Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

โจ คัมมิงส์ ชายผู้ปักหมุดประเทศไทยบนแผนที่การท่องเที่ยวระดับโลก

โจ คัมมิงส์ การคลี่เรื่องราว ชีวิต และการเดินทางของนักเขียน นักดนตรี นักแสดง และ ‘ไอคอนทางวัฒนธรรมโดยบังเอิญ’

Aydan Stuart
แปลโดย: Fitri Aelang
การโฆษณา

ก่อนจะมียุคออนไลน์ในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยติ๊กต็อก เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และแฮชแท็กสารพัด โลกของนักเดินทางในสมัยก่อนนั้นมีเพียงหนังสือเล่มเล็กปกสีน้ำเงินที่แบ็กแพ็กเกอร์ทุกคนต่างพกติดกระเป๋าไว้เสมอ แล้วใครกันที่เป็นผู้เขียนมันขึ้นมา หากไม่ใช่ชายหนุ่มผู้หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของสยามเมืองยิ้มอย่าง ‘โจ คัมมิงส์’ชายผู้จับปากกาเขียนไกด์บุ๊ก Lonely Planet Thailand เล่มแรก และเป็นผู้ที่หลงใหลในเมืองไทยแบบสุดหัวใจ ผู้พาคนทั้งยุคออกเดินทางไปรู้จักเสน่ห์ของอาณาจักรสยาม ตั้งแต่วัดที่งดงามที่สุด เมืองที่มีชีวิตชีวาไปจนถึงการนั่งตุ๊กตุ๊กที่ไม่มีวันลืม

ตัวผม ในฐานะนักเขียนที่บังเอิญมีหนังสือ Lonely Planet อยู่บ้าง จึงไม่พลาดโอกาสที่จะได้พูดคุยกับตำนานที่ยังมีลมหายใจคนนี้ ในพอดแคสต์ตอนล่าสุดของ Time Out Thailand เรานั่งคุยกันที่ สตูดิโอ Public House ซอยสุขุมวิท 31 และตามแผนที่วางไว้ เราเริ่มต้นสนทนาเป็นภาษาไทย ภาษาที่สองของเราทั้งคู่ ซึ่งกลายมาเป็นสื่อกลางในการคลี่เรื่องราว ชีวิต และการเดินทางของนักเขียน นักดนตรี นักแสดง และ ‘ไอคอนทางวัฒนธรรมโดยบังเอิญ’ คนนี้

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

‘จิตวิญญาณ’ เสียงเรียกแรกที่นำพาเขามาสู่แดนแห่งสยาม

เรื่องราวของคัมมิงส์เริ่มต้นไกลจากดินแดนอาคเนย์อันร้อนระอุ เขาเกิดที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา แต่เติบโตตามทุกพื้นที่ที่ผู้เป็นพ่อถูกส่งไปประจำการในฐานะนายทหาร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยมีบ้านเกิดอยู่ที่ใดเลย ‘พวกเราเปลี่ยนที่อยู่ทุกสองถึงสามปี’ โจย้อนเล่าถึงวัยเด็กที่เต็มไปด้วยการเดินทางของเขาและพ่อผู้รับใช้ชาติ

ดังนั้นการเดินทางจึงเหมือนอยู่ในสายเลือดของเขา และไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อกนกตัวนี้ได้บินออกจากรังตามเข็มทิศที่ชี้ตรงไปทางทิศตะวันออก เขาโผยบินลงที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างน่าหลงใหลและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่รอให้ถ่ายทอด

เขาเล่าว่า กรุงเทพฯ ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เป็นเมืองที่ ‘ช้ากว่า สงบกว่า และอากาศแย่ยิ่งกว่าทุกวันนี้เสียอีก’ เมืองที่ยังไม่มีทั้งรถไฟฟ้าและสะพานลอย มีเพียงรถเมล์ควันดำโขมง (ใช่เลย แบบเดียวกับที่เรายังเห็นอยู่ทุกวันนี้) กรุงเทพฯ ในวันนั้นทั้งโกลาหลและเปรี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ในเวลาเดียวกัน จนในที่สุดเขาก็ย้ายขึ้นเหนือสู่เชียงใหม่ เมืองที่เปิดประตูให้เขาได้พบกับความสงบ ความคิดสร้างสรรค์ และผู้คนที่กลายเป็นชุมชน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบ้านของเขายาวนานกว่าทศวรรษ

แต่ก่อนหน้าเขาจะริเริ่มคิดที่จะเขียนหนังสือไกด์ท่องเที่ยว สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของโจไปตลอดกาลคือหนังสือปกอ่อนเล่มหนึ่งที่เขาค้บพบบนชั้นหนังสือที่ฝุ่นเกาะเขลอะในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หนังสือปกอ่อนเล่มนั้นคือหนังสือรวมธรรมเทศนาของ อาจารย์พุทธทาสภิกขุ หนึ่งในพระมหาเถระที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของไทย ซึ่งคงเป็นของหายากไม่น้อยในฝั่งตะวันตกในเวลานั้น ราวกับว่าโชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้วให้เขาได้พบมัน

‘คำสอนของท่านลึกซึ้งและไม่เหมือนที่ใดในโลก’ โจเล่า สำหรับนักศึกษาชาวอเมริกันในยุค‘70s การหลงใหลในคำสอนของพระภิกษุไทยอาจดูเป็นเรื่องประหลาด แต่หนังสือเล่มนั้นได้ปลุกบางสิ่งในใจเขาบางสิ่งที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขาไปตลอดกาล

Joe Cummings
Photograph: Time Out

หลังเรียนจบ เขาเข้าร่วมหน่วยสันติภาพ (Peace Corps) ด้วยจุดหมายที่ชัดเจนคือประเทศไทย ผ่านบทบาทอาสาสมัครที่พาเขาเดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้ และที่นี่เอง เขาก็วางแผนจนได้พบกับอาจารย์พุทธทาสภิกขุด้วยตนเอง 

‘ผมพักอยู่กับท่านสามสัปดาห์ และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับอิทธิพลจากท่านมาตลอดชีวิต’ เขาเล่าอย่างละเมียดละไม

โชคชะตาอาจไม่ได้กำหนดให้เขาเป็นพระ แต่กลับทำให้เขากลายเป็น ‘สะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม’ ความสงบและความเข้าใจในพุทธศาสนาแบบไทยค่อยๆ หล่อหลอมวิธีคิดและวิธีเขียนของเขาเกี่ยวกับประเทศนี้ในเวลาต่อมา แต่สิ่งที่ฝังอยู่ในใจคัมมิงส์มากที่สุดกลับไม่ใช่เสียงสวดหรือการทำสมาธิ หากคือการตระหนักรู้ถึง ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของเขาเอง และถ้อยคำอันลึกซึ้งแทงทะลุจิตวิญญาณจากครูบาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพุทธธรรม

เขายังจำได้ดีถึงบทสนทนาหนึ่งระหว่างเดินในป่า ‘วันหนึ่งท่านถามผมว่า ‘ทำไมเธอถึงชอบเดินทาง?’ ผมตอบว่า เพราะอยากเรียนรู้ พบผู้คน ศึกษาวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม’ เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนเล่าต่อ แต่ท่านตอบว่า ‘ไม่ใช่หรอก... โยมชอบเดินทาง เพราะไม่ว่าโยมจะไปที่ไหน โยมไม่ต้องเป็นเจ้าของอะไรเลย’

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

ชีวิตที่ขีดเส้นด้วยกระเป๋าแบ็กแพ็กและสมุดบันทึก

ถ้อยคำจากอาจารย์พุทธทาสยังคงก้องอยู่ในใจ และกลายเป็นแนวทางสงบๆ ที่กำหนดเส้นทางชีวิตของเขาตลอดมา การเดินทางสำหรับคัมมิงส์จึงไม่ใช่เรื่องของการสะสมตราประทับในพาสปอร์ตอีกต่อไป แต่คือการ ‘ปล่อยวาง’ เพื่อเปิดใจรับทุกประสบการณ์อย่างแท้จริง

เฉกเช่นเดียวกับนักเดินทางผู้รักการค้นคว้าในยุคนั้น เขาเสาะหาข้อมูลจากทุกที่ที่พอจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้คน พระสงฆ์ ป้ายข้างทาง ไปจนถึงห้องสมุด วันหนึ่งเขาบังเอิญพบกับหนังสือ Lonely Planet ฉบับเมียนมาและศรีลังกายุคแรกๆ มันทำให้เขาหลงใหลในสำนวนการเขียนและประทับใจที่หนังสือเล่มนั้นช่วยให้เขาออกเดินทางได้ด้วยตัวเอง จนตัดสินใจเขียนจดหมายแอร์โอแกรมถึงผู้ก่อตั้ง โทนีและมอรีน วีลเลอร์ พร้อมความหวังลึกๆ ว่าจะได้รับคำตอบกลับ

แล้วอะไรคือสิ่งที่เขาพิชไป? ‘นักท่องเที่ยวที่มาไทยมีจำนวนมากกว่าเมียนมาและศรีลังการวมกัน ทำไมไม่ให้ผมเขียนไกด์บุ๊กสำหรับประเทศไทยล่ะ?’

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา จดหมายตอบกลับก็มาถึง วีลเลอร์สนใจสิ่งที่เขาพิชไปและตัวอย่างงานเขียนสองหน้าของเขาเกี่ยวกับเกาะสีชัง ก็เพียงพอจะทำให้เขาได้รับเงินล่วงหน้าเล็กน้อยและตั๋วเที่ยวเดียวสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่

คัมมิงส์เริ่มต้นเดินทางทั่วประเทศด้วยรถบัสเก่าๆ โคลงเคลงๆ นอนในวัด และเก็บทิปส์เด็ดๆ ระหว่างบทสนทนาจากนักดื่มในตลาดกลางคืน เขาค่อยๆ วาดแผนที่ประเทศไทยผ่านผู้คนและเรื่องราวที่ได้พบเจอ จนกลายเป็นหนังสือขนาดเพียง 128 หน้า ที่ต่อมากลายเป็น ‘คัมภีร์ของนักแบ็กแพ็กเกอร์’ และอาจกล่าวได้ว่า เป็น ‘พาสปอร์ต’ ที่พาโจ คัมมิงส์ เดินทางสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอันไม่รู้จบ

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า Lonely Planet 

ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี คัมมิงส์ยังคงเขียนให้กับ Lonely Planet อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในเสียงสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของนิตยสาร แต่เส้นทางอาชีพของเขาก็ค่อยๆ ขยายออกไปไกลกว่าหน้ากระดาษ

ใน พ.ศ. 2546 ปีเดียวกับที่เขาได้พบกับ แอนโทนี บอร์เดน เป็นครั้งแรก โจได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ฟังดูเหมือนเรื่องที่โดนแกล้ง เพื่อนคนไทยของเขาซึ่งทำงานเป็นฟิกเซอร์ ถูกติดต่อจากทีมโปรดิวเซอร์ของ A Bigger Bang สารคดีทัวร์รอบโลกของ The Rolling Stones เพื่อขอให้ช่วยจัดหาสถานที่ในกรุงเทพฯ สำหรับมิค แจ็กเกอร์ และสมาชิกวงไว้พักผ่อน กินดื่ม และสังสรรค์

‘เพื่อนผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า The Rolling Stones คือใคร’ โจหัวเราะ ‘เขาเลยโทรมาหาผม ผมก็บอกไปว่า ‘ได้สิ ฉันน่าจะช่วยได้นะ’

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา คัมมิงส์ก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งดื่มเบียร์สิงห์อยู่ริมถนนในเมืองหลวง กับหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ระหว่างนั้น ทัวร์ของวงในมุมไบถูกยกเลิกกะทันหัน ทำให้มิคตัดสินใจอยู่ต่อ และเดินทางต่อไปยังลาว กัมพูชา และอีกหลายเมือง ตามคำแนะนำของโจ

และดูเหมือนการเดินทางครั้งนั้นจะทิ้งร่องรอยไว้ในใจลึกกว่าที่ใครคาดคิด ว่ากันว่า หลังจากแฟนสาวของมิค แจ็กเกอร์ เสียชีวิต เขาได้กลับไปยังหลวงพระบาง และใช้เวลา 10 วันในวัดแห่งหนึ่งที่โจเคยแนะนำไว้เมื่อหลายปีก่อน ราวกับกำลังแสวงหาความสงบและการเยียวยาทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ต่างจากที่โจเคยทำเมื่อเริ่มต้นเส้นทางชีวิตของเขาเองหลายทศวรรษก่อนหน้า

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

‘เตียงนอนอันแสนสบาย’

กว่า 40 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย โจ คัมมิงส์ได้พิสูจน์ตัวเองทั้งในฐานะนักวิชาการและคนโลคอลตัวจริง ถ้าถามว่าเย็นวันศุกร์เขามักจะไปอยู่ที่ไหน คำตอบคงไม่ใช่ห้องสมุด หากแต่เป็นเก้าอี้ในบาร์โดยเฉพาะที่ We Didn’t Land on the Moon (Since 1987) บาร์ศิลปะสุดแสบจากเชียงใหม่ที่มีสาวกเหนียวแน่นในกรุงเทพฯ

ทุกวันนี้ เส้นทางอาชีพของโจได้ขยายไปแทบทุกแขนงของวงการครีเอทีฟ ตั้งแต่การแต่งเพลงให้ภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ การแสดงในหนังนับไม่ถ้วน ไปจนถึงการเขียนหนังสือที่ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ไปจนถึงจิตวิญญาณ นอกจากผลงานกับ Lonely Planet แล้ว คัมมิงส์ยังเป็นผู้เขียนหนังสือ Sacred Tattoos of Thailand: Exploring the Magic, Masters and Mystery of Sak Yant, หนังสือ Buddhist Stupas in Asia: The Shape of Perfection และหนังสือ Chiang Mai Style ซึ่งล้วนสะท้อนความหลงใหลในศิลปะและวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างถ่องแท้

บนจอภาพยนตร์ เขาได้ปรากฏตัวในผลงานอย่าง มอร์ริสัน (Morrison), แสงกระสือ, ถ้ำหลวง ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) และ นางนอน (The Cave) พร้อมทั้งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังในฐานะนักแต่งเพลงและที่ปรึกษาด้านครีเอทีฟให้ทั้งวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ เขาเคยพาแอนโทนี บอร์เดน ตะลุยทั่วประเทศไทยในรายการ Parts Unknown และยังเล่นกีตาร์ในวง Rolling Stones Cover Band อีกด้วย (ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็เห็นความแตกต่างที่ประชดประชันในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน)

ชายต่างชาติที่เข้าใจและถ่ายทอดหัวใจของแผ่นดินนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าคนไทยหลายคน เขาคือคนที่ใช้ชีวิตหลายบทบาท หลายเส้นทาง แต่ทั้งหมดนั้นหลอมรวมเป็นตัวตนเดียว - ตัวตนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หลงรักประเทศไทย...อย่างผมเอง

เมื่อบทสนทนาจบลง เสียงไมค์เริ่มสงบ ความเกร็งจางหาย ผมอดไม่ได้ที่จะหยอกเขาว่า “ตอนนี้คุณกลายเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งของประเทศไทยแล้วนะ”
เขาหัวเราะ ยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับมาทันทีว่า “งั้นผมคงเป็น...เตียงที่แสนสบายล่ะสิ”

ชายต่างชาติผู้เข้าใจและถ่ายทอดหัวใจของแผ่นดินนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าคนไทยหลายคน โจ คัมมิงส์คือผู้ชายที่ใช้ชีวิตผ่านหลากหลายบทบาทและเส้นทาง แต่ทั้งหมดนั้นกลับหลอมรวมเป็นตัวตนเดียวกันอย่างงดงาม ตัวตนที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครก็ตามที่หลงใหลในประเทศไทย...อย่างผมเอง

เมื่อบทสนทนาสิ้นสุด เสียงไมค์ค่อยๆ เงียบลง ความเกร็งที่เคยมีจางหายไป ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแหย่เขาเล่นว่า

‘ตอนนี้คุณกลายเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ประจำประเทศไทยไปแล้วนะ’

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนยิ้มกว้างตอบกลับมาทันทีว่า

‘งั้นผมก็คงเป็น...เตียงที่แสนสบายล่ะสิ’

สามารถฟังบทสัมภาษณ์เต็มได้ทาง YouTube ช่อง Time Out Thailand (พร้อมซับภาษาอังกฤษ และมีการแก้แกรมมาร์เล็กน้อย ก็แหงล่ะ ภาษาไทยเป็นภาษาที่สองของเราทั้งคู่) ที่นี่

เรื่องเด่น
    การโฆษณา