ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง ไม่ว่าจะเป็นการรวมญาติ งานมงคล หรือแม้แต่งานเลี้ยงเล็กๆ ระหว่างเพื่อนๆ ‘สุรา’ มักเป็นหนึ่งในสิ่งที่เพิ่มรสชาติและความรื่นรมย์ในกับงานต่างๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เครื่องดื่มเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ถูกตีกรอบไว้ด้วยกฎหมายและข้อห้ามนานัปการ
ตั้งแต่การผลิตที่ผู้ประกอบการรายเล็กแทบไม่มีที่ยืน การจำหน่ายที่มีข้อกำหนดเข้มงวด ไปจนถึงเวลาที่อนุญาตให้ซื้อขาย และในหลายๆ ครั้งทำให้วงการสุราไทยเหมือนติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้เข้ามาสร้างสีสันในซีนนี้สักเท่าไหร่
ที่ผ่านมา เราจึงเห็นเพียงไม่กี่แบรนด์ใหญ่ที่ครองตลาดไทยมาอย่างยาวนาน ขณะที่ผู้ผลิตรายเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสุราคราฟต์หรือสุราท้องถิ่น ที่ต้องเจอกับข้อจำกัดมหาศาลในการเล่าเรื่องราวและการสร้างแบรนด์ของตัวเอง บางครั้ง การพูดถึงไวน์ไทยหรือคราฟต์เบียร์อาจดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้บริโภค แต่สำหรับผู้ผลิต มันคือการต่อสู้กับข้อกฎหมายที่มองไม่เห็นนานับ หลายปี
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวดีครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การปรับแก้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ลดข้อจำกัดในการสื่อสาร แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ผลิตรายเล็กได้มีสิทธิ์และเสียงมากขึ้น สามารถเล่าเรื่อง แบ่งปันตัวตน และเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และหนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ คุณมีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ผู้บริหารไร่องุ่น GranMonte แบรนด์ไวน์ไทยที่เติบโตจากความพยายามของครอบครัว จนกลายเป็นชื่อที่นักดื่มไวน์ทั้งในและต่างประเทศให้การยอมรับ คุณมีมี่ไม่เพียงแค่ดูแลธุรกิจครอบครัว แต่ยังลงแรงในเชิงนโยบายเพื่อผลักดันให้วงการสุราไทยมีพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่
วันนี้ Time Out ได้มีโอกาสนั่งคุยกับคุณมีมี่ถึงเรื่องราวเบื้องหลังการขับเคลื่อนกฎหมายใหม่ กับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมถึงวิสัยทัศน์ของเธอที่อยากเห็นวงการไวน์และสปิริตไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
จากงานอดิเรกของครอบครัว สู่ไวน์ไทยระดับประเทศ

เรื่องราวของ GranMonte เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 ในไร่องุ่นเล็กๆ ของครอบครัวโลหิตนาวีที่เขาใหญ่ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเพียงงานอดิเรก กลับกลายเป็นก้าวแรกของการสร้างชื่อเสียงให้กับวงการไวน์ไทยในวันนี้ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นก็คือ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ ทายาทรุ่นที่สอง ที่ไม่ได้คิดว่าธุรกิจไวน์ในประเทศไทยจะมาไกลได้ขนาดนี้
แต่สองทศวรรษผ่านไป ภาพที่เคยเป็นเพียงความพยายามเล็กๆ กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในมุมของผู้บริโภคในยุคที่เปลี่ยนผ่าน หลายคนต่างอยากลอง อยากดื่ม และที่สำคัญคือเริ่มเข้าใจไวน์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น เมื่อได้ยินอย่างนั้น GranMonte จึงปักธงอย่างชัดเจนเลยว่าแบรนด์ของพวกเขาจะเป็น ไวน์ไทยแท้ 100% ตั้งแต่ไร่จนถึงแก้ว
‘การเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดคือคนไทยยอมรับไวน์ท้องถิ่นแล้ว มันไม่ใช่ของแปลกอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่หลายคนอยากมีไว้บนโต๊ะอาหาร’
มีมี่เน้นย้ำกับเรา ไม่เพียงแค่รสนิยมที่เปลี่ยนไปแต่แนวคิดของผู้บริโภคก็โตขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันคำว่า ‘ความยั่งยืน’ และ ‘การสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น’ ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ GranMonte ยึดถือมาโดยตลอด
ไวน์ของที่นี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการค้าขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยากเป็นตัวกลางสื่อสารและให้ความรู้แก่นักดื่มทุกคน ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกองุ่นในไร่ ไปจนถึงกระบวนการบ่มไวน์ เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างวัฒนธรรมการดื่มไวน์ในแบบของไทยอย่างแท้จริง
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาบทบาทของไวน์ไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยถูกมองว่าเป็นของหรูหราสำหรับโอกาสพิเศษ กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น มีมี่อธิบายต่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการให้ความรู้และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกคน
‘พวกเราใช้เวลาหลายปีในการอธิบายว่า ไวน์ไทยไม่ใช่ของแปลกใหม่ที่เอาไว้ดื่มเล่นๆ แต่มันคือคราฟต์ มันมีเทอร์รัวร์ มีคาแรกเตอร์ และมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง’
และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แน่นอนว่าจะทำให้ GranMonte มีพื้นที่ในการจะเล่าเรื่องนั้นได้อย่างอิสระมากขึ้น
การฝ่าฟันด้านกฎหมายสุรา

มีมี่เล่าอย่างจริงจังว่า ก่อนปี 2563 ผู้ผลิตสุรารายเล็กในไทยต้องประกอบอาชีพที่เราไม่สามารถเปิดเผยหรือพูดถึงสินค้าได้โดยตรง เพราะจะพูดมากไปก็เสี่ยงเดือดร้อน จะโพสต์ขวดไวน์หรือขวดสุราลงไอจี ก็ยังกลายเป็นเรื่องน่าหวาดเสียว ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ ดันใช้ช่องโหว่ในการทำการตลาดได้แบบเนียนๆ ผ่านแคมเปญ CSR หรือการเล่นกับแบรนด์ดิ้ง
จนกระทั่งมาถึงกระแสการปฏิรูปที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างจริงจังในปี 2564 ซึ่งนี่ไม่ถือเป็นการแข่งขันวิ่งในระยะสั้น แต่มันคือ ‘มาราธอน’ ที่เต็มไปด้วยการประชุม การถกเถียง และการแก้ร่างกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าที่สภาผู้แทนราษฎรจะไฟเขียวโหวตอนุมัติหลักการ ก่อนจะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาจนท้ายที่สุดลงมติผ่านมาจนได้
‘หลังจากทั้งหมดนั้น กฎหมายก็ผ่านทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เหลือแค่รอพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจาฯ ซึ่งถึงแม้จะยังไม่รู้วันแน่ชัด แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ผ่าน’
เมื่อประกาศในราชกิจจาฯ แล้ว กฎหมายจะมีผลภายใน 100 วัน หมายความว่าอย่างช้าสุดปลายปีนี้จะเริ่มใช้จริง และคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์ก็จะเริ่มร่างกฎหมายลูกตามมา
แล้วอะไรที่เปลี่ยนไปจริงๆ สำหรับร่างกฎหมายใหม่นี้?
มีมี่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายที่จะเกิดขึ้นว่า หัวใจของการปฏิรูปคือการให้ ‘เสียง’ แก่ผู้ผลิตรายเล็ก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มาตรา 32 จากเดิมที่เขียนว่า ‘ห้ามผู้ใดโฆษณา’ ซึ่งตีความคำว่าโฆษณาไม่ได้เลย แต่กฎหมายใหม่แยกเป็นหลายข้อย่อย ตั้งแต่ มาตรา 32/1 ที่กำหนดว่าผู้ประกอบการสามารถโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือให้ความรู้ได้ โดยต้องอยู่ในกรอบที่กฎหมายลูกกำหนด ไปจนถึง มาตรา 32/2 เป็นเรื่องของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีชื่อเสียงที่รับผลประโยชน์ทางการค้า ห้ามใช้ชื่อเสียงหรืออิทธิพลเพื่อชักชวนให้คนอื่นดื่ม ซึ่งเป็นการปิดช่องโหว่ที่บริษัทเคยใช้จ้าง อินฟลูฯ ให้ทำคอนเทนต์แนวชวนดื่ม ส่วนประชาชนทั่วไปหากโพสต์รูปดื่มหรือแสดงความชอบในช่องทางส่วนตัว ไม่ได้รับผลประโยชน์ทางการค้า อันนี้ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ อีกประเด็นคือ CSR และการสปอนเซอร์ก็มีความชัดเจนขึ้น ผู้ผลิตสามารถสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้ แต่ห้ามใช้โลโก้เพื่อการโฆษณาแฝง เช่น เป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลแล้วติดโลโก้เบียร์บนเสื้อ กฎหมายใหม่ห้ามชัดเจน เพราะถือว่าเป็นการโฆษณาแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้ห้าม CSR โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ต้องไม่ทำให้กลายเป็นการโปรโมตแบรนด์โดยตรง
‘ในที่สุด ผู้ผลิตรายเล็กก็สามารถพูดคุยกับผู้บริโภคได้โดยตรง โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป มันคือชัยชนะครั้งใหญ่จริงๆ’
และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของโพสต์บนอินสตาแกรมหรือแบนเนอร์โฆษณา แต่กฎหมายใหม่นี้มีผลกระทบกับทุกมิติของตลาดแอลกอฮอล์ สิ่งที่เปิดกว้างขึ้นคือ พื้นที่สำหรับการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตรายเล็กเฝ้ารอมาโดยตลอด
แล้วผู้บริโภคทั่วไปจะได้อะไร?
สำหรับคนทั่วไป กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนั้น แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ อย่างเช่นการโพสต์รูปไวน์ลงโซเชียล ตอนนี้ทำได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวที่เบื่อกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วง 14.00–17.00 น. หรือวันพระใหญ่ วันสำคัญทางศาสนา ก็จะได้เห็นความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงแรมและสถานที่ที่มีใบอนุญาตถูกต้อง
สำหรับผู้ผลิตรายเล็กกฎหมายใหม่ยังช่วยให้มีความชัดเจนเรื่องการขายอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การตรวจบัตรประชาชน หรือการปฏิเสธไม่ขายให้กับลูกค้าที่มีท่าทีเมาเกินพอดี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่กฎหมายข้อบังคับบนกระดาษ แต่มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ผู้ผลิตสามารถพูดกับสังคมได้ว่า ‘พวกเราขายอย่างมีความรับผิดชอบ และเราควบคุมสถานการณ์ได้’
‘กฎหมายนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเชิญชวนให้คนเมาหนักขึ้น แต่มันคือการเปิดโอกาสให้คนได้เลือกอย่างมีข้อมูล’
นักท่องเที่ยวเองก็จะได้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สร้างความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอินโรงแรมในค่ำคืนอันยาวนาน แล้วสามารถหยิบไวน์หรือเบียร์ท้องถิ่นจากล็อบบี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อห้ามที่ซับซ้อน หรือการเข้าร่วมงานเฟสติวัล เทศกาลท้องถิ่นที่มีผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาสนับสนุน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบ เงินทุนเหล่านี้ก็จะถูกนำไปช่วยขับเคลื่อนดนตรีสด เวิร์กช็อป และกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน แทนที่จะเป็นเพียงโลโก้ที่ปรากฏอยู่ตามมุมต่างๆ ของงานเพียงเท่านั้น
ซอฟต์พาวเวอร์ ไทยสไตล์

มีมี่ให้สัมภาษณ์ว่านี่คือ ซอฟต์พาวเวอร์ อีกรูปแบบหนึ่ง
‘มันไม่ใช่แค่การดื่มไวน์ แต่มันคือการดื่มด่ำเรื่องราว และตอนนี้เรามีโอกาสในการพูดถึงมันแล้ว’
แนวทางของ GranMonte คือการโฟกัสที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าใจงานคราฟต์จริงๆ แทนที่จะพึ่งพาการโฆษณาด้วยคนดัง การสื่อสารด้วยเรื่องราว ให้ความรู้ผู้บริโภค และแสดงบุคลิกของผลิตภัณฑ์ออกมา คือหัวใจหลักของแบรนด์
‘ไวน์ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่มันคือภูมิศาสตร์ เรื่องเล่า และความพยายามที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด และตอนนี้เราสามารถแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคนได้จริงๆ แล้ว’
ในยุคใหม่นี้ แบรนด์ยังมอบความมั่นใจให้ผู้ผลิตทดลองสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้าลิมิเต็ดเอดิชัน การผลิตสินค้าขวดเล็กแบบจำนวนจำกัด หรือการจับมือกับเชฟและช่างฝีมือท้องถิ่นอื่นๆ ทั้งหมดนี้กลายเป็นตัวเลือกทางการตลาดที่สามารถทำได้จริง
คุณภาพเหนือปริมาณ

การปฏิรูปกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะทางธุรกิจเท่านั้น แต่มันคือแรงผลักทางวัฒนธรรม ที่มีมี่เน้นย้ำกับเราว่า
‘เราไม่ได้ต้องการสร้างนักดื่มหน้าใหม่ เราต้องการให้คนหันมาดื่มอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่การดื่มในปริมาณมากขึ้น แต่เป็นการดื่มอย่างมีสุนทรียภาพ มีความสุขกับการได้เลือกสิ่งที่หลากหลายมากขึ้น’
เป้าหมายของการออกกฎหมายใหม่ในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกระตุ้นให้คนออกมาดื่มเพิ่มขึ้น แต่มันคือการสร้างวัฒนธรรมการดื่มที่มีความรับผิดชอบ ผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่อยู่ในแก้ว รู้แหล่งที่มา และตระหนักถึงผลกระทบของมัน
ชนแก้วให้กับการเปลี่ยนแปลง
กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตขนาดเล็กเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าของพวกเขาได้เฉิดฉาย ผู้บริโภคไม่ได้เพียงลิ้มรสเครื่องดื่ม แต่ยังได้สัมผัสเรื่องราว ความตั้งใจ และแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด
ร่างกฎหมายนี้เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ให้ซีนเครื่องดื่มของไทยเต็มไปด้วยความหลากหลาย สิ่งที่เราดื่มไม่ใช่แค่ไวน์หรือสุรา แต่คือเรื่องราว การสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมที่สามารถสื่อสารได้อย่างอิสระ เป็นสัญลักษณ์ของความกล้า การเปลี่ยนแปลง และโอกาสใหม่ๆ ที่ช่วยให้วงการเครื่องดื่มของไทยเติบโตควบคู่ไปกับผู้ดื่มที่เข้าใจและรับผิดชอบ
ส่วนกฎหมายลูกและข้อบังคับต่างๆ ที่จะตามมา ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะออกมาในรูปแบบใด มีรายละเอียดหรือเงื่อนไขอะไรให้ลุ้นกันอีกบ้าง รอติดตามไปพร้อมๆ กันได้เลย