วงไหนที่เราขายดีมาก ก็จะรู้สึกว่าเราโดนก๊อปเยอะมาก

คล้ายเดือน: ตอนแรกๆ ก็เครียด ไม่รู้ว่าลูกค้าจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า เราก็พยายามจัดการตามกฏหมาย แต่ถึงจุดนึงเราก็รู้ว่าเราทำอะไรไม่ได้ ก็แค่ต้องพัฒนาต่อไป แล้วก็มองว่ามันคือคำชม

พิมพ์ดาว: สุดท้ายแล้วคนที่ใส่ชุดก๊อปก็หมายความว่าเขาชอบ Sretsis แต่อาจจะยังไม่สามารถซื้อได้ตอนนี้ ในอนาคตพอเขาโตขึ้นก็อาจจะเป็นลูกค้าเราจริงๆ ก็ได้

 

วางแผนจะออกแบรนด์ใหม่อีกไหม?

พิมพ์ดาว: เราพึ่งเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเด็กชื่อ Little Sister ไปเมื่อปีที่แล้ว เรายังมี Sincerely Yours ซึ่งเป็นแบรนด์เล้าจน์แวร์สำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่สามารถใส่ไปทำกิจกรรมเอ้าต์ดอร์ หรือจะใส่สวยๆ ในบ้านก็ได้ แต่ว่าสามารถใส่ได้ทั้งครอบครัวทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า แล้วก็มีเครื่องประดับสำหรับเด็กด้วย 

 

 

คิดว่าตัวเองตอนอายุ 70 จะเป็นอย่างไรบ้าง?

พิมพ์ดาว: อยากรักษาหุ่นให้เหมือนเดิม เพราะยังอยากแต่งตัวแบบนี้อยู่ เราไม่อยากจะอายุ 60 ปุ๊บจะต้องตัดผมสั้นแล้วตีโป่ง ใส่เครื่องเพชร แล้วก็เสื้อชุดผ้าไหมไทย เราจะ 70 ก็ได้ แต่อยากให้อยู่กับความเป็นปัจจุบันอยู่

 

ตอนนี้มีน้อง 2 คนแล้ว คุณคิดว่าตอน 70 จะเป็นคุณยายที่ชิคอยู่ไหม? 

คล้ายเดือน: ก็คงอยากใส่เสื้อผ้าเหมือนเดิม ยังอยากโตไปเป็นเราเหมือนเดิม แต่เป็นอะไรที่เหมาะกับเราในวัยนั้น 

 

แล้วจะใส่เครื่องประดับเยอะเหมือนเดิมไหม?

พิมพ์ดาว: มทินาพึ่งดูสารคดีของ Iris Apfel และคิดว่ายังใส่ได้เยอะกว่าเดิมอีก

มทินา: ฉันคิดว่าไอริสสวยที่สุดก็ตอนนี้นี่แหละ ตอนเธอยังสาว สไตล์จองเธอยังไม่พัฒนาเท่าไหร่ ฉันตื่นเต้นที่จะได้โตขึ้นและไม่สนใจกับเรื่องอะไรมากนัก ตอนนี้ฉันอายุ 30 ต้นๆ และยังคิดมากเรื่องลุคของตัวเอง แต่ตอน 70 ก็คงใส่อะไรที่อยากใส่แล้วล่ะ 

 

คุณคิดว่าผ้าไหมไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ทุกคน: มันสวยมาก

 

คุณคิดว่าหน่วยงานรัฐพยายามผลักดันให้เราใส่ผ้าไหมไทยในชีวิตประจำวันมากไปหรือเปล่า? 

พิมพ์ดาว: เราชอบผ้าไหมไทย แต่ต้องยอมรับว่ามันเหมาะกับแค่บางโอกาส เวลาเอาผ้าไหมมาตัดเป็นชุดสมัยใหม่ เป็นสตรีทแวร์ ยังไงมันก็ยังดูไม่ใช่ เพราะสไตล์ไม่เหมาะกับลักษณะผ้า ผ้าไหมไทยเหมาะกับชุดที่ดูสง่างามมากกว่า การสนับสนุนให้คนใส่ผ้าไหมไทยในโอกาสพิเศษจึงมีความสำคัญกว่า อย่างเวลาไปงานแต่งงานจะใส่ชุดไทยเต็มตัว คนส่วนใหญ่น้อยมากที่ใส่ไปนอกจากคนที่อายุ 50 ขึ้นไป

ถ้าพูดถึงผ้าไหมไทย จะนึกถึงเสื้อผ้ายุค 1960s แบบ Twiggy, Jackie O หรือ Audrey Hepburn ถ้าถามว่าอยากใส่ไหม ก็อยากใส่นะ เราอาจจะใส่กระโปรงผ้าไหมไทยกับสร้อยมุกและก็เสื้อยีนส์โอเวอร์ไซส์ อันนี้เป็นแอดติจูดของผู้หญิง Sretsis ว่าผสมผสานเสื้อผ้าได้หมดเพื่อให้เข้ากับตัวเองและเหมาะกับโอกาส แต่อย่าไปทำให้ผ้าไหมไทยกลายเป็นเสื้อผ้าแนวสตรีท หรืออะไรที่มันไม่ใช่ก็พอ

 

แปลและเรียบเรียง: Sopida Rodsom

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา