Drag Race Thailand season II, Angele Anang
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

คุยกับ แองเจเล่ อานัง สาวข้ามเพศผู้ชนะการแข่งขัน Drag Race Thailand Season 2

เมคอัพอาร์ตทิสและนักแสดงผู้หลงใหลในสไตล์วินเทจ เซ็กซี่ จัดจ้าน กับก้าวกระโดดสู่การเป็นแดร็กควีนหน้าใหม่ของวงการ

Top Koaysomboon
การโฆษณา

แองเจเล่ อานัง หรือชื่อจริง อัญชลี อณังษ์ คือสาวข้ามเพศคนแรกที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน Drag Race Thailand ทั้งยังเป็นผู้เข้าแข่งขันคนแรกที่สามารถเอาชนะโจทย์ประจำสัปดาห์ได้ถึง 6 โจทย์ หลังจากการขบเคี้ยวแข่งขันกันมาอย่างยาวนานตลอด 12 สัปดาห์

แองเจเล่สั่งสมประสบการณ์จากการเป็นนางโชว์ตั้งแต่อายุยังน้อย และเรียนรู้ศิลปะการแต่งหน้าจากการเป็นเมคอัพอาร์ตทิสอีกกว่า 8 ปี ก่อนจะก้าวเข้ามาอยู่ใต้แสงไฟสปอตไลท์ในฐานะ Drag เพื่อระเบิดพลังความคิดสร้างสรรค์อันน่าทึ่งให้เราได้เห็นกันในรายการ Drag Race Thailand จนเราต้องขอไปนั่งพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ บทบาทในสังคม LGBT ไปจนถึงแผนการในอนาคตที่เธอวาดไว้ เพื่อทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

แองเจเล่เริ่มแสดงโชว์ตั้งแต่เมื่อไร

หนูเริ่มในตอนที่เด็กมากๆ เลยค่ะ แถมส่วนมากหนูจะอยู่กับเพื่อนผู้หญิง ก็เลยไม่ชินกับการอยู่ในกลุ่มกะเทย กลัวคนอื่นจะไม่ชอบตัวเอง กลัวถูกหมั่นไส้ อะไรอย่างนี้ กลายเป็นว่าหนูเลยมีท่าทางไม่มั่นใจในตัวเอง บุคลิกไม่ดี พี่ๆ เขาเห็นอย่างนั้นก็ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ทำให้หนูให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น พอหนูทำงานดี ได้เป็นตัวร้อง พี่ๆ ก็ร่วมยินดีกับหนูตลอด จนหนูเริ่มรู้สึกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ สุดท้ายก็รักครอบครัวนี้มาก

คิดว่าการได้เริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง

เยอะเลยนะ อย่างแรกคือได้ประสบการณ์การทำงาน ทำให้หนูได้ฝึกฝนเร็วกว่าคนอื่น พัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เรียนรู้ที่จะทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น แม้ว่าตอนแรกมันจะทำให้เรากลัวหรือไม่มั่นใจ อาจจะมีอุปสรรคบ้าง แต่มันก็ทำให้เราพยายามผลักดันตัวเองเข้ามาในวงการนี้ให้ได้ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เราถนัดและอยากทำจริงๆ

มีจุดสูงสุดอะไรในการเป็น Drag ที่แองเจเล่อยากไปให้ถึงไหม

เอาจริงไม่เคยวาดฝันว่าจะเป็นนางโชว์มาก่อนเลย ตอนเด็กๆ เคยคิดแค่ว่าอยากเป็นแดนซ์เซอร์วงอิเล็คโทนตามเวทีบ้านนอก แต่ว่าหลังจากที่หนูได้เป็นตัวร้องแล้ว ถึงได้มาคิดว่าอยากทำอะไรที่เป็นอิสระมากขึ้น เลยออกมาเป็น Drag แข่งในรายการนี้ ซึ่งพอชนะก็รู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว เลยคิดว่าจะแพลนไปทัวร์แสดงหลายๆ ที่เพื่อดื่มด่ำกับตรงนี้ก่อน เร็วๆ นี้ก็มีคิวจะไปแสดงที่สิงคโปร์กับมาเลเซีย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปทัวร์ในระดับโลก อย่างงาน DragCon (งานเฟสติวัลเฉลิมฉลองวัฒนธรรม Drag ที่สหรัฐอเมริกา) ที่อยากไปมากๆ แล้วคงจะพัฒนาฝีมือแสดงไปเรื่อยๆ เผื่อไปเป็นนักแสดงจริงจังเลยมากกว่า

ใช้เวลานานไหมกว่าจะเปิดใจกับที่บ้านว่าเป็น LGBT

ต้องยอมรับว่าตอนเด็กๆ หนูก็เป็นเด็กมีปัญหาคนหนึ่งเลย เพราะว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อย ก่อนที่ท่านจะเลิกกันแล้วพ่อก็ไปมีแฟนใหม่ จากนั้นแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง หนูเลยต้องไปอยู่กับพ่อ ซึ่งในทีแรกหนูก็รู้สึกไม่ชอบแฟนใหม่พ่อ ไม่ชอบสิ่งที่พ่อทำ เลยทำตัวมีปัญหา เกเร ไม่เรียนหนังสือ ตามประสาเด็กๆ พ่อเลยให้ช่วยงานทำธุรกิจโรงกลึงอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งตอนที่หนูเลิกกับแฟนคนแรก ซึ่งทำให้หนูปล่อยตัว ไว้ผมยาว ออกสาวเป็นกะเทย แล้วเริ่มทำงานที่ร้านคาราโอเกะไปเลย ซึ่งพ่อบอกเสมอว่าไม่ชอบให้ทำงานแบบนี้ คอยตามหนูกลับบ้านเรื่อยๆ แต่พอเขาได้เห็นว่ามีคนชอบการแสดงของหนูแค่ไหนในรายการ Drag Race เขาก็เริ่มเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น คอยช่วยเตือนให้หนูทำตัวดีๆ 

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ในฐานะผู้ชนะการแข่งขัน Drag Race คิดจะช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่ม LGBT ในแง่ไหนได้บ้าง

หลายแง่เลยค่ะ หนูมีความคิดเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมกันทางสังคม คือสังคมไทยก็เปิดกว้างด้านความคิดอยู่แล้วแหละ แต่ยังมีในด้านกฎหมาย ที่หนูคิดว่ากลุ่ม LGBT ทุกคนอยากได้ อยากมีสิทธิ์เท่ากับชาย-หญิง เช่น การแต่งงาน หรือ การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ที่มีในต่างประเทศแล้ว สังคมบางประเทศไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้นแต่ก็มีออกกฎหมายรองรับ หนูไม่รู้ว่าทำไมประเทศเรายังไม่รองรับ ไม่ให้สิทธิ์กลุ่ม LGBT สักที แต่คงไม่ถึงขนาดลงไปทำงานด้านการเมือง (หัวเราะ) เพราะหนูไม่ได้จบด้านนี้มา ไม่ได้รู้เรื่องการเมืองเยอะขนาดนั้น แต่หนูสามารถเป็นกระบอกเสียงไปบอกคนที่ทำด้านการเมือง เช่น พี่กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน ให้ได้รู้ว่าตอนนี้กลุ่ม LGBT ต้องการอะไร มองหาอะไรอยู่ อะไรแบบนั้นมากกว่า คงไม่ลงไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะทำไม่เป็น

ถ้าบอกว่าในสังคมไทยยังมีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่อกลุ่มสาวข้ามเพศอยู่ แองเจเล่เห็นด้วยหรือเปล่า

เห็นด้วยค่ะ มันคล้ายกับว่าเรายังเป็นคนชั้นที่สอง คือไม่รู้นะว่าคนที่ยังปิดกั้นเราเขามองเราอย่างไร แต่ยังมีบางผับที่กะเทยเข้าไม่ได้จริงๆ ทั้งที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็อยากจะสนุกสนาน มีช่วงเวลาดีๆ เหมือนกัน บางทีก็อึดอัดเพราะไม่รู้เราทำผิดอะไร รู้สึกเหมือนเขาคิดว่าเขาเหนือกว่าเรา ส่วนตัวหนูไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ อยากให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น ลองเทียบกันคุณเองมีสิทธิ์จะทำอะไรในชีวิตของคุณก็ได้ ดังนั้นทุกคนก็ควรมีสิทธิ์เป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น แต่เมื่อเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เราก็แค่เป็นตัวของตัวเองต่อไป

"เมื่อเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เราก็แค่เป็นตัวของตัวเองต่อไป"

ฝากอะไรถึงสาวข้ามเพศรุ่นเด็กสักหน่อยไหม

อยากบอกว่าให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าใครจะปฏิบัติกับเราอย่างไร ให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ อย่าอายที่จะทำในสิ่งที่เราชอบ ถ้าอยากแต่งหน้าก็แต่งเลย อยากเอาผมทัดหูก็ทัดเลยลูก อยากออกสาว แต๋วแตกแค่ไหนก็ทำ แต่ขอให้อยู่ในหลักของความดี อย่าไปเดือดร้อนใคร เพราะว่าสมัยก่อนพี่ก็ทำแบบนี้ และพี่ไม่เคยสนใจใครเลย แล้วมันทำให้เราได้ปล่อดปล่อย ได้ระบายออกมา ไม่ต้องกดดัน พอเราไม่กดดันตัวเองทุกอย่างมันก็จะออกมาดี แล้วเราจะมีความสุขจากข้างในจริงๆ โดยที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเราได้ เพราะเรามีเกราะป้องกันเป็น ‘ตัวเราเอง’

Drag Race Thailand season II, Angele Anang

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

อ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ

  • Travel

ก่อนจะมียุคออนไลน์ในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยติ๊กต็อก เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และแฮชแท็กสารพัด โลกของนักเดินทางในสมัยก่อนนั้นมีเพียงหนังสือเล่มเล็กปกสีน้ำเงินที่แบ็กแพ็กเกอร์ทุกคนต่างพกติดกระเป๋าไว้เสมอ แล้วใครกันที่เป็นผู้เขียนมันขึ้นมา หากไม่ใช่ชายหนุ่มผู้หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของสยามเมืองยิ้มอย่าง ‘โจ คัมมิงส์’ชายผู้จับปากกาเขียนไกด์บุ๊ก Lonely Planet Thailand เล่มแรก และเป็นผู้ที่หลงใหลในเมืองไทยแบบสุดหัวใจ ผู้พาคนทั้งยุคออกเดินทางไปรู้จักเสน่ห์ของอาณาจักรสยาม ตั้งแต่วัดที่งดงามที่สุด เมืองที่มีชีวิตชีวาไปจนถึงการนั่งตุ๊กตุ๊กที่ไม่มีวันลืม

ตัวผม ในฐานะนักเขียนที่บังเอิญมีหนังสือ Lonely Planet อยู่บ้าง จึงไม่พลาดโอกาสที่จะได้พูดคุยกับตำนานที่ยังมีลมหายใจคนนี้ ในพอดแคสต์ตอนล่าสุดของ Time Out Thailand เรานั่งคุยกันที่ สตูดิโอ Public House ซอยสุขุมวิท 31 และตามแผนที่วางไว้ เราเริ่มต้นสนทนาเป็นภาษาไทย ภาษาที่สองของเราทั้งคู่ ซึ่งกลายมาเป็นสื่อกลางในการคลี่เรื่องราว ชีวิต และการเดินทางของนักเขียน นักดนตรี นักแสดง และ ‘ไอคอนทางวัฒนธรรมโดยบังเอิญ’ คนนี้

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

‘จิตวิญญาณ’ เสียงเรียกแรกที่นำพาเขามาสู่แดนแห่งสยาม

เรื่องราวของคัมมิงส์เริ่มต้นไกลจากดินแดนอาคเนย์อันร้อนระอุ เขาเกิดที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา แต่เติบโตตามทุกพื้นที่ที่ผู้เป็นพ่อถูกส่งไปประจำการในฐานะนายทหาร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยมีบ้านเกิดอยู่ที่ใดเลย ‘พวกเราเปลี่ยนที่อยู่ทุกสองถึงสามปี’ โจย้อนเล่าถึงวัยเด็กที่เต็มไปด้วยการเดินทางของเขาและพ่อผู้รับใช้ชาติ

ดังนั้นการเดินทางจึงเหมือนอยู่ในสายเลือดของเขา และไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อกนกตัวนี้ได้บินออกจากรังตามเข็มทิศที่ชี้ตรงไปทางทิศตะวันออก เขาโผยบินลงที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างน่าหลงใหลและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่รอให้ถ่ายทอด

เขาเล่าว่า กรุงเทพฯ ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เป็นเมืองที่ ‘ช้ากว่า สงบกว่า และอากาศแย่ยิ่งกว่าทุกวันนี้เสียอีก’ เมืองที่ยังไม่มีทั้งรถไฟฟ้าและสะพานลอย มีเพียงรถเมล์ควันดำโขมง (ใช่เลย แบบเดียวกับที่เรายังเห็นอยู่ทุกวันนี้) กรุงเทพฯ ในวันนั้นทั้งโกลาหลและเปรี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ในเวลาเดียวกัน จนในที่สุดเขาก็ย้ายขึ้นเหนือสู่เชียงใหม่ เมืองที่เปิดประตูให้เขาได้พบกับความสงบ ความคิดสร้างสรรค์ และผู้คนที่กลายเป็นชุมชน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบ้านของเขายาวนานกว่าทศวรรษ

แต่ก่อนหน้าเขาจะริเริ่มคิดที่จะเขียนหนังสือไกด์ท่องเที่ยว สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของโจไปตลอดกาลคือหนังสือปกอ่อนเล่มหนึ่งที่เขาค้บพบบนชั้นหนังสือที่ฝุ่นเกาะเขลอะในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หนังสือปกอ่อนเล่มนั้นคือหนังสือรวมธรรมเทศนาของ อาจารย์พุทธทาสภิกขุ หนึ่งในพระมหาเถระที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของไทย ซึ่งคงเป็นของหายากไม่น้อยในฝั่งตะวันตกในเวลานั้น ราวกับว่าโชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้วให้เขาได้พบมัน

‘คำสอนของท่านลึกซึ้งและไม่เหมือนที่ใดในโลก’ โจเล่า สำหรับนักศึกษาชาวอเมริกันในยุค‘70s การหลงใหลในคำสอนของพระภิกษุไทยอาจดูเป็นเรื่องประหลาด แต่หนังสือเล่มนั้นได้ปลุกบางสิ่งในใจเขาบางสิ่งที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขาไปตลอดกาล

Joe Cummings
Photograph: Time Out

หลังเรียนจบ เขาเข้าร่วมหน่วยสันติภาพ (Peace Corps) ด้วยจุดหมายที่ชัดเจนคือประเทศไทย ผ่านบทบาทอาสาสมัครที่พาเขาเดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้ และที่นี่เอง เขาก็วางแผนจนได้พบกับอาจารย์พุทธทาสภิกขุด้วยตนเอง 

‘ผมพักอยู่กับท่านสามสัปดาห์ และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับอิทธิพลจากท่านมาตลอดชีวิต’ เขาเล่าอย่างละเมียดละไม

โชคชะตาอาจไม่ได้กำหนดให้เขาเป็นพระ แต่กลับทำให้เขากลายเป็น ‘สะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม’ ความสงบและความเข้าใจในพุทธศาสนาแบบไทยค่อยๆ หล่อหลอมวิธีคิดและวิธีเขียนของเขาเกี่ยวกับประเทศนี้ในเวลาต่อมา แต่สิ่งที่ฝังอยู่ในใจคัมมิงส์มากที่สุดกลับไม่ใช่เสียงสวดหรือการทำสมาธิ หากคือการตระหนักรู้ถึง ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของเขาเอง และถ้อยคำอันลึกซึ้งแทงทะลุจิตวิญญาณจากครูบาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพุทธธรรม

เขายังจำได้ดีถึงบทสนทนาหนึ่งระหว่างเดินในป่า ‘วันหนึ่งท่านถามผมว่า ‘ทำไมเธอถึงชอบเดินทาง?’ ผมตอบว่า เพราะอยากเรียนรู้ พบผู้คน ศึกษาวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม’ เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนเล่าต่อ แต่ท่านตอบว่า ‘ไม่ใช่หรอก... โยมชอบเดินทาง เพราะไม่ว่าโยมจะไปที่ไหน โยมไม่ต้องเป็นเจ้าของอะไรเลย’

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

ชีวิตที่ขีดเส้นด้วยกระเป๋าแบ็กแพ็กและสมุดบันทึก

ถ้อยคำจากอาจารย์พุทธทาสยังคงก้องอยู่ในใจ และกลายเป็นแนวทางสงบๆ ที่กำหนดเส้นทางชีวิตของเขาตลอดมา การเดินทางสำหรับคัมมิงส์จึงไม่ใช่เรื่องของการสะสมตราประทับในพาสปอร์ตอีกต่อไป แต่คือการ ‘ปล่อยวาง’ เพื่อเปิดใจรับทุกประสบการณ์อย่างแท้จริง

เฉกเช่นเดียวกับนักเดินทางผู้รักการค้นคว้าในยุคนั้น เขาเสาะหาข้อมูลจากทุกที่ที่พอจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้คน พระสงฆ์ ป้ายข้างทาง ไปจนถึงห้องสมุด วันหนึ่งเขาบังเอิญพบกับหนังสือ Lonely Planet ฉบับเมียนมาและศรีลังกายุคแรกๆ มันทำให้เขาหลงใหลในสำนวนการเขียนและประทับใจที่หนังสือเล่มนั้นช่วยให้เขาออกเดินทางได้ด้วยตัวเอง จนตัดสินใจเขียนจดหมายแอร์โอแกรมถึงผู้ก่อตั้ง โทนีและมอรีน วีลเลอร์ พร้อมความหวังลึกๆ ว่าจะได้รับคำตอบกลับ

แล้วอะไรคือสิ่งที่เขาพิชไป? ‘นักท่องเที่ยวที่มาไทยมีจำนวนมากกว่าเมียนมาและศรีลังการวมกัน ทำไมไม่ให้ผมเขียนไกด์บุ๊กสำหรับประเทศไทยล่ะ?’

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา จดหมายตอบกลับก็มาถึง วีลเลอร์สนใจสิ่งที่เขาพิชไปและตัวอย่างงานเขียนสองหน้าของเขาเกี่ยวกับเกาะสีชัง ก็เพียงพอจะทำให้เขาได้รับเงินล่วงหน้าเล็กน้อยและตั๋วเที่ยวเดียวสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่

คัมมิงส์เริ่มต้นเดินทางทั่วประเทศด้วยรถบัสเก่าๆ โคลงเคลงๆ นอนในวัด และเก็บทิปส์เด็ดๆ ระหว่างบทสนทนาจากนักดื่มในตลาดกลางคืน เขาค่อยๆ วาดแผนที่ประเทศไทยผ่านผู้คนและเรื่องราวที่ได้พบเจอ จนกลายเป็นหนังสือขนาดเพียง 128 หน้า ที่ต่อมากลายเป็น ‘คัมภีร์ของนักแบ็กแพ็กเกอร์’ และอาจกล่าวได้ว่า เป็น ‘พาสปอร์ต’ ที่พาโจ คัมมิงส์ เดินทางสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอันไม่รู้จบ

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า Lonely Planet 

ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี คัมมิงส์ยังคงเขียนให้กับ Lonely Planet อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในเสียงสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของนิตยสาร แต่เส้นทางอาชีพของเขาก็ค่อยๆ ขยายออกไปไกลกว่าหน้ากระดาษ

ใน พ.ศ. 2546 ปีเดียวกับที่เขาได้พบกับ แอนโทนี บอร์เดน เป็นครั้งแรก โจได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ฟังดูเหมือนเรื่องที่โดนแกล้ง เพื่อนคนไทยของเขาซึ่งทำงานเป็นฟิกเซอร์ ถูกติดต่อจากทีมโปรดิวเซอร์ของ A Bigger Bang สารคดีทัวร์รอบโลกของ The Rolling Stones เพื่อขอให้ช่วยจัดหาสถานที่ในกรุงเทพฯ สำหรับมิค แจ็กเกอร์ และสมาชิกวงไว้พักผ่อน กินดื่ม และสังสรรค์

‘เพื่อนผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า The Rolling Stones คือใคร’ โจหัวเราะ ‘เขาเลยโทรมาหาผม ผมก็บอกไปว่า ‘ได้สิ ฉันน่าจะช่วยได้นะ’

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา คัมมิงส์ก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งดื่มเบียร์สิงห์อยู่ริมถนนในเมืองหลวง กับหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ระหว่างนั้น ทัวร์ของวงในมุมไบถูกยกเลิกกะทันหัน ทำให้มิคตัดสินใจอยู่ต่อ และเดินทางต่อไปยังลาว กัมพูชา และอีกหลายเมือง ตามคำแนะนำของโจ

และดูเหมือนการเดินทางครั้งนั้นจะทิ้งร่องรอยไว้ในใจลึกกว่าที่ใครคาดคิด ว่ากันว่า หลังจากแฟนสาวของมิค แจ็กเกอร์ เสียชีวิต เขาได้กลับไปยังหลวงพระบาง และใช้เวลา 10 วันในวัดแห่งหนึ่งที่โจเคยแนะนำไว้เมื่อหลายปีก่อน ราวกับกำลังแสวงหาความสงบและการเยียวยาทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ต่างจากที่โจเคยทำเมื่อเริ่มต้นเส้นทางชีวิตของเขาเองหลายทศวรรษก่อนหน้า

Joe Cummings
Photograph: Joe Cummings

‘เตียงนอนอันแสนสบาย’

กว่า 40 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย โจ คัมมิงส์ได้พิสูจน์ตัวเองทั้งในฐานะนักวิชาการและคนโลคอลตัวจริง ถ้าถามว่าเย็นวันศุกร์เขามักจะไปอยู่ที่ไหน คำตอบคงไม่ใช่ห้องสมุด หากแต่เป็นเก้าอี้ในบาร์โดยเฉพาะที่ We Didn’t Land on the Moon (Since 1987) บาร์ศิลปะสุดแสบจากเชียงใหม่ที่มีสาวกเหนียวแน่นในกรุงเทพฯ

ทุกวันนี้ เส้นทางอาชีพของโจได้ขยายไปแทบทุกแขนงของวงการครีเอทีฟ ตั้งแต่การแต่งเพลงให้ภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ การแสดงในหนังนับไม่ถ้วน ไปจนถึงการเขียนหนังสือที่ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ไปจนถึงจิตวิญญาณ นอกจากผลงานกับ Lonely Planet แล้ว คัมมิงส์ยังเป็นผู้เขียนหนังสือ Sacred Tattoos of Thailand: Exploring the Magic, Masters and Mystery of Sak Yant, หนังสือ Buddhist Stupas in Asia: The Shape of Perfection และหนังสือ Chiang Mai Style ซึ่งล้วนสะท้อนความหลงใหลในศิลปะและวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างถ่องแท้

บนจอภาพยนตร์ เขาได้ปรากฏตัวในผลงานอย่าง มอร์ริสัน (Morrison), แสงกระสือ, ถ้ำหลวง ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) และ นางนอน (The Cave) พร้อมทั้งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังในฐานะนักแต่งเพลงและที่ปรึกษาด้านครีเอทีฟให้ทั้งวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ เขาเคยพาแอนโทนี บอร์เดน ตะลุยทั่วประเทศไทยในรายการ Parts Unknown และยังเล่นกีตาร์ในวง Rolling Stones Cover Band อีกด้วย (ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็เห็นความแตกต่างที่ประชดประชันในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน)

ชายต่างชาติที่เข้าใจและถ่ายทอดหัวใจของแผ่นดินนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าคนไทยหลายคน เขาคือคนที่ใช้ชีวิตหลายบทบาท หลายเส้นทาง แต่ทั้งหมดนั้นหลอมรวมเป็นตัวตนเดียว - ตัวตนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หลงรักประเทศไทย...อย่างผมเอง

เมื่อบทสนทนาจบลง เสียงไมค์เริ่มสงบ ความเกร็งจางหาย ผมอดไม่ได้ที่จะหยอกเขาว่า “ตอนนี้คุณกลายเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งของประเทศไทยแล้วนะ”
เขาหัวเราะ ยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับมาทันทีว่า “งั้นผมคงเป็น...เตียงที่แสนสบายล่ะสิ”

ชายต่างชาติผู้เข้าใจและถ่ายทอดหัวใจของแผ่นดินนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าคนไทยหลายคน โจ คัมมิงส์คือผู้ชายที่ใช้ชีวิตผ่านหลากหลายบทบาทและเส้นทาง แต่ทั้งหมดนั้นกลับหลอมรวมเป็นตัวตนเดียวกันอย่างงดงาม ตัวตนที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครก็ตามที่หลงใหลในประเทศไทย...อย่างผมเอง

เมื่อบทสนทนาสิ้นสุด เสียงไมค์ค่อยๆ เงียบลง ความเกร็งที่เคยมีจางหายไป ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแหย่เขาเล่นว่า

‘ตอนนี้คุณกลายเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ประจำประเทศไทยไปแล้วนะ’

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนยิ้มกว้างตอบกลับมาทันทีว่า

‘งั้นผมก็คงเป็น...เตียงที่แสนสบายล่ะสิ’

สามารถฟังบทสัมภาษณ์เต็มได้ทาง YouTube ช่อง Time Out Thailand (พร้อมซับภาษาอังกฤษ และมีการแก้แกรมมาร์เล็กน้อย ก็แหงล่ะ ภาษาไทยเป็นภาษาที่สองของเราทั้งคู่) ที่นี่

  • Things to do

ในยุคที่โลกโซเชียลหมุนไปอย่างรวดเร็ว และ TikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่ให้ใครก็ได้ลุกขึ้นมาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ หนึ่งในเสียงที่โดดเด่นและทรงพลังที่สุด คือเสียงของ ‘โซเฟีย–ศศิกานต์ วงค์งาม’ หรือที่หลายๆ คนรู้จักเธอในนาม ‘ดาราโซเฟีย’ อินฟลูเอนเซอร์สาวที่กล้าใช้ความจริงใจและอารมณ์ขันสะท้อนมุมมองต่อสังคมอย่างไม่กลัวคำวิจารณ์ 

จากนางแบบวัยรุ่น สู่บทบาทของผู้เป็นแม่ และเจ้าของธุรกิจ ที่ใช้ TikTok ไม่เพียงเพื่อสร้างรอยยิ้ม แต่ยังเป็นพื้นที่พูดคุยในเรื่องที่หลายคนไม่กล้าพูด ทั้งประเด็น Beauty Standard ความเท่าเทียม และประเด็นทางสังคมอื่นๆ อีกมากมาย เสียงของเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงจำนวนมากกล้าที่จะ รักและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

วันนี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับโซเฟียอย่างใกล้ชิด ถึงเรื่องราวชีวิต เส้นทางการทำคอนเทนต์ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วประเทศ และมุมมองต่อสังคมในโลกออนไลน์ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘ความสวย’ สำหรับเธอ ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา แต่อยู่ที่การกล้าเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

จากนางแบบวัยรุ่นสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์

เส้นทางของดาราโซเฟียเริ่มต้นตั้งแต่อายุเพียง 15–16 ปี จุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายจากวันหนึ่งที่เธอไปกินพิซซ่ากับเพื่อน และบังเอิญได้พบกับเจ้าของร้านซึ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง เขาจึงชวนให้โซเฟียลองไปถ่ายแบบด้วยกัน ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่พาเธอก้าวเข้าสู่วงการนางแบบอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มส่งคอมการ์ดไปตามงานต่าง ๆ ได้รู้จักผู้คนในแวดวงแฟชั่นมากขึ้น และเริ่มมีผลงานการถ่ายแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไป โซเฟียค่อยๆ ขยับจากโลกของแฟชั่นเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยเลือก TikTok เป็นพื้นที่ใหม่ในการเล่าเรื่องราวของตัวเอง ช่วงแรกๆ คอนเทนต์ของเธอมีความหลากหลาย ทั้งคลิปเต้น ตลกขบขัน หรือแม้แต่พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติและสีผิวอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อฐานผู้ติดตามเริ่มขยายใหญ่ขึ้น โซเฟียก็เริ่มใช้พื้นที่นี้ในการพูดถึง ประเด็นสังคม ที่เธอให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยในแบบของตัวเอง มาตรฐานความงาม หรือมุมมองต่อบทบาทของผู้หญิงในสังคม

การเปลี่ยนผ่านจากนางแบบสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่เพียงทำให้โซเฟียได้แสดงตัวตนมากขึ้น แต่ยังทำให้เสียงของเธอกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนกล้าที่จะ ยอมรับและภูมิใจในความเป็นตัวเอง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

TikTok พื้นที่ในการสื่อสารและแสดงความเป็นตัวเอง

โซเฟียเล่าว่า เธอเป็นคนที่ชอบ ‘พูด’ มาตั้งแต่เด็กๆ หากย้อนกลับไปในช่วงประถม เธอมักจะรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อถ่ายคลิปเล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การแสดง หรือพูดคุยกันสนุกๆ 

‘เฟียจะมีกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สมัยที่ยังใช้โทรศัพท์ซัมซุงที่กล้องยังไม่ค่อยดี เราก็จะอัดคลิปกันแล้วก็ทำการแสดง ร้องเพลง เฟียเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็กเลย แต่เวอร์ชันที่เราโตแล้วเราก็ต้องมีความคิดที่มันคิดไตร่ตรองมากขึ้นจะไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราอยากจะพูดอะไรก็พูด’ 

เมื่อโตขึ้น โซเฟียเริ่มใช้เหตุผลและมุมมองที่ลึกซึ้งกว่ามากในการพูด เธอเลือก TikTok เป็นพื้นที่ในการสื่อสาร เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้พูดคุยและรับฟังกันอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือ TikTok ทำให้เธอสามารถเข้าถึงผู้คนหลากหลายกลุ่มได้ง่ายและรวดเร็ว เธอมองว่าไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าวหรือคนดังถึงจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในประเด็นสังคม

‘ทุกครั้งที่พูดเรื่องประเด็นสังคม มันทำให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้ รู้สึกว่ามันคือการคุยกันของประชาชนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ฟังจากข่าว’

สำหรับโซเฟีย การใช้เสียงของตัวเองใน TikTok ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความดัง แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน และเข้าใจมุมมองของกันและกันในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

ความมั่นใจ รากฐานสำคัญที่สร้างจากครอบครัว

โซเฟียเล่าว่าความมั่นใจของเธอไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะบุคลิกส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นผลมาจาก สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูในครอบครัวที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก เธอเติบโตมาในชุมชนเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดี 

‘ทุกคนในซอยเราจะรู้จักกัน หลังเลิกเรียนเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูง แล้วก็เตรียมเปิดคอนเสิร์ตในซอยบ้านเพราะฉะนั้นคนที่นั่นเขาก็จะเห็นจนชิน เรียกว่าซัพพอร์ตทุกๆ ทาง ทั้งบอกให้ไปประกวดรายการนั้นรายการนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ให้ความมั่นใจเรามาเหมือนกัน แม่จะบอกเสมอว่า ถ้าเกิดมีใครว่าหรือแกล้งให้เราทำกลับสองเท่า อย่าไปยอม’

คำสอนนี้ได้กลายเป็นเกราะป้องกันทางอารมณ์ที่ทำให้เธอก้าวผ่านคำวิจารณ์และความกดดันต่างๆ ได้อย่างมั่นคง สำหรับโซเฟีย ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่มันคือสิ่งที่ค่อยๆ สร้างขึ้นในทุกวัน จากครอบครัวที่เข้าใจ สิ่งแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงออก และความรักที่ทำให้เธอกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองในทุกช่วงเวลาของชีวิต

จากประเด็นดราม่า สู่คลิปไวรัลที่พูดแทนใจใครหลายคน'

เมื่อถามถึงประสบการณ์การเจอกับคอมเมนต์แรงๆ หรือดราม่าบนโลกออนไลน์ โซเฟียหัวเราะเบาๆ ก่อนเล่าว่า แน่นอนว่าเคย โดยเฉพาะช่วงที่พูดถึงเรื่อง Beauty Standard ที่กลายเป็นคลิปไวรัลในเวลาต่อมา 

‘แทนที่จะโต้กลับด้วยความโกรธ เธอเลือกตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน เพราะเราคิดในใจว่าถ้าจะตอบกลับคนแบบนี้ ต้องใช้มุกตลกแทนการโต้แรงๆ เพราะเรารู้ว่าเขาขึ้นมาปั่นหัวเรา ถ้าเราไปซีเรียสก็เท่ากับว่าแพ้เกมเขา’

ซึ่งแนวทางนี้เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคลิปไวรัลที่พูดถึง Beauty Standard อย่างมีอารมณ์ขันและความมั่นใจโซเฟียอธิบายว่า เหตุผลที่ตัดตอนหนึ่งของคลิปนั้นมาลง TikTok เพราะผู้ชายคนดังกล่าวพูดว่า ‘พี่โซเฟียไม่ตรง Beauty Standard ผู้ชายไทย’ เธอจึงรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะพูดถึงประเด็นนี้ในมุมของตัวเอง 

‘จริงๆ เฟียไม่ค่อยพูดเรื่อง Beauty Standard บ่อย ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องสังคมหรือประเด็นเชิงความคิดอื่นๆ มากกว่า แต่ครั้งนี้เรารู้เลยว่ามันคือจุดที่ควรพูด เพราะมันสะท้อนมุมมองของคนในสังคมได้ชัดมาก’

ในที่สุด คลิปนั้นก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วทั้ง TikTok และกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการรับมือกับดราม่าอย่างชาญฉลาด ด้วยอารมณ์ขันและความเข้าใจในมนุษย์ มากกว่าการปะทะกันด้วยอารมณ์

จากคลิปไวรัลเรื่อง Beauty Standard ที่พูดถึงมาตรฐานความสวยในสังคม จนมียอดเข้าชมกว่า 14.8 ล้านครั้ง โซเฟียยังคงใช้เสียงของตัวเองพูดในประเด็นที่เธอเชื่อว่าควรถูกหยิบยกขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘เด็กแต่งตัวเกินวัย’ ประเด็นที่กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์

‘เรื่องมันเกิดจากการที่เราเลื่อนดูโซเชียลแล้วเห็นคลิปเด็กหลายคลิปที่ไวรัล มียอดวิวสูง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย เราเลยรู้สึกว่าควรพูดถึง เพราะเรามีลูกสาวด้วย ถ้าเราพูดเรื่องนี้ออกมา มันอาจทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนได้คิดว่าก็จริงนะ เพราะโลกออนไลน์มันไม่ได้มีแค่ด้านดีอย่างเดียว’

โซเฟียอธิบายต่อว่า โลกออนไลน์มีด้านที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่ทันมองเห็น โดยเฉพาะอันตรายจากกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเด็ก ด้านที่มืดมันเยอะกว่าที่เราเห็นในข่าว การที่พ่อแม่โพสต์ภาพลูกแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย มันอาจดูน่ารักในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งรูปเหล่านั้นจะอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดไป และเราไม่รู้เลยว่าใครจะเอาไปใช้ทำอะไร”

แม้จะมีทั้งคนเห็นด้วยและคนเห็นต่าง แต่โซเฟียยืