Drag Race Thailand season II, Angele Anang
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

คุยกับ แองเจเล่ อานัง สาวข้ามเพศผู้ชนะการแข่งขัน Drag Race Thailand Season 2

เมคอัพอาร์ตทิสและนักแสดงผู้หลงใหลในสไตล์วินเทจ เซ็กซี่ จัดจ้าน กับก้าวกระโดดสู่การเป็นแดร็กควีนหน้าใหม่ของวงการ

Top Koaysomboon
การโฆษณา

แองเจเล่ อานัง หรือชื่อจริง อัญชลี อณังษ์ คือสาวข้ามเพศคนแรกที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน Drag Race Thailand ทั้งยังเป็นผู้เข้าแข่งขันคนแรกที่สามารถเอาชนะโจทย์ประจำสัปดาห์ได้ถึง 6 โจทย์ หลังจากการขบเคี้ยวแข่งขันกันมาอย่างยาวนานตลอด 12 สัปดาห์

แองเจเล่สั่งสมประสบการณ์จากการเป็นนางโชว์ตั้งแต่อายุยังน้อย และเรียนรู้ศิลปะการแต่งหน้าจากการเป็นเมคอัพอาร์ตทิสอีกกว่า 8 ปี ก่อนจะก้าวเข้ามาอยู่ใต้แสงไฟสปอตไลท์ในฐานะ Drag เพื่อระเบิดพลังความคิดสร้างสรรค์อันน่าทึ่งให้เราได้เห็นกันในรายการ Drag Race Thailand จนเราต้องขอไปนั่งพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ บทบาทในสังคม LGBT ไปจนถึงแผนการในอนาคตที่เธอวาดไว้ เพื่อทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

แองเจเล่เริ่มแสดงโชว์ตั้งแต่เมื่อไร

หนูเริ่มในตอนที่เด็กมากๆ เลยค่ะ แถมส่วนมากหนูจะอยู่กับเพื่อนผู้หญิง ก็เลยไม่ชินกับการอยู่ในกลุ่มกะเทย กลัวคนอื่นจะไม่ชอบตัวเอง กลัวถูกหมั่นไส้ อะไรอย่างนี้ กลายเป็นว่าหนูเลยมีท่าทางไม่มั่นใจในตัวเอง บุคลิกไม่ดี พี่ๆ เขาเห็นอย่างนั้นก็ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ทำให้หนูให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น พอหนูทำงานดี ได้เป็นตัวร้อง พี่ๆ ก็ร่วมยินดีกับหนูตลอด จนหนูเริ่มรู้สึกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ สุดท้ายก็รักครอบครัวนี้มาก

คิดว่าการได้เริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง

เยอะเลยนะ อย่างแรกคือได้ประสบการณ์การทำงาน ทำให้หนูได้ฝึกฝนเร็วกว่าคนอื่น พัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เรียนรู้ที่จะทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น แม้ว่าตอนแรกมันจะทำให้เรากลัวหรือไม่มั่นใจ อาจจะมีอุปสรรคบ้าง แต่มันก็ทำให้เราพยายามผลักดันตัวเองเข้ามาในวงการนี้ให้ได้ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เราถนัดและอยากทำจริงๆ

มีจุดสูงสุดอะไรในการเป็น Drag ที่แองเจเล่อยากไปให้ถึงไหม

เอาจริงไม่เคยวาดฝันว่าจะเป็นนางโชว์มาก่อนเลย ตอนเด็กๆ เคยคิดแค่ว่าอยากเป็นแดนซ์เซอร์วงอิเล็คโทนตามเวทีบ้านนอก แต่ว่าหลังจากที่หนูได้เป็นตัวร้องแล้ว ถึงได้มาคิดว่าอยากทำอะไรที่เป็นอิสระมากขึ้น เลยออกมาเป็น Drag แข่งในรายการนี้ ซึ่งพอชนะก็รู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว เลยคิดว่าจะแพลนไปทัวร์แสดงหลายๆ ที่เพื่อดื่มด่ำกับตรงนี้ก่อน เร็วๆ นี้ก็มีคิวจะไปแสดงที่สิงคโปร์กับมาเลเซีย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปทัวร์ในระดับโลก อย่างงาน DragCon (งานเฟสติวัลเฉลิมฉลองวัฒนธรรม Drag ที่สหรัฐอเมริกา) ที่อยากไปมากๆ แล้วคงจะพัฒนาฝีมือแสดงไปเรื่อยๆ เผื่อไปเป็นนักแสดงจริงจังเลยมากกว่า

ใช้เวลานานไหมกว่าจะเปิดใจกับที่บ้านว่าเป็น LGBT

ต้องยอมรับว่าตอนเด็กๆ หนูก็เป็นเด็กมีปัญหาคนหนึ่งเลย เพราะว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อย ก่อนที่ท่านจะเลิกกันแล้วพ่อก็ไปมีแฟนใหม่ จากนั้นแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง หนูเลยต้องไปอยู่กับพ่อ ซึ่งในทีแรกหนูก็รู้สึกไม่ชอบแฟนใหม่พ่อ ไม่ชอบสิ่งที่พ่อทำ เลยทำตัวมีปัญหา เกเร ไม่เรียนหนังสือ ตามประสาเด็กๆ พ่อเลยให้ช่วยงานทำธุรกิจโรงกลึงอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งตอนที่หนูเลิกกับแฟนคนแรก ซึ่งทำให้หนูปล่อยตัว ไว้ผมยาว ออกสาวเป็นกะเทย แล้วเริ่มทำงานที่ร้านคาราโอเกะไปเลย ซึ่งพ่อบอกเสมอว่าไม่ชอบให้ทำงานแบบนี้ คอยตามหนูกลับบ้านเรื่อยๆ แต่พอเขาได้เห็นว่ามีคนชอบการแสดงของหนูแค่ไหนในรายการ Drag Race เขาก็เริ่มเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น คอยช่วยเตือนให้หนูทำตัวดีๆ 

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ในฐานะผู้ชนะการแข่งขัน Drag Race คิดจะช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่ม LGBT ในแง่ไหนได้บ้าง

หลายแง่เลยค่ะ หนูมีความคิดเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมกันทางสังคม คือสังคมไทยก็เปิดกว้างด้านความคิดอยู่แล้วแหละ แต่ยังมีในด้านกฎหมาย ที่หนูคิดว่ากลุ่ม LGBT ทุกคนอยากได้ อยากมีสิทธิ์เท่ากับชาย-หญิง เช่น การแต่งงาน หรือ การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ที่มีในต่างประเทศแล้ว สังคมบางประเทศไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้นแต่ก็มีออกกฎหมายรองรับ หนูไม่รู้ว่าทำไมประเทศเรายังไม่รองรับ ไม่ให้สิทธิ์กลุ่ม LGBT สักที แต่คงไม่ถึงขนาดลงไปทำงานด้านการเมือง (หัวเราะ) เพราะหนูไม่ได้จบด้านนี้มา ไม่ได้รู้เรื่องการเมืองเยอะขนาดนั้น แต่หนูสามารถเป็นกระบอกเสียงไปบอกคนที่ทำด้านการเมือง เช่น พี่กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน ให้ได้รู้ว่าตอนนี้กลุ่ม LGBT ต้องการอะไร มองหาอะไรอยู่ อะไรแบบนั้นมากกว่า คงไม่ลงไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะทำไม่เป็น

ถ้าบอกว่าในสังคมไทยยังมีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่อกลุ่มสาวข้ามเพศอยู่ แองเจเล่เห็นด้วยหรือเปล่า

เห็นด้วยค่ะ มันคล้ายกับว่าเรายังเป็นคนชั้นที่สอง คือไม่รู้นะว่าคนที่ยังปิดกั้นเราเขามองเราอย่างไร แต่ยังมีบางผับที่กะเทยเข้าไม่ได้จริงๆ ทั้งที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็อยากจะสนุกสนาน มีช่วงเวลาดีๆ เหมือนกัน บางทีก็อึดอัดเพราะไม่รู้เราทำผิดอะไร รู้สึกเหมือนเขาคิดว่าเขาเหนือกว่าเรา ส่วนตัวหนูไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ อยากให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น ลองเทียบกันคุณเองมีสิทธิ์จะทำอะไรในชีวิตของคุณก็ได้ ดังนั้นทุกคนก็ควรมีสิทธิ์เป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น แต่เมื่อเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เราก็แค่เป็นตัวของตัวเองต่อไป

"เมื่อเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เราก็แค่เป็นตัวของตัวเองต่อไป"

ฝากอะไรถึงสาวข้ามเพศรุ่นเด็กสักหน่อยไหม

อยากบอกว่าให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าใครจะปฏิบัติกับเราอย่างไร ให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ อย่าอายที่จะทำในสิ่งที่เราชอบ ถ้าอยากแต่งหน้าก็แต่งเลย อยากเอาผมทัดหูก็ทัดเลยลูก อยากออกสาว แต๋วแตกแค่ไหนก็ทำ แต่ขอให้อยู่ในหลักของความดี อย่าไปเดือดร้อนใคร เพราะว่าสมัยก่อนพี่ก็ทำแบบนี้ และพี่ไม่เคยสนใจใครเลย แล้วมันทำให้เราได้ปล่อดปล่อย ได้ระบายออกมา ไม่ต้องกดดัน พอเราไม่กดดันตัวเองทุกอย่างมันก็จะออกมาดี แล้วเราจะมีความสุขจากข้างในจริงๆ โดยที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเราได้ เพราะเรามีเกราะป้องกันเป็น ‘ตัวเราเอง’

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

อ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ

  • Movies

เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ เชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เพราะเขาคือบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่มาทุกยุค ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เริ่มต้นจากการเป็นมือกีตาร์วงร็อกแอนด์โรลอย่าง Slur ในปลายยุค 90s จนก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กับการเป็นนักแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ ก่อนจะขยับสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ที่หลายคนคาดไม่ถึงกับผลงานหนังเรื่องแรกของเขา ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ซึ่งไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮาในไทย แต่ยังพาเขาไปไกลถึงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติต่างแดน

ระหว่างการถ่ายทำบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้ เราได้ยกกองไปยัง REC.Bangkok บาร์น้องใหม่สุดหรูใจกลางถนนวิทยุ ซึ่งมุมแสงและบรรยากาศภายในร้านช่วยสะท้อนตัวตนของเป้ออกมาได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่ความเท่ ความจริงจัง ไปจนถึงความสนุกสนานขี้เล่นตามสไตล์ของ เป้ อารักษ์

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ความท้าทายในทุกตัวตน

ไม่ว่าจะในฐานะนักร้อง นักแสดง หรือผู้กำกับ แต่ละหมวกที่ เป้ อารักษ์ สวมใส่ล้วนมาพร้อมความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเสมอคือความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานออกมาดีกว่าที่ใครคาดหวังไว้

อย่างบทบาทของการเป็นนักแสดงเขาเล่าว่า ความท้าทายคือการทำยังไงให้ผู้กำกับหรือคนสร้างงานพอใจ ผู้สร้างอาจต้องการแค่ระดับหนึ่ง แต่เป้ยืนยันว่าใจจริงแล้วก็อยากทำให้เขาได้มากกว่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้เท่าที่เขาคาดหวังไว้

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นนักดนตรี ความท้าทายคือการทำยังไงให้เพลงที่ตัวเองชอบคนอื่นชอบด้วย เพราะเขาเองไม่ได้ทำเพลงแบบอาร์ตเฮ้าส์ แต่ทำเพลงป๊อปปูลาร์มิวสิก เพราะฉะนั้นจึงต้องบาลานซ์ทั้งสิ่งที่รักกับสิ่งที่คนฟังอยากฟังให้ไปด้วยกัน 

ส่วนการเป็นผู้กำกับ (บทบาทที่ซับซ้อนที่สุด) เป้ อธิบายเป็นพิเศษว่า มันมีความท้าทายหลายขั้นที่ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งการเขียนเรื่องยังไงให้สนุก ทำยังไงให้ขายได้ ต้องทำในแบบที่อยากทำให้ออกมาดีไปพร้อมกับดูแลทีมงานไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป และปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องทำให้หนังได้เงินด้วย 

ตัวตนชัดที่สุดคือดนตรี

เมื่อถามว่าบทบาทไหนที่คิดว่าเป็นตัวตนของ เป้ อารักษ์ มากที่สุด เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ดนตรีน่าจะเป็นตัวตนที่สุด เพราะว่ามันง่ายที่สุดในการที่จะทำออกมาเล่าปุ๊บแล้วเป็นเราเลย เราเขียนด้วย บางทีก็แทบจะทำคนเดียว หรือบางทีก็มีโปรดิวเซอร์มาช่วยบ้าง มันเป็นไอเดียของเราทั้งหมดที่ควบคุมได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว’

เป้ยอมรับว่าในฐานะผู้กำกับแม้จะได้เลือกและควบคุมหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ไอเดียของเขาเพียวๆ ทั้งหมดเหมือนกับการทำดนตรี แต่มันคือการร่วมงานกับทีมมากกว่า ในขณะที่การเป็นนักแสดงก็เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของคนอื่นซึ่งต่างจากการเล่นดนตรีที่สะท้อนตัวตนของเขาได้โดยตรง

บทบาทใหม่ที่อยากท้าลอง

ตลอดเส้นทางการแสดง ชายคนนี้ผ่านทั้งละครและภาพยนตร์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวบอกตรงๆ ว่าวันนี้การแสดงไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว แต่ถ้าถามถึงบทบาทใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘จริงๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องเพศครับ…ผมเคยเล่นเป็นตัวละครที่แอบๆ หน่อย อันนั้นอาจจะไม่ยากเท่ากับการเล่นแบบเปิดเผยไปเลย อย่างใน (ดอยบอย) มันจะเป็นทางเครียดมากกว่า อยากลองดูว่าถ้าเล่นแบบเปิดเผยไปเลยจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่เราจะรับบทแบบนั้น เพราะเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนที่เขามีเพศสภาพแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงความท้าทาย อันนั้นน่าจะท้าทายสุดครับ’

The Stone : ก้าวแรกสู่หลังจอมอนิเตอร์

การก้าวเข้าสู่บทบาทผู้กำกับเต็มตัวของ เป้ อารักษ์ เริ่มต้นจากความมั่นใจในไอเดียและเรื่องราวที่อยากเล่า และ The Stone พระแท้ คนเก๊ ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์ทดลอง แต่เป็นการรวมเอาประสบการณ์ชีวิตและมุมมองส่วนตัวเข้ากับการเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะโดนใจผู้ชมชาวไทย

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ตอนแรกไม่ได้มองไปถึงจุดนั้นเลยครับ เรามองแค่หาเงินในประเทศอย่างเดียว เพราะผมอยู่ในวงการหนังมานาน คิดว่าการหาเงินในประเทศเป็นสิ่งที่ชัวร์ที่สุดในการทำให้หนังไม่เจ๊ง ผมไม่อยากทำหนังเจ๊งเรื่องแรกก็เลยไม่ได้มองไปตรงนั้น’ เป้เล่าอย่างตรงไปตรงมา

แม้หนังจะไม่ได้วางแผนไปเทศกาลนานาชาติแต่เมื่อได้รับเลือกให้ไปฉายก็ถือเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง งานนี้อาจไม่ใช่เทศกาลสายลึกเหมือนหนังอินดี้ของเพื่อนร่วมวงการ แต่เป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและปาร์ตี้ ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของผู้กำกับออกมาได้อย่างชัดเจน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไอเดียในหนังของเรามีอะไรที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น และความไทยของมันน่าจะมีเสน่ห์ในสายตาคนดูต่างชาติ’

ช่วงเริ่มเขียนบทเป้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ถือว่ามีประสบการณ์และความเข้าใจในวงการหนังไทยพอสมควร ซึ่งเขาเผยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่เขียน และในอนาคตก็มีแผนทำหนังเรื่องต่อไปพร้อมกับสลับไปทำงานเพลงและแสดงควบคู่ไปด้วย

การสลับโหมดและการเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่

การเปลี่ยนจากศิลปินสู่นักแสดงและผู้กำกับของ เป้ อารักษ์ ไม่ใช่แค่การสลับบทบาท แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตทางความคิด ช่วงทำดนตรีเขาสามารถทำอะไรตามใจได้ แต่เมื่อก้าวสู่บทบาทผู้กำกับ ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและสถานะ

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘พอเป็นผู้กำกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุสี่สิบมันก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น และผมก็ได้รับการโค้ชจากโปรดิวเซอร์ (กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา) ที่สอนให้ผมเป็นผู้กำกับที่โตมากขึ้น คำพูดทุกคำมีความหมาย จะมาติงต๊องหรือเจ้าอารมณ์ไม่ได้’

ลายเซ็นในผลงานบ่งบอกถึงตัวตน

‘ผมว่าผมน่าจะหนีสิ่งที่มันเคยมีมาเก่งครับ พยายามจะไม่เหมือนใคร อะไรที่เขาชอบกันจะไม่ชอบ อะไรที่เขาว่าไม่เท่ เราจะว่าเท่’

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเรื่อง ‘พระเครื่อง’ เด็กสมัยใหม่ไม่มองว่าพระเครื่องมันเท่ แต่สำหรับเป้ สิ่งนี้กลับมีเสน่ห์และสามารถหยิบมาเล่าใหม่ในมุมที่ต่างออกไป 

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ผมก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ห้อยพระ เพราะพระเราเท่กว่าตั้งเยอะ ก็เลยหยิบเรื่องพวกนั้นขึ้นมา มันเริ่มจากความอยากเท่ก่อน แล้วก็พยายามหาอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างตลอดในงานตัวเองครับ’

เมื่อต้องตัดสินใจระหว่างให้นักแสดงตีความเองหรือกำหนดทิศทางอย่างชัดเจน เป้เลือกวิธีตรงกลาง 

‘ต้องเจอกันครึ่งๆ ครับ ผมจะอธิบายแบ็กกราวด์กับสิ่งที่เราคิดไว้ แต่สุดท้ายวิธีการแสดงมันต้องเจอกันตรงกลาง บางครั้งนักแสดงก็เสนอช้อยส์ใหม่มาให้ลอง แล้วเราค่อยปรับร่วมกัน หรือบางทีเขามาแล้วก็ใช่เลยตั้งแต่แรกก็มี’ 

ความเข้าใจนี้มาจากการเป็นนักแสดงมาก่อน และเป้เห็นว่าในบางครั้งนักแสดงรู้จักตัวละครมากกว่าผู้กำกับเอง ทำให้การเลือกนักแสดงกลายเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ถ้าแคสต์ถูก ก็จะช่วยพาเรื่องไปได้ไกล แต่ถ้าเลือกผิดต่อให้เขียนดีแค่ไหนหนังมันอาจจะสนุกได้ยาก’

และเมื่อถามถึงภาพยนตร์ลำดับที่สองของเขา เป้หัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบ

‘ก็กำลังทำอยู่ครับ บางทีมันก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความอยากของเราอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจังหวะและโอกาสด้วย แต่ผมก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ทั้งอัลบั้ม แล้วก็การแสดง แต่โชคดีที่ผมมี บี-วุฒิพงษ์ อีกคน ไม่ได้ทำคนเดียว ผมก็รับผิดชอบในส่วนหนึ่ง บีก็จัดการต่อในอีกส่วนหนึ่งครับ’

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

นักดนตรีที่ไม่เคยหยุดทำเพลง

แม้จะหันมาสวมบทบาทผู้กำกับอย่างจริงจัง แต่เส้นทางดนตรีของเป้ก็ยังไม่เคยหยุดเดิน เขายังคงออกผลงานเพลงอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าตัวจะยอมรับตรงไปตรงมาว่าการทำเพลงอาจไม่ใช่อาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้เต็มที่ แต่เพราะอาชีพนักแสดงที่พอจะหล่อเลี้ยงชีวิตได้ ทำให้เขาเลือกทำเพลงอย่างอิสระตามใจตัวเองได้เสมอ และยังมีค่ายเพลงที่มองเห็นคุณค่าในตัวเขา แม้ผลงานจะไม่ได้สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ยังคงเป็นแรงซัพพอร์ตกันมาตลอด

เป้เล่าถึงแนวทางการทำเพลงที่หลากหลายและเปิดกว้าง 

‘ผมทำเรื่อยๆ นะครับ ผมทำอะไรแปลกๆ ตลอดเลย ก็มีโฟล์คแล้วก็ไปทำร็อกแอนด์โรลบ้างชุดหนึ่ง แล้วก็มีไปทำอิเล็กทรอนิกส์สามชุด นี่ก็กลับมาคันทรี่อีกแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลยครับเพลง ตามใจตัวเองมาก’

ล่าสุดกับอัลบั้มใหม่ ‘อกหักติดยาหมาตาย’ เพลงของเขายังคงสะท้อนตัวตนได้อย่างดิบ ตรงไปตรงมา และจริงใจเหมือนเดิม โดยแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงและการสังเกตผู้คนรอบตัว 

‘ถ้าใช้ความรักไม่ได้ หน้าตาไม่ได้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งั้นลองใช้เงินแทนได้มั้ย?’ เป้เล่าถึงเพลง ‘อยากเป็นเสี่ยเลี้ยงต้องทำไง’ อย่างตรงไปตรงมา 

เส้นทางสายดนตรีจึงยังคงเป็นพื้นที่ที่เป้สามารถเล่าเรื่องและสะท้อนตัวตนได้เต็มที่ ท่ามกลางบทบาทนักแสดงและผู้กำกับที่ต้องรับผิดชอบผู้คนและทีมงานอีกนับร้อยชีวิต

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

จากสังเวียนสู่ธุรกิจ ‘ลงนวมบอยส์’

อีกบทบาทที่หลายคนจดจำ เป้ อารักษ์ คือการเป็นนักแสดงที่หลงใหลในกีฬามวยไทย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขึ้นชกบนสังเวียนในรายการ ‘10 Fight 10’ จนต่อยอดไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจแฟชั่นในชื่อ ‘ลงนวมบอยส์’ แบรนด์ที่เกิดจากการร่วมกันปลุกปั้นกับเพื่อนๆ ภายใต้สโลแกน ‘Everyone Can Fight’ ที่ไม่ได้มองการต่อสู้เป็นแค่กีฬา แต่คือท่าทีในการใช้ชีวิต การลุกขึ้นสู้ในแบบของตัวเอง การสร้างคอมมูนิตี้ที่เข้าใจกัน และการตีความความเป็นนักสู้ให้กลายเป็นสไตล์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

เคยรู้สึกไหมว่าการอยู่ในวงการบันเทิงก็เหมือนการขึ้นเวทีชกมวย

‘มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นครับ จมูกเราไม่หัก ถ้าคุณเคยสู้บนเวทีมันมีความกลัวที่ยากที่จะเอาอะไรไปเทียบเหมือนกันครับ จริงๆ แล้วเรื่องของเรามันไม่ได้มีคนสนใจเท่าเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นพลาดบ้างได้ แต่อย่าพลาดเยอะ หรือถ้าคุณดังมากๆ ก็ห้ามพลาดเลย ไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าพูดซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับขึ้นเวทีชกมวยแน่นอนครับ’

และถ้าให้เลือกเพลงเปิดตัวขึ้นสังเวียน เขาตอบทันทีว่า 

‘ผมต้องเลือกเพลง ‘อย่าเล่นกับไฟ’ ของเป้เองครับ เพราะมันส์สุดที่ผมเคยทำมาแล้ว แล้วก็คิดว่าเพลงตัวเองมีตั้ง 60 กว่าเพลง จะเลือกเพลงคนอื่นทำไม หรือเพลง ‘ไม่ต้องทำหรอกบุญ ’ก็เคยใช้ตอน 10 Fight 10 แล้วก็แพ้ครับ (หัวเราะ)

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ในอีก 5 ปี ข้างหน้าอยากให้คนจดจำ เป้ อารักษ์ ในฐานะอะไรมากที่สุด?

‘โห… มากที่สุดใช่ไหมครับ อยากเป็นผู้กำกับที่ทำหนังได้เงินติดกันสามเรื่องครับ ห้าปีน่าจะได้อีกสองเรื่อง (หัวเราะ)’

ท้ายที่สุดแล้วในบทบาทของการเป็นศิลปิน เขายังคงทำเพลงตามใจตัวเองอย่างอิสระ ในขณะที่การแสดงยังเป็นพื้นที่ที่เขารักและพร้อมกลับไปเสมอ แต่สิ่งที่เป้โฟกัสจริงจังที่สุดในวันนี้คือการเป็นผู้กำกับหรือคนเล่าเรื่องและต้องการพื้นที่ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่วงการบันเทิงบ้านเรา

สำหรับเขารายได้ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ แต่คือหลักฐานเชิงรูปธรรมของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้ แม้ยังอยากเล่นละครและทำเพลงต่อไป แต่เส้นทางการเป็นผู้กำกับคือสิ่งที่เป้มุ่งหน้ามากที่สุดในตอนนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นบทบาทบนสังเวียน ในห้องอัด บนเวทีแสดง หรือหลังกล้อง ทุกประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้เป้เติบโตขึ้นในเวอร์ชันที่เท่กว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม และยังคงเดินหน้าลุยกับความฝันของตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

Photographer: STYLEdeJATE @styledejate
Art director: PK Vanasirikul @peeekks
Assistant photographer: Eric D’ Geno @erinaerielle
Lighting: Stoppie Pumipat @thananchailoha @advancedphotosystems
Senior designer: Methita Trakulpoonsub @methitaa
Project manager: Sirinart Panyasricharoen @tibabit
Writer: Yokploy Chandrabha @tmyokploy
Translator: Pinghyu 
Video: Supathat Thardrak @gunnst__
Video editor: Supathat Thardrak @gunnst__
Photos: STYLEdeJATE @styledejate
Stylist: Mathimon Intharasuwan @chubbyz_gt
Stylist assistant: Nithikorn Moolyongsak @pepetchyy​
Hair stylist: Pornwasu Huamrun @Papalapom
Makeup artist: Chatchanok Natengampak @mameaw.everyday @ngampak.makeup
Location: REC. Bangkok
Talent Coordinator: Daniel Van Norden
Concept: Laurie Osborne @laurieosborne

  • Things to do
  • เรื่องแปลก

แม้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่หลายๆ คนก็มักจะมองหาที่พึ่งจากลางสังหรณ์บางอย่าง อย่างการแหงนหน้ามองดูดาว บางครั้งก็เปิดสำรับไพ่ทาโรต์ หรือเป็นการเข้าไปขอคำแนะนำจากหมอดูด้วยตัวเอง แต่ในยุคโซเชียลมีเดีย การดูดวงไม่ได้จำกัดแค่ผู้มีอายุที่มากด้วยประสบการณ์ในบรรยากาศคลาสสิกที่รายล้อมด้วยแสงเทียนสลัวๆ หรือหินคริสตัลไว้เสริมพลังงานอีกต่อไปแล้ว

ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่บุกเบิกกระแสดูดวงในยุคดิจิทัลก็คือ ‘นก–นภัสสร โชติกวณิชย์’ เจ้าของเพจชื่อดัง Bird Eye View ที่กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนมากมายเพื่อรับมือกับชีวิตของผู้คนที่คาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก อาการอกหัก และความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ถึงแม้หมอดูออนไลน์จะผุดขึ้นมากมายจนในที่สุดค่อยๆ หายไป แต่นกเป็นอีกคนหนึ่งที่กลับทำให้ผู้คนยังคงหลงใหลและติดตามเธอมาตลอดหลายปี เพราะด้วยเสน่ห์ ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และอารมณ์ขันของตัวเธอเอง 

จากหยดน้ำตาที่เคยร่วงหล่น ไปจนถึงเสียงสับสำรับไพ่ (ทาโรต์) นกได้สร้างจักรวาลของความรักที่หลากหลาย และโลกแห่งการดูดวงที่ผสานกันได้ลงตัว ซึ่งเมื่อเราได้ทราบถึงเบื้องหลังว่า จริงๆ แล้วอะไรบ้างที่ทำให้ช่องดูดวงของเธอถึงดูมีเสน่ห์และชวนให้ติดตาม แถมยังทำให้รู้สึก ‘อิน’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อได้ขนาดนี้

เพราะอกหักจึงพาเธอไปสู่เส้นทางใหม่ 

เมื่อถูกถามว่าเธอเริ่มต้นเส้นทางการเป็นหมอดูได้อย่างไร คำตอบของนกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมาเป็นหมอดูจริงๆ” และเธอสารภาพอีกว่า “ได้เริ่มต้นเส้นทางการเป็นหมอดูจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่าหาเลี้ยงชีพ” 

เธอเล่าว่าแรงผลักของอาชีพนี้จริงๆ มาจากตอนที่เธออกหักสมัยเป็นนักศึกษาปริญญาโท เมื่อเธอเจอกับปัญหาความรัก เธอเลยใช้เงินไปกับการดูดวงที่เยอะพอสมควร พอถึงจุดหนึ่งเธอคิดขึ้นมาได้ว่าสิ้นเปลืองเงินไม่เข้าท่า เลยลองเรียนหมอดูด้วยตัวเอง  

จนวันที่ได้เริ่มต้นเรียนหมอดูด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งกลับกลายเป็นแพสชันในชีวิตขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งความพยายามแรกๆ ของเธอคือการเรียนรู้ศาสตร์โบราณอย่างการดูลักษณะโหงวเฮ้งแบบจีนเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะเธอไม่ชอบตัวเลขและการคำนวณมาตั้งแต่เด็ก ทำให้การกำหนดค่าที่แม่นยำตามศาสตร์โบราณนั้นสร้างความหงุดหงิดให้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ

เธอจึงพยายามหาวิธีดูดวงที่เหมาะกับตัวเอง จนกระทั่งมาเจอกับไพ่ยิปซี ที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงได้ทันทีด้วยภาพสัญลักษณ์ที่ดูทรงพลัง “มันเหมือนกับว่าเราได้พูดภาษาที่ตัวเองเข้าใจจริงๆ” เธอเล่า ซึ่งครูที่สอนไพ่ทาโรต์ก็สนับสนุนให้เธอสร้างแนวทางของตัวเอง เธอเลยใช้วิธีศึกษาทางช่อง YouTube จากต่างประเทศและอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไปด้วย โดยเรียนรู้การอ่านความหมายของไพ่ทาโรต์ทั้งไพ่ตั้งตรงและไพ่กลับหัว ซึ่งตอนนั้นในใทยยังไม่ค่อยมีใครทำ โดยส่วนใหญ่จะยึดแนวทางแบบดั้งเดิมมากกว่าด้วยซ้ำ 

จุดเริ่มต้นของการเป็นหมอดูนี้เธอได้รับอิทธิพลมาจากพื้นเพทางครอบครัวด้วย ซึ่งคุณยายของเธอก็เป็นหมอดูซึ่งใช้ศาสตร์ฮินดูโบราณ แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้เรียนรู้โดยตรงมาตั้งแต่เด็ก แต่ดูเหมือน ‘สัญชาตญาณ’ ในการเป็นหมอดูจะไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเธอมาตั้งแต่ต้น “ฉันคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่ส่งต่อมาถึงฉัน” นกบอกพร้อมอธิบายว่า การดูไพ่ทาโรต์ของเธอต้องอาศัยการนั่งสมาธิและการกำจัดพลังงานที่ไม่ดีออกไป เพื่อให้การดูไพ่ทาโรต์สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของลูกค้าแต่ละคนและให้ออกมาเป็นกลางมากที่สุด

ในปี 2016 ช่อง Bird Eye View ของเธอได้เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เดิมทีเธอตั้งใจทำช่องเพื่อโชว์งานเฉยๆ แต่การทำคลิปแรกของเธอกลับกลายเป็นการอ่านไพ่ทาโรต์แบบง่ายๆ ให้ผู้ชมได้เลือกไพ่ใบใดใบหนึ่งก็ได้ ซึ่งคลิปนั้นถ่ายด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่าง คือหมอนกับผ้าปูพื้น แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับสะกดใจผู้ชมได้ไม่น่าเชื่อ

“เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ไม่กี่เดือนต่อมา ยอดวิวกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นมีผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเอง จนยอดวิวเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 วิว จนเรารู้สึกว่าเยอะมากเลย” เธอเล่าพลางหัวเราะ  

การทลายกรอบภาพจำเดิมๆ 

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีประเพณีการดูดวงที่สืบทอดกันมายาวนาน แม้กระทั่งในราชสำนักก็ตาม “คนส่วนใหญ่ยังคงจินตนาการว่าหมอดูต้องเป็นผู้หญิงมีอายุ ล้อมรอบด้วยข้าวของศักดิ์สิทธิ์ ที่คนมักนึกภาพว่าต้องเป็นผู้สูงวัยที่มีออร่าแบบน่าเชื่อถือ” เธออธิบาย แต่สำหรับเธอ การทลายภาพจำนี้คือแนวทางการเริ่มต้นและถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด 

ในตอนแรกที่เธอทำช่อง Bird Eye View เธอปกปิดใบหน้าตัวเอง เพราะกังวลถึงรูปลักษณ์ (ที่อายุน้อย) ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมสงสัยได้ แต่ด้วยการพิสูจน์จากความสามารถของเธอตั้งแต่ต้น และการได้ค่อยๆ เปิดเผยตัวเองออกมา เธอจึงเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้ว่า หมอดูไม่จำเป็นต้องลึกลับหรือเข้าถึงยากเสมอไป แต่พวกเขาก็คือคนที่มีทักษะ (อย่างหนึ่ง) ซึ่งช่วยให้ผู้อื่นก้าวผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากไปให้ได้ 

โดยหัวใจหลักในการอ่านไพ่ของเธอคือ อ่านเร็ว กระชับ และตรงประเด็น ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยแต่ละเซสชั่นมักใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ที่มุ่งเน้นไปยังเรื่องของความรักหรือความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอเห็นว่ามีความไม่แน่นอนทางด้านอารมณ์มากที่สุด

“ทุกคนเรียนรู้เรื่องงานหรือเรื่องเงินเพื่อวางแผนปรับปรุงเรื่องนี้ได้ แต่กับเรื่องความรักมักต่างออกไป เพราะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ มีความละเอียดอ่อน และมักอยู่เหนือการควบคุม” เธออธิบาย

แม้ทุกวันนี้จะมีช่องดูดวงบนโลกออนไลน์มากมาย แต่ช่อง Bird Eye View ยังคงเติบโตและดำเนินต่อไปเป็นเวลาถึง 9 ปี ซึ่งเธอมองว่าสาเหตุที่ช่องดูดวงได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ ก็เพราะสไตล์การอ่านไพ่ที่รวดเร็ว และทำให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม แม้บางคนจะบอกว่าเธออ่านเร็วเกินไป แต่ฐานแฟนคลับของเธอกลับขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เลยด้วยซ้ำ 

ใช้ AI เป็นตัวช่วย

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

ถ้าพูดถึงเรื่องการทำคอนเทนต์บนช่อง YouTube ที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะอิงคอมเมนต์จากผู้ชมและคำค้นหายอดนิยมบนเว็บไซต์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันเธอมีคู่หูอย่าง ChatGPT เข้ามาช่วยสร้างไอเดียในการทำคอนเทนต์ ทำให้การทำงานของเธอมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นแทนที่เธอเสิร์ชหาแนวคิดอย่าง ‘การอ่านไพ่สำหรับเรื่องความรัก’ แต่เธอกลับค้นพบรายชื่อหัวข้อที่น่าสนใจแทน เช่น ‘คุณจะได้เจอเนื้อคู่เมื่อไร?’ หรือ ‘ทำไมคุณถึงยังโสด?’  

เพราะในยุคที่หลายคนหันไปพึ่งตัวช่วยอย่างเอไอในการดูดวง เธอเชื่อว่าบางครั้งเทคโนโลยีก็แทนที่หมอดูอย่างมนุษย์ไม่ได้หรอก 

“มนุษย์ต้องการการปฏิสัมพันธ์ และต้องการใครสักคนที่รับฟังพวกเขาได้” เธออธิบาย “ความสบายใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากเทคโนโลยี แต่มนุษย์ต้องรู้สึกได้ว่าใครสักคนเข้าใจพวกเขาได้จริงๆ”

ความรักคือหลากมิติของอารมณ์ 

“ทุกคนมีเรื่องราวหลากมิติเกี่ยวกับความรักโดยที่บางคนอาจไม่รู้ตัว” แต่สำหรับนก ความรักคือจักรวาลแห่งอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและอาจพลิกผันเมื่อไรก็ได้ การอ่านไพ่ของเธอจึงมุ่งเน้นไปยังเรื่องความสัมพันธ์ ตั้งแต่ความรักที่โรแมนติก ไปจนถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะเธอเชื่อว่าความรักเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทั้งยุ่งเหยิงและน่าหลงใหลในคราวเดียวกันโดยไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะเธอมักสังเกตว่าผู้คนใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ไว้สำหรับประมวลผลเรื่องความรัก เพื่อแชร์ความคิดหรือความรู้สึกในพื้นที่ที่ปลอดภัย

“บางครั้งคนก็แค่ต้องการพื้นที่ระบายหรือทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง การได้อยู่ในตำแหน่งนั้นทำให้ฉันเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น และเข้าใจตัวเองด้วย” เธอสะท้อนให้เห็นภาพ 

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

การให้คำปรึกษาของเธอดูกลมกลืนตามสัญชาตญาณที่เธอเป็น ทั้งพลังงานเชิงบวกและความเข้าใจ แม้ต้องเจอกับคำปรึกษาที่เปราะบางหรือเจ็บปวดก็ตาม เธอผ่อนแรงด้วยคำปลอบโยนและพลิกสถานการณ์ด้วยอารมณ์ขันอยู่เสมอ เพื่อเตือนไว้ว่าความรักอาจมีหลายอารมณ์ แต่ก็สวยงามและสะท้อนความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง 

เพราะหลายๆ คนมักมาขอคำปรึกษาจากเธอหลังจากโศกเศร้าจากอาการอกหักบ้าง หรือเมื่อความสัมพันธ์เริ่มไม่แน่นอนบ้าง ซึ่งการอ่านไพ่แบบ ‘เลือกไพ่ใบใดใบหนึ่ง’ ของเธอมักจะได้รับความนิยม โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตอย่าง ‘คนคนนี้คิดยังไงกับฉัน’ นั้นจะช่วยให้ผู้คนเห็นภาพได้ชัดเจน เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และค้นหาทางออกได้ 

อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีไม่ควรทำให้เกิดข้อสงสัยหรือเกิดการตั้งคำถาม แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว คำแนะนำของเธอคือการช่วยให้พวกเขาเข้าใจแนวทางและสถานการณ์ได้ดีขึ้น รวมถึงทำให้พวกเขายอมรับว่า การอยู่เป็นโสดจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย 

คอยดูแลและมอบความสบายใจ

สำหรับลูกค้าที่เข้ามาหาเธอไม่ใช่แค่เพื่อการทำนายอย่างเดียว แต่เพื่อความสบายใจและความชัดเจน เธอเจอสถานการณ์ละเอียดอ่อนหรือความเจ็บปวดอยู่บ่อยครั้ง และถ่ายทอดด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเอาใจใส่เสมอ

“แต่ถ้าเป็นข่าวร้าย ฉันจะสอดแทรกสิ่งดีๆ เพื่อชี้แนวทางต่อไปให้พวกเขา” เธอเล่า ซึ่งแนวทางของเธอเต็มไปด้วยความเมตตาแต่ซื่อตรง ตรงนี้ช่วยให้ลูกค้าได้สะท้อนถึงตัวเอง ได้ตัดสินใจด้วยความมั่นใจ และเข้าใจสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

แม้ฐานผู้ชมจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอยังคงตระหนักถึงบทบาทของตัวเอง เห็นได้จากในช่วงที่ Bird Eye View กลายเป็นที่นิยมสูงสุด เธอได้ดูแลและเทคแคร์ลูกค้าหลายร้อยคนต่อเดือน ไปจนถึงการได้ทำงานกับแบรนด์ต่างๆ ในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งเธอก็ยังคงรักษามาตรฐานของความเป็นมืออาชีพและเข้าถึงได้ง่าย 

“ฉันอยากให้คนเห็นว่าหมอดูเข้าถึงได้ง่าย เป็นกันเอง และมีความสามารถมากกว่าที่หลายคนคิด” เธอยืนยัน

แต่ถึงอย่างนั้น การให้คำปรึกษาหรือให้ความสบายใจแก่ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมหนีไม่พ้นคำถามสุดแปลกที่เธอเคยเจอ 

เช่น “ครั้งหนึ่งมีคนถามว่า ในจักรวาลมีกาแล็กซี่จำนวนเท่าไร” เธอเล่าพร้อมหัวเราะ

“ฉันต้องบอกเขาว่า แม้แต่นักวิทยาศาสตร์อาจจะยังไม่รู้ก็ได้ กรุณาโฟกัสที่ชีวิตตัวเองก่อนดีกว่า อย่าไปสนใจจักรวาลให้มากนักเลย” 

การโฆษณา
  • Art

ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้ จะมีสักกี่ช่องที่กล้าเปิดใจพูดถึงเรื่องของการติดสารเสพติด และหนทางในการเลิกและบำบัด ซึ่งนี่แหละที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ‘House of TayTay’ ช่องพอดแคสต์ที่ เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้คนที่รู้สึกถูกมองข้าม ไร้พื้นที่ในการเล่าเรื่อง และรู้สึกไร้คุณค่า

โดยผู้ก่อตั้งรายการนี้คือ Taylor Srirat เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเคยเป็นหนึ่งในกูรูด้านแฟชั่นมาก่อน แต่ในวัย 35 ปี เธอได้สร้างช่อง ‘House of TayTay’ ขึ้นมาเป็นพื้นที่ในการสนทนาเรื่องราวที่ยังคงไม่ได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมเอเชียของเรา

นอกจากนี้ ตลอดเวลากว่า 8 ปีที่เธอเดินบนเส้นทางการฟื้นตัวจากการเสพติด เธอใช้พอดแคสต์ไม่เพียงเพื่อเล่าเรื่องของตัวเอง แต่ยังเป็นพื้นที่ในการขยายเสียงของหลายๆ คนที่เผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับเธอ

พื้นที่ปลอดภัยที่สร้างจากเรื่องจริง

ตอนที่ Taylor Srirat เริ่มเขียนหนังสือ Stardust… Memoirs of an Imperfect Gaysian เธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าการตีพิมพ์หนังสือระดับนานาชาติต้องใช้มากกว่าแค่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ‘คุณต้องมีแพลตฟอร์ม ต้องมีตัวตนบนโลกดิจิทัล ต้องมีโซเชียลมีเดีย ต้องมีผู้ฟัง’ 

แรกเริ่มนั้นไอเดียการสร้างแพลตฟอร์มนี้เหมือนเป็นกลยุทธ์การตลาดซะมากกว่า แต่เมื่อยิ่งเธอได้สร้างคอนเทนต์มาเรื่อยๆ เธอรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การโปรโมตหนังสือเท่านั้น แต่เป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ที่สร้างจากความจริง

ซึ่งสิ่งนี้แหละที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของช่อง ‘House of TayTay’ 

‘ฉันอยากเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้พูดออกมาในตลอดระยะเวลาที่ฉันเติบโตมา’ Taylor บอกกับเรา 

Taylor Srirat
Photograph: taylorsrirat

ในฐานะ LGBTQ+ ที่เผชิญการเสพติด ความเจ็บปวด และแรงกดดันทางวัฒนธรรม เขารู้ดีว่าการไม่มีที่พึ่งพิงมันโดดเดี่ยวเพียงใด ‘ฉันอยากออกมาพูดถึงประเด็นที่ยังถือเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศแถบเอเชีย ทั้งการเสพติด การมีตัวตน ความรุนแรง เรื่องที่กระทบจิดใจ และแสดงให้เห็นว่าการเยียวยาจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร’ 

พอดแคสต์จึงกลายเป็นเส้นทางที่เธอใช้ทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริง เนื้อหาที่ออกมาทั้งจริงใจ ดิบ และไม่ผ่านการปรุงแต่ง ผ่านช่อง YouTube เธอเปิดเผยประสบการณ์การบำบัดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเชิญชวนผู้ฟังและผู้ชม ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการบำบัด กำลังต่อสู้กับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม กำลังเยียวยาบาดแผล หรือเพียงแค่ต้องการดูแลตัวเองในแบบของตัวเอง ให้รู้ว่า เรื่องราวของคุณมีค่าและคู่ควรที่จะถูกเล่าออกมา

เมื่อความเงียบกลายเป็นความเข้มแข็ง

เรื่องราวของ Taylor Srirat ไม่ได้เริ่มจากการเสพติด แต่มันเริ่มจาก ‘ความเงียบ’ แม้จะเติบโตในกรุงเทพฯ แต่เธอต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายจากพ่อและการถูกละเลยจากแม่ ทำให้ได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็กว่า ‘การเงียบหายไป อาจง่ายกว่าการพูดออกมา’

เมื่ออายุเพียง 12 ปี เธอถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำในอังกฤษ และต่อมาก็สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างโคลัมเบีย ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังไม่ถูกเยียวยา

เธอกลับมาประเทศไทยในวัย 20 และตระหนักว่า ครอบครัวที่เธอพยายามสร้างความภาคภูมิใจให้มาโดยตลอด กลับ ‘ไม่เคยเห็นตัวตนของเธอเลย’ โดยเฉพาะในฐานะที่เธอเป็นชาว LGBTQ+

‘ครอบครัวฉันไม่เคยมอบความรักอย่างแท้จริง มีแต่แรงกดดันและการละเลย’ เธอกล่าว

ความเจ็บปวดนำเธอเข้าสู่การใช้ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อใช้เป็นหนทางหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แม้ภายใต้ความรู้สึกไร้ตัวตน ถึงแม้ภายนอกเธอจะมีภาพลักษณ์สายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่เบื้องลึกกลับเต็มไปด้วยความตกต่ำ การเสพซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลายเป็นจุดแตกหักในชีวิต

‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันคืออาการป่วย’ เธอกล่าว

การบำบัดจึงเป็นเสมือนความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง Taylor ตัดขาดจากเพื่อนผู้ใช้ยา หันหน้าเข้าสู่การบำบัดและการฝึกทางจิตวิญญาณ เธออาศัยพลังความรักจากคู่รักและเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอจมดิ่ง และในที่สุดเธอพบกับการเยียวยาผ่านเสียงดนตรี หรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’

‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’

สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการกล้าเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และเหนือสิ่งอื่นใด เธอยังตั้งเป้าหมายที่จะใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อต่อยอดและช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

ความเจ็บปวดนั้นนำเธอเข้าสู่ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อเป็นการหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกมีค่าภายใต้การไม่มีตัวตน แม้ว่าเธอจะมีภาพลักษณ์เป็นสายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่ภายในเธอเต็มไปด้วยความตกต่ำ กลับไปเสพยาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นการ Break Down ‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันเป็นอาการป่วย’

การบำบัดเป็นดั่งความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง เธอตัดขาดจากเพื่อนผู้ร่วมเสพ หันไปบำบัดและฝึกจิตวิญญาณ เธอพึ่งพาความรักจากแฟนและเพื่อนแท้ที่ไม่ปล่อยให้เธอจมดิ่ง จากทั้งหมดนั้น เธอได้พบกับการเยียวยาจากเสียงดนตรีหรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’

‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’ 

สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการตั้งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด นอกจากนั้นเขายังมีเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้อื่นเช่นกัน 

ป๊อปไอคอน พลังที่อยู่ภายใน และหนทางสู่การแสดงตัวตน

ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต Taylor ยกความดีความชอบให้กับเสียงเพลงในการนำทางเธอไปสู่แสงสว่าง โดยเฉพาะเพลงของ Mariah Carey ‘ฉันขอเรียกมันว่า Mariah Power’ สำหรับเธอ Mariah ไม่ได้เป็นแค่นักร้องชื่อดัง แต่เธอนั้นเป็นเหมือนดั่งจิตวิญญาณสูงสุด เพลงอย่าง  ‘Through the Rain’  หรือ ‘Can’t Take That Away’ นั้นเข้าถึงไปยังจิตใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งในเวลาที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยว

เรื่องราวของ Mariah ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็ง และเสียงของเธอ ย้ำเตือน Taylor ว่าไม่ว่าเธอต้องเผชิญอยู่กับอะไร ท้ายที่สุดมันยังมีแสงสว่างอยู่ในตัวเธอ และเธอจะไม่ยอมให้ใครพรากมันไป เพลงของ Mariah ทำให้เธอยังไม่ยอมแพ้แม้ว่าเธอจะแบกรับไม่ไหวแล้ว 

แฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของในการแสดงตัวตนของเธอ แว่นตาและสไตล์อันโดดเด่นนั้นสืบถอดมาจากครอบครัว ‘แม่และคุณยายรักแฟชั่น พวกเขาชอบสวมชุดจากแบรนด์ดังและสร้างลุคที่โดดเด่น ‘ฉันได้รับความคิดสร้างสรรค์มาจากพวกเธอแน่นอน’ 

Taylor Srirat
Photograph: Supathat T. - Time Out Thailand

แต่ว่าคนที่ทำให้เธอมีลุคที่โดดเด่นแบบนี้คือ Lady Gaga  ผ่านเธอ Taylor รับรู้ว่าสไตล์ไม่ได้แค่การลุคที่ดูดี แต่มันคือศิลปะ อิสรภาพ และการแสดงตัวตน ‘เธอช่วยให้ฉันเป็นควีนอย่างที่ฉันเป็นในทุกวันนี้’ 

Taylor ยังพบปะกับคนดังระดับโลกมากมาย เช่น Kim Kardashian, Kanye West และ Lady Gaga แต่คนที่โดดเด่นสำหรับเธอคือ Lindsay Lohan ‘เธอไม่ใช่แค่คนดังที่ฉันเจอ แต่เป็นคนที่ฉันเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ’ ลักษณะนิสัยที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปิดตัว และความเข้มแข็งของ Lindsay เข้ากับ Taylor ได้เป็นอย่างดี และเหมือนกับอีกหลายคน Lindsay ต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย และ Taylor ก็ชื่นชมกับความงามที่ Lindsay ได้สร้างให้กับตัวเอง

พลังแห่งความรัก

สำหรับ Taylor ความรักเป็นสิ่งจำเป็น ‘เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยไร้ความรัก?’ ความรักคือสิ่งที่เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นเป้าหมาย ความมืดให้กลายเป็นแสง และมอบพลังเมื่อทุกสิ่งพังทลาย

เธอมองความรักทั้งเป็นความรู้สึกและพลัง ‘มันเป็นพลังบวก เป็นการเยียวยา และเปลี่ยนแปลง มันผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้’ ผ่านความรักทีมีต่อตัวเอง จากผู้อื่น และจากชุมชน เธอพบพลังที่ทำให้เธอเอาชีวิตรอดจากการเสพติดและบาดแผล ‘ความรักช่วยเหลือฉันไม่วันที่ฉันไม่สามารถแม้แต่พยุงตัวเองได้’

พลังความรักนี้ยังเป็นหัวใจของหนังสือเล่มใหม่ของเธอ ‘ข้อความที่ฉันอยากสื่อออกไปคือ มันยังมีพลังอยู่ในตัวทุกคน แม้ว่าคุณจะรู้สึกแตกสลาย อับอาย หรือหลงทาง พลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรักตนเอง ความรักทางจิตวิญญาณ หรือการสนับสนุนจากชุมชนนั้นยังคงอยู่ ความรักนั้นช่วยฉันไว้ และฉันเชื่อว่ามันช่วยคนอื่นได้เช่นกัน’

ไม่ว่าเจอความท้าทายใด ทั้งการเสพติด บาดแผล ตัวตน หรือการถูกปฏิเสธ คุณมีพลังที่จะรอด คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ แค่ต้องแสดงตัวเองต่อไป สำหรับ Taylor หากหนังสือของเธอช่วยเพียงคนเดียวให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ให้พวกเขาพบกับคุณค่าในตัวเอง และการเยียวยานั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากจนทเเป็นไปไม่ได้ นั่นก็คือความสำเร็จสำหรับเธอแล้ว

ก้าวข้ามคำตีตรา สร้างแรงบันดาล ใจสู่การเยียวยา

เสียงตอบรับจากพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนถึงขั้นส่งข้อความตรงผ่านอินสตาแกรม เพื่อบอกว่างานของเธอมีความหมาย และเสียงของเธอสามารถเข้าถึงหัวใจของผู้ฟังได้เกินกว่าที่ได้คาดหวังไว้ บางคนที่กำลังต่อสู้กับการเสพติดหรือเผชิญหน้าอยู่กับความรู้สึกหลงทาง พอดแคสต์นี้ได้กลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้พวกเขา หลายคนตัดสินใจเข้าศูนย์บำบัดหลังจากฟังบทสัมภาษณ์ ในขณะที่บางคนเริ่มต้นการบำบัดทางจิตเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับการมองเห็นและเข้าใจแล้วจริงๆ

ในชีวิตประจำวันของ Taylor มักมีคนเข้ามาทักเสมอว่าชื่นชอบพอดแคสต์ของเธอ การได้เชื่อมต่อและเข้าถึงผู้ฟังในลักษณะนี้มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจ และทำให้ทุกความเจ็บปวด ทุกอุปสรรคที่ผ่านมาไม่สูญเปล่า ทว่าสำหรับ Taylor นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป้าหมายของเธอคือการขยายการสื่อสารสู่ผู้ฟังระดับนานาชาติ สร้างชุมชนที่แข็งแรงขึ้น ลดทอนอคติ และส่งต่อแรงบันดาลใจด้านการเยียวยาให้แพร่หลายไปในวงกว้างยิ่งกว่าเดิม

แขกรับเชิญในพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ไม่ได้ถูกเลือกมาเพียงเพราะความเชี่ยวชาญ แต่เพราะพวกเขามีประสบการณ์ตรงในประเด็นที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสพติด การถูกทารุณ การแสวงหาตัวตน การทำงานขายบริการทางเพศ ความอคติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต เธอเชื่อมั่นว่า ‘ทุกเรื่องราวมีคุณค่าในแบบของมัน’ ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเสพติดสร้างแรงบันดาลใจให้กับเธออย่างลึกซึ้ง ด้วยพลังความเข้มแข็งและการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน นักเคลื่อนไหวด้านการกุศลก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ทั้งความมุ่งมั่นและไฟในการทำงาน แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม

Taylor Srirat
Photograph: taylorsrirat

หนึ่งในแขกรับเชิญที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับ Taylor Srirat ก็คือ ‘มาม่าซัง’ Taylor กล่าวว่า ‘เธอทั้งฉลาด จริงใจ และเป็นเฟมินิสต์ที่เด็ดเดี่ยว ปกป้องลูกๆ ในแบบที่แม่แท้ๆ ของชั้นไม่ก็สามารถทำให้ชั้นเห็นว่าความเข้มแข็งและความรักที่แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นยังไง’ แม้ในโลกที่มักพยายามลบตัวตนของคนอย่างมาม่าซังออกไป เธอกลับยืนหยัดในความจริงของตัวเอง พร้อมสอน Taylor ให้เข้าใจถึงพลังของความกล้า การปกป้อง และการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

หนทางสู่ ‘Wellness’ ในประเทศไทย

Taylor Srirat มองว่าการตีตราเกี่ยวกับการเสพติดยังคงฝังลึกอยู่ในสังคมไทย 

‘จนถึงวันนี้ มันยังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย’ เธอยังชี้ให้เห็นอีกว่า ความอับอายและความเงียบยิ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องพบเจอกับปัญหาที่หนักขึ้น หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเสพติดไม่ใช่สิ่งที่รักษาได้ยาก แต่มันคือปัญหาทางสุขภาพจิต และบ่อยครั้งมันถือเป็นกลไกในการรับมือกับความเจ็บปวด ความบอบช้ำ หรือความรู้สึกขาดการเชื่อมโยง ‘แทนที่จะได้รับการสนับสนุน ผู้คนกลับถูกตัดสิน’ เขาเสริม ว่า ‘มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำลายความเงียบ และเริ่มเปิดอกพูดคุยเรื่องการเสพติดด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ

Taylor Srirat ชี้ให้เห็นว่าในประเทศไทย การขาดความรู้ กฎเกณฑ์ และความตระหนักเรื่องกัญชา ทำให้การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นเรื่องเสี่ยง เขาเล่าว่า ‘ฉันเคยเห็นเด็กอายุแค่ 10 ขวบสูบกัญชาตามท้องถนน โดยไม่มีใครสอนหรือเตือนถึงความเสี่ยงที่จะตามมาเลย หากยังไม่มีการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาเสพติด สนับสนุนด้านสุขภาพจิต และสร้างความตระหนักในชุมชน การทำให้กัญชาถูกกฎหมายโดยไม่มีการศึกษา ก็เหมือนการสร้างความโกลาหลในอีกแง่หนึ่ง’

ในด้านที่สดใสขึ้น Taylor รู้สึกตื่นเต้นกับวงการสุขภาพของกรุงเทพฯ ที่กำลังเติบโต เธอกล่าวว่า ‘ตอนนี้มันบูมกว่าที่เคยเป็นมา’ และตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เขาได้ลองรับการเยียวยาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Crystal Healing และ Sound Bath ที่ช่วยทำให้จิตใจสงบ นอนหลับดีขึ้น และปรับสมดุลพลังงาน สิ่งที่เขาตื่นเต้นที่สุดคือการที่วงการสุขภาพกำลังจะกลายเป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโยคะกลุ่ม การทำสมาธิ Breathwork หรือ Community Sound Bath ที่เปิดให้เข้าร่วมทั้งในสวนสาธารณะและสตูดิโอ มันช่วยเชื่อมต่อและเยียวยาร่วมกัน เพราะการดูแลสุขภาพไม่ได้เป็นเรื่องของความสมบูรณ์แบบหรือการแข่งขันอีกต่อไป แต่มันคือการอยู่กับปัจจุบันและดูแลตัวเองให้ดีต่างหาก’ 

Taylor Srirat
Photograph: Supathat T. - Time Out Thailand

ก่อนจบบทสนทนาในครั้งนี้ Taylor ได้ฝากข้อคิดเอาไว้ว่า ‘จงเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากเป็น และเดินตามความฝันของคุณ แม้มันจะเป็นฝันที่น่ากลัวก็ตาม ปล่อยให้ความรักเป็นตัวนำทาง อย่าไปกลัว เพราะคุณสามารถทำได้ทุกอย่าง หากใส่ทั้งหัวใจและสมองลงไป อย่าให้ใครหรืออะไรมาทำให้แสงที่มีในตัวของคุณดับลง จงจำไว้ว่า คุณทรงพลัง คุณคู่ควร และคุณคือฮีโร่ของตัวเอง’

เรื่องเด่น
    การโฆษณา