Kodo Bar
Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
Photograph: Tanisorn Vongsoontorn

อัปเดตบาร์เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ

คืนนี้ไปไหนดี?

Suriyan Panomai
การโฆษณา

ต้อนรับครึ่งปีหลังของปี 2566 ด้วยลิสต์บาร์ใหม่ที่เราว่าน่าสนใจและอยากแนะนำให้เป็นที่แฮงเอาต์ใหม่ๆ ของทุกคน ซึ่ง 8 บาร์ที่ว่านี้มีตั้งแต่บาร์ค็อกเทลที่จริงจังเรื่องการคราฟต์เครื่องดื่ม คอนเซ็ปต์ชัดๆ ไปจนถึงร้านบรรยากาศสบายๆ แวะไปนั่งชิลๆ ได้ทุกวัน ใครชอบสไตล์ไหนแท็กชวนเพื่อนแล้วตามไปเช็กอินได้เลย (หรือจะเก็บให้ครบทุกร้านในลิสต์นี้เลยก็ได้นะ)

  • ค็อกเทลบาร์
  • สุขุมวิท 24
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

บาร์ลำดับที่ 6 ของทีม Sugarray ที่ตั้งชื่อตามศัพท์มือกลองซึ่งหมายถึงการตีกลองสแนร์ให้โดนขอบพร้อมกับหน้ากลองเพื่อเพิ่มความหนักแน่นของเสียง บอกมาแบบนี้เชื่อว่าหลายคนคงพอเดาสไตล์ของบาร์หรือสิ่งที่จะได้พบเจอเมื่อมาที่บาร์แห่งนี้ได้แล้ว

Rimshot เป็นบาร์ที่เน้นเรื่องดนตรี ไม่ใช่แค่ชื่อร้าน แต่ดนตรียังถูกนำเสนอผ่านการตกแต่งร้านอย่างสร้างสรรค์ โดยนำไม้ตีกลองจริงๆ มาติดเรียงบนผนังบางส่วนของร้าน เกิดเป็นลวดลายสวยงามแปลกตาและทำให้บรรยากาศโดยรวมของร้านภายใต้การตกแต่งที่ค่อนไปทางจริงจังมีความสนุกมากขึ้น ส่วนพื้นที่ของร้านนั้นก็ถือว่ากว้างพอสมควร แต่ด้วยการออกแบบการจัดวางที่ดีเลยทำให้ทุกโต๊ะยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่

ซิกเนเจอร์ค็อกเทลของที่นี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรีเช่นกัน โดย ‘เจ๋ง-พิสิษฐ์ อยู่เย็นเจริญ’ Head Bartender เป็นคนออกแบบดริงก์ทั้งหมด แบ่งเป็น 2 หมวดคือ House Drinks ที่ได้แรงบันดาลใจจาก record labels หรือค่ายแผ่นเสียงดังๆ ฝั่งอเมริกา และหมวด Artist Favorite ที่จะเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของศิลปินดังหลากหลายยุค

แก้วแนะนำคือ Blue Note (380 บาท) จากหมวด House Drinks ซึ่ง Blue Note เป็นชื่อค่ายเพลงแจ๊ส ดริงก์นี้เลยมาในสไตล์โอลด์แฟชั่นที่ใช้เบอร์เบินอินฟิวส์แวฟรอนเป็นเบส มีความหวานซ่อนขมปลายๆ เป็นดริงก์เข้มๆ ที่เหมาะกับการค่อยๆ จิบไปเรื่อยๆ เหมือนเพลงแจ๊สที่ฟังได้เรื่อยๆ ปล่อยใจสบายๆ

หรืออีกแก้วจากหมวดเดียวกันแต่ดื่มง่ายหน่อยอย่าง Motown (380 บาท) ตัวแทนของค่ายเพลงแนวโซล ดนตรีแนวสบายๆ ฟังแล้วผ่อนคลาย ดริงก์นี้เลยออกแนวรีเฟรชชิ่ง มีความซ่า ดื่มง่าย ให้ความสดชื่นเหมือนจินโทนิก ใช้จินเป็นเบสผสมกับไซรัปแตงโม ส่วนดริงก์จากหมวด Artist Favorite แนะนำเป็น Louis Armstrong (420 บาท) เป็นดริงก์ที่บาร์เทนเดอร์คิดให้ Louis Armstrong ศิลปินชาวอเมริกัน เป็นแนวสปิริตฟอร์เวิร์ดเข้มๆ อีกแก้ว

สำหรับเพลงที่ร้านจะเปิดเพลงหลากหลายแนว มีทั้งแจ๊ส บลูส์ โซล ฟังก์ อาร์แอนด์บี ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสากล ทุกๆ วันศุกร์และวันเสาร์จะมีไฮไลต์เป็นโชว์ตีกลองสดๆ คู่กับดีเจ

Rimshot ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 โรงแรมวาลีอา 1 สุขุมวิท 22 เปิดทุกวันตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป

  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ

บาร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังและซีรี่ส์ Snowpiercer ถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางบนรถไฟสุดพิเศษออกมาเป็นบาร์กว้างเพดานโค้งที่จะพาคุณเดินทางไปสู่โลกอนาคต ภายในตกแต่งด้านหนึ่งให้เป็นบาร์ค็อกเทลสุดหรูสไตล์ Art Deco และ ฝั่งตรงข้ามคือบูทดีเจที่จะคัดสรรเอาดนตรีของดีเจคนโปรดของคุณมารวมเอาไว้ในที่เดียว

Echelon Bangkok อยู่ที่ชั้น 3 Marché Thonglor ซอยทองหล่อ 4 Cocktail Bar 18.00-22.30 น. และ Night Club 22.30 น. เป็นต้นไป

 

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • เอกมัย
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

ถ้าเราชวนไปนั่ง ‘สปีกอีซีบาร์’ หลายคนคงนึกถึงบาร์ลับที่กว่าจะหาทางเข้าเจอก็เล่นเอาเมาซะก่อน แต่สปีกอีซีบาร์ที่เราจะพาไปวันนี้ ไม่ได้ลับขนาดนั้น แต่เข้าไปแล้วรับรองว่าทุกคนจะได้ดื่มด่ำประสบการณ์นั่งบาร์ลับแบบเต็มที่แน่นอน เพราะทุกองค์ประกอบในร้านได้แรงบันดาลใจมายุคบุกเบิกของสปีกอีซีบาร์ในปี ค.ศ. 1920 หรือถ้าเทียบเป็นปี พ.ศ. ก็คือ 2463 เป็นที่มาของชื่อร้าน

2463 Speakeasy เริ่มต้นจากคุณเป้ เจ้าของร้านและกลุ่มเพื่อนนักดื่มสายแมส ได้ลองย้ายสายมาสัมผัสวัฒนธรรมการดื่มค็อกเทล หลังจากลองนั่งมาหลายๆ บาร์ก็รู้สึกหลงใหลจึงชวนกันเปิดบาร์ของตัวเองเพราะอยากให้คนที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับค็อกเทลบาร์ได้เข้ามาทำความรู้จักมันมากขึ้น

จากความตั้งใจนั้นคุณเป้ได้ศึกษาเรื่องราวของค็อกเทลบาร์ จนไปเจอจุดที่น่าสนใจในยุค Prohibition (1920-1933) หรือยุคที่อเมริกาแบนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบาร์ในยุคนั้นต้องขายกันแบบลับๆ เป็นที่มาของบาร์ลับในปัจจุบัน

คุณเป้ดึงคอนเซ็ปต์นั้นมาใช้ที่ร้าน ตั้งแต่การออกแบบทางเข้าให้ดูหลบๆ ซ่อนๆ พอเป็นกิมมิก การตกแต่งด้วยโทนสีเขียวเป็นหลัก เพราะบาร์ลับในยุคนั้นบางร้านจะใช้สัญลักษณ์โคมเขียวเพื่อบอกลูกค้า การออกแบบโถงสูงๆ ให้รู้สึกว่าร้านอยู่ลึกลงไปใต้ดิน รวมถึงเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่บาร์เทนเดอร์สร้างสรรค์โดยได้แรงบันดาลใจมาจากองค์ประกอบในยุคนั้น

สำหรับดริงก์แนะนำ ได้แก่ Eighteenth Amendment (380 บาท) ตัวแทนของจุดเริ่มต้นยุค Prohibition โดยชื่อของแก้วนี้หมายถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 18 ที่มีการห้ามเสพของมึนเมานั่นเอง แก้วนี้จึงเน้นใช้ส่วนผสมที่ร้านคราฟต์เองตามบริบทของบาร์ในยุคนั้น ส่วนเบสจะเป็นเตกีลาอินฟิวส์กล้วย ตกแต่งด้วยพริกหยวก หัวหอม ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้เครื่องดื่ม แม้ส่วนผสมจะดูท้าทายแต่จริงๆ แล้วเป็นแก้วที่ดื่มง่าย ให้ความรู้สึกสดชื่นและมีเผ็ดปลายๆ

แก้วต่อมาคือ 2463 Charlie Chaplin (420 บาท) ทวิสต์มาจากดริงก์ประจำตัวของ Charlie Chaplin ดาวตลกชื่อดังในยุคนั้น ที่มีส่วนผสมหลักเป็นจิน บรั่นดีแอปริคอท และน้ำมะนาว แต่ทางร้านจะเพิ่มผลไม้ตระกูลเบอร์รีต่างๆ และส้มยูสุบางๆ ท็อปด้วยโฟมที่ทำจากชาเปลือกช็อกโกแลตหนาๆ เวลาจิบจะมีโฟมติดที่ริมฝีปากบน คล้ายๆ หนวดของ Charlie Chaplin

อีกแก้วจะเป็น Flapper (440 บาท) ชื่อที่ยืมมาจากคำสแลงที่ใช้เรียกสาวแซ่บในยุคนั้น ลักษณะเด่นของสาวๆ ที่ว่าคือแต่งตัวแซ่บๆ ผมบ๊อบ ยืนสูบซิการ์ ดื่มวิสกี้ ฯลฯ เบสของแก้วนี้เลยใช้วิสกี้อินฟิวส์ซิการ์ ตามด้วยกลิ่นกาแฟและใบเนียม ใครชอบสปิริตฟอร์เวิร์ดแนะนำแก้วนี้เลย

นอกจากค็อกเทลซิกเนเจอร์แล้ว ใครมีแก้วคลาสสิกประจำตัวก็สามารถสั่งกับบาร์เทนเดอร์ได้เลย หรือจะขอลองแบบคัสตอมบาร์เทนเดอร์ที่นี่ก็เชี่ยวชาญเหมือนกัน

2463 Speakeasy อยู่ที่ด้านหลังโรงแรม CIVIC เอกมัย (สุขุมวิท 63) เปิดทุกวัน เวลา 19.00-02.00 น. มีดนตรีสดแนวแจ๊สป็อป แจ๊สเฮาส์ แจ๊สบอสโนวา ทุกวันพฤหัสบดี-เสาร์ ตั้งแต่ 21.30 น. เป็นต้นไป

  • คาเฟ่และบาร์
  • พญาไท
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

Snuggle Huggle เกิดจากการรวมตัวกลุ่มเพื่อน 4 คนที่มีความสนใจเรื่องธุรกิจ F&B ตรงกัน และอยากสร้างคอมมูนิตีเล็กๆ ขึ้นมา เลยเริ่มจากการเปิดบาร์แห่งนี้ด้วยความตั้งใจที่ว่าอยากให้เป็นที่แฮงเอาต์ที่จะมาสนุกหรือมาผ่อนคลายก็ได้ในบรรยากาศอบอุ่น สบายๆ เหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านเพื่อน

การตกแต่งร้านได้แรงบันดาลใจมาจากอพาร์ตเมนต์ยุค 70s - 80s ในนิวยอร์ก เน้นความโฮมมี่จากวัสดุอย่างไม้และผ้า แซมด้วยสีสันน่ารักๆ จากงานศิลปะบนผนังซึ่งเป็นผลงานของศิลปินที่หนึ่งในเจ้าของร้านชื่นชอบ ส่วนโต๊ะเก้าอี้ในร้านก็ตั้งใจเลือกให้มาให้ไม่เข้าชุดกัน พอมองรวมๆ แล้วก็ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นจริงๆ

ชื่อร้าน Snuggle Huggle คือ synonym ที่หมายถึงการถูกโอบกอดหรือคลอเคลียกัน เป็นคำที่สื่อถึงความรู้สึกอบอุ่นของการเข้ามานั่งเอนหลัง ฟังเพลง จิบเครื่องดื่มกับเพื่อนๆ ทั้งที่มาด้วยกันและเพื่อนใหม่ที่อาจจะเพิ่งรู้จักกันที่นี่ก็ได้

ซิกเนเจอร์ค็อกเทลตอนนี้มี 3 แก้ว เน้นดื่มง่ายๆ ได้แก่ The Kiss & Huggle (350 บาท) ค็อกเทลเบสจินสีชมพูเข้มแก้วนี้คือตัวแทนของการจูบที่แฝงทั้งความเย้ายวน สนุก ตื่นเต้น Chuchart with the Rain (350 บาท) ค็อกเทลเบสวิสกี้และรัมที่เป็นตัวแทนของความผิดหวังในความรักในช่วงฤดูฝน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของ ‘พี่ชูชาติ’ คนรู้จักของบาร์เทนเดอร์ และอีกแก้วคือ Crystal Phantom (330 บาท) ค็อกเทลเบสจินและรัม สีขาวอมชมพู 2 เลเยอร์เปรียบเหมือนหญิงสาวที่ภายนอกดูใสซื่อแต่ซ่อนความแซ่บไว้ข้างใน

นอกจากนี้ก็ยังมีคลาสสิกค็อกเทลอีกหลายแก้ว ราคาเริ่มต้นแก้วละ 200 บาท และในอนาคตก็จะมีซิกเนเจอร์ค็อกเทลเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน ใครไม่ใช่สายค็อกเทลจะมานั่งจิบเครื่องดื่มอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน หรือถ้าอยากสั่งของกินมารองท้องที่ร้านก็มีตั้งแต่สแน็กง่ายๆ อย่าง Chips, Chicken pop ไปจนถึงเมนูยำรสแซ่บ

อย่างที่บอกว่าบาร์นี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคตเจ้าของมีแพลนจะเปิดเป็นคาเฟ่ในช่วงกลางวันด้วย และยังแย้มว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะใช้พื้นที่ในการจัดแสดงงานศิลปะอีกด้วย

Snuggle Huggle อยู่ที่โครงการ The Hub Phahol - Ari (ติดถนน ข้างๆ ร้าน Guru Gyu) ร้านเปิดทุกวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • เยาวราช
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

บาร์บรรยากาศสบายๆ ที่อยู่บนชั้น 3 ของตึกเก่าทรงยุโรปอายุราว 70 ปี ตรงหัวมุมถนนไมตรีจิตต์ (ตึกเดียวกันกับร้าน Contento) ที่ภายในยังคงเก็บรายละเอียดการตกแต่งแบบเดิมไว้ครบทั้งเสา แชนเดอร์เลีย ประตู หน้าต่าง ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความคลาสสิกทันทีที่เข้าไปในร้าน

“Just bees and things and flowers” ท่อนหนึ่งจากเพลง Everybody loves sunshine ของ Roy Ayers คือแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อร้าน เพราะเจ้าของร้านรู้สึกว่าตรงกับมู้ดของร้านที่อยากให้ทุกคนที่เข้ามารู้สึกสบายๆ ไม่ต้องอะไรมาก อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสิ่งที่ชอบ เอ็นจอยกับบรรยาศรอบๆ ตัว

ตอนนี้ที่ร้านจะเน้นเสิร์ฟคลาสสิกค็อกเทล คาแร็กเตอร์ของดริงก์จะค่อนข้างชัดเจน บางแก้วถ้าแรงก็จะแรงไปเลย ส่วนค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่จะตามาแน่ๆ ในอนาคตทางร้านก็จะพยายามหาวัตถุดิบโลคัลจากย่านใกล้เคียงมาใช้ อาจจะเป็นยาจีนจากย่านเยาราช เช่นเดียวกับอาหารก็จะพยายามปรุงเมนูฝรั่งในแบบของตัวเองโดยใส่ความเป็นไทยลงไป

แนะนำค็อกเทลที่เราชิมมาคือ Mud Angle คลาสสิกค็อกเทลเบสจิน ผสม Aperitif ที่มีเทสต์โน๊ตเหมือนรูตเบียร์ กับโรสแมรี่ไซรัปและไข่ขาว แก้วนี้ดื่มง่าย ต่อด้วย Flow Fashion ที่มีความคล้าย Old Fashion แต่จะมีส่วนผสมของเหล้ากาแฟ แก้วนี้แรกจิบจะเจอกาแฟก่อน แล้วท้ายๆ จะเป็นไรย์วิสกี้ และอีกแก้วจะเป็น Amaretto Sour คล้ายๆ Whiskey Sour แต่ดื่มง่ายกว่า แอลกอฮอล์ต่ำกว่า เพราะใช้ลิเคียว Amaretto ที่มีเบสเป็นอัลมอนด์และเฮิร์บแทนวิสกี้

นอกจากนี้ในอนาคตก็จะมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาที่เป็นของทางร้านเองมาวางขายด้วย – จริงๆ เจ้าของตั้งใจจะเปิดบาร์กัญชาไปเลย แต่รู้สึกเสียดายพื้นที่เพราะอาจจะเฉพาะกลุ่มเกินไป

Bees Things Flowers อยู่ที่หัวมุมถนนไมตรีจิตต์ ร้านเปิดทุกวันพฤหัสบดี-อังคาร ตั้งแต่เวลา 16.00 - 23.00 น.

  • ค็อกเทลบาร์
  • สยาม
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

Kōdō เป็นค็อกเทลบาร์ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มเพื่อน 7 คนจากหลากหลายอาชีพที่ชื่นชอบการดื่มค็อกเทลหรือจะเรียกว่าเป็นกลุ่มเพื่อน bar hopper ก็ได้ บวกกับความสนใจในวัฒนธรรมหลายๆ อย่างของญี่ปุ่น ทุกคนเลยรวมตัวกันเปิดค็อกเทลบาร์ที่มีกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นๆ โดยการตกแต่งร้านจะเน้นความเรียบง่าย คุมโทนสบายๆ ด้วยการใช้ไม้สีน้ำตาลอ่อนเป็นหลัก 

จุดเด่นของค็อกเทลที่นี่คือเรื่องกลิ่นที่ได้จากวัตถุดิบและส่วนผสมที่มีกลิ่นหอมโดดเด่น มีตั้งแต่กลิ่นที่เราคุ้นเคยอย่างกลิ่นดอกไม้และผลไม้หลากหลายชนิด ไปจนถึงกลิ่นหอมที่มาจาก edible perfume และไม้หอม โดยชื่อร้าน Kōdō (โคโด) แปลว่า ทางของควัน, ทางของกลิ่น ซึ่งบ่งบอกคอนเซ็ปต์การชูเรื่องกลิ่นของบาร์ใหม่แห่งนี้ได้อย่างดี

แก้วขายดีคือ Chamchuri / จามจุรี (320 บาท) ค็อกเทลเบสจินที่ตั้งชื่อตามต้นไม้ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ที่มีดอกสีชมพู แก้วนี้รสชาติจะออกเปรี้ยวหวานดื่มง่าย มีกลิ่นหอมของเกรปฟรุ้ตและลิ้นจี่ เหมาะกับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มดื่มค็อกเทลหรือคนที่ต้องการเปิดแบบเบาๆ ก่อน

อย่างที่บอกว่ากลุ่มเจ้าของบาร์ชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่นี่เลยมีค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความเป็นญี่ปุ่นด้วย เช่น Grandma’s Hot Tea (370 บาท) ค็อกเทลเสิร์ฟอุ่นที่ไม่ค่อยมีให้เห็น แก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสาเกเสิร์ฟอุ่นของญี่ปุ่น แต่จะใช้เบสเป็นวอดกาแทน เพิ่มเลม่อนและขิงเข้าไปจะได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานและเผ็ดหน่อยๆ แต่รวมๆ แล้วดื่มง่าย เสิร์ฟมาในกาน้ำชาพร้อมจอกเล็กๆ อุณหภูมิของค็อกเทลจะอยู่ที่ประมาณ 60 องศาเซลเซียส อุ่นกำลังดีและไม่ทำให้แอลกอฮอล์ระเหย

อีกแก้วที่นำเสนอความเป็นญี่ปุ่นคือ Geisha’s Kiss (360 บาท) ทวิสต์มาจาก New York Sour โดยใช้วิสกี้ญี่ปุ่นแทนเบอร์เบิน เพิ่มความเป็นญี่ปุ่นด้วยไซรัปซากุระและท็อปด้วยไวน์แดง ชื่อ Geisha’s Kiss มาจากสีของค็อกเทลที่เลเยอร์ล่างจะเป็นสีใส เปรียบเหมือนใบหน้าของเกอิชาที่มักจะทาหน้าขาว ส่วนเลเยอร์บนจะเป็นสีแดงเปรียบเหมือนริมฝีปากของเธอ

แก้วที่เราประทับใจที่สุดคือ Mali-Malai / มะลิ-มาลัย (370 บาท) ค็อกเทลใสๆ ชื่อไทยๆ ที่ได้แรงบันดาลมาจากพวงมาลัยดอกมะลิหอมๆ แก้วนี้ใช้รัมเป็นเบส ตามด้วย clarified milk punch เพิ่มความหอมด้วย edible perfume กลิ่นมะลิ และเสิร์ฟมาพร้อมขนมกลีบลำดวน เหตุผลที่เราประทับใจแก้วนี้ก็เพราะสามารถบาลานซ์ระหว่างความเปรี้ยวและหวานของดริงก์ได้ดี และพอกินขนมกลีบลำดวนแล้วจิบตามบอดี้ของเครื่องดื่มจะแน่นขึ้นบวกกับรสชาติก็จะหวานละมุนขึ้น แก้วนี้จะเสิร์ฟจำกัดแค่วันละไม่เกิน 20 แก้วเท่านั้น เพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมส่วนผสมค่อนข้างนาน

แต่ถ้าอยากลองค็อกเทลที่ represent คาแร็กเตอร์ของร้านได้ดีที่สุดก็ต้องเป็น Kōdō (390 บาท) ค็อกเทลแนวสปิริตฟอร์เวิร์ดที่สตรงที่สุดของร้าน ทวิสต์มาจาก Negroni โดยนำจินไปอินฟิวส์กับไม้หอม Palo Santo นาน 2 ชั่วโมง และจุดไฟรมควันไม้หอมก่อนเสิร์ฟเพื่อเพิ่มความสโม้กกี้

kōdō อยู่ระหว่างซอยจุฬาฯ 10 และ 12 (ฝั่งตรงข้าม) ถนนบรรทัดทอง ร้านเปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.00 - 00.00 น.

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • ยานนาวา
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

The Green Door BKK ค็อกเทลบาร์ย่านนางลิ้นจี่ เจ้าของเดียวกับ GulpBKK โชว์รูมค้าส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มาในคอนเซ็ปต์ Siamese Speakeasy Bar หรือบาร์ลับในยุค Prohibition แบบไทยๆ ซึ่งในที่นี้จะหมายถึงปี พ.ศ. 2515 หรือยุค 70s ช่วงต้นๆ (คนละช่วงกับยุค Prohibition ของสหรัฐอเมริกา) โดยในปีนั้นคณะปฏิวัติโดยจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ว่าด้วยการกำหนดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลมาจนถึงปัจจุบัน

พูดง่ายๆ ก็คือ ในมุมมองของคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ตอนนี้ประเทศไทยก็ไม่ต่างกับการอยู่ในยุค Prohibition เพราะยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง #สุราเสรี ต้องมา

ชื่อร้าน The Green Door มาจากการที่ในยุคนั้น ‘ประตูสีเขียว’ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าที่นี่ขายเหล้านะ เปรียบเสมือนสื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงชิ้นเดียวที่เจ้าของบาร์ยังพอใช้เรียกลูกค้าเข้าร้านได้

หลังประตูไม้สีเขียวบานใหญ่ คือบาร์บรรยากาศสบายๆ ตกแต่งง่ายๆ แซมกลิ่นอายแบบไทยๆ ไว้ทั่วร้าน ทั้งรูปนางงามจักรวาล 1988 ที่เราแซวไปตอนต้น นิตยสารเก่าๆ เช่น นวลนาง ตุ๊กตาทอง ข่าวเหตุการณ์สำคัญๆ ที่มาจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ ไปจนถึงที่นั่งมุมหนึ่งที่สามารถเสิร์ฟขันโตกแทนค็อกเทลได้เลย เพราะไทยมากจริงๆ

ด้วยความที่ GulpeBKK อยู่เบื้องหลัง ค็อกเทลที่นี่จึงเน้นใช้พรีเมียมสปิริตกับวัตถุดิบที่คนไทยคุ้นเคย ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นวัตถุดิบในโซนเอเชีย โดยซิกเนเจอร์ค็อกเทลจะแบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ Be nostalgic ค็อกเทลที่จิบแล้วชวนให้คิดถึงอดีตหรือวัยเด็ก, Deceiving the senses ค็อกเทลหมวดทดลองเน้นความแปลกใหม่, Straight from the woods คลาสสิกค็อกเทลที่ถูกนำมาทวิสต์ในรูปแบบของ The Green Door และ Low ABV ค็อกเทลเบาๆ แอลกอฮอล์ไม่แรง ดื่มได้เรื่อยๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ Stephen Pinto ในฐานะ General Manager และ Head Mixologist

มาดูแก้วที่เราลองจิบกัน เริ่มจากหมวด Be nostalgic อย่าง Coco Pandan (400 บาท) ค็อกเทลเบสเมซคาลอินฟิวส์ใบเตยและมีส่วนผสมของน้ำมะพร้าวที่ช่วยบาลานซ์รสชาติของแก้วนี้ให้ดื่มง่ายแถมยังมีกลิ่นหอมใบเตยที่ชวนให้นึกถึงขนมไทย เรียกว่าเปิดมาแก้วแรกก็ประทับใจเลย ต่อด้วย Water-mad-land (350 บาท) จากหมวดเดียวกัน เป็นค็อกเทลเบสวอดก้าที่บอดี้คลีนๆ ดื่มง่าย ให้ความรู้สึกสดชื่น แต่เพื่อไม่ให้คลีนเกินไปแก้วนี้เลยมีโฟมเอสพูม่าสีเขียวที่มีส่วนผสมของแตงโม ซิตรัส และเบซิลโปะมาด้านบน

ขยับมาที่หมวดทดลองอย่าง Deceiving the senses เราเลือกสั่ง The Forbidden (400 บาท) ซึ่งมันคือค็อกเทลทุเรียน (หาทำมาก) แต่กล้าทำเราก็กล้าลอง แก้วนี้ส่วนผสมหลักๆ ก็จะมีรัมกับคอนญัก ส่วนรสชาติและกลิ่นให้นึกถึงทุเรียนกวนที่มีกลิ่นเครื่องเทศจางๆ ถ้าเป็นคนชอบดื่มค็อกเทลหวานๆ หรือชอบกินทุเรียนก็อาจจะชอบแก้วนี้

แก้วสุดท้ายจากหมวด Straight from the woods เราลอง Lost Camillo (450 บาท) ที่ทวิสต์มาจาก Negroni โดยมีส่วนผสมสำคัญที่เพิ่มเข้ามาคืออาร์ติโชกและคาราเวย์ (เครื่องเทศชนิดหนึ่ง) ใครชอบดื่ม Negroni จำชื่อแก้วนี้ไว้ให้แม่น

The Green Door BKK อยู่ในรั้วเดียวกันกับ GulpBKK ถนนจันทน์เก่า ย่านนางลิ้นจี่ ร้านเปิดทุกวันพุธ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โทร. 09-9746-9046

  • ค็อกเทลบาร์
  • รัตนโกสินทร์

บาร์ใหม่ของ ‘หนึ่ง รณภร’ ที่คราวนี้ขอมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับ Nussara (นุสรา) ร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งของ ‘เชฟต้น ธิติฏฐ์’ ที่ตอนนี้ย้ายมาอยู่แถวท่าเตียน ตรงข้ามวัดโพธิ์พอดิบพอดี และไม่เพียงเท่านั้น ชื่อของ Nuss Bar (นุสบาร์) ยังมาจากชื่อเล่นของคุณยายนุสรา คุณยายของเชฟต้นผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับร้านอาหารแห่งนี้ เพราะอยากให้นุสบาร์เป็นพื้นที่สบายๆ ใครก็สามารถแวะเข้ามานั่งดื่มได้ชิลๆท โดยไม่จำเป็นต้องมากินอาหารที่นุสราก็ได้ ส่วนค็อกเทลของนุสบาร์จะเน้นเสิร์ฟเป็นคลาสสิกทวิสต์

Nuss Bar อยู่ที่ถนนมหาราช เปิดทุกวันพุธ - จันทร์ เวลา 17.00 - 00.00 น.

 

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา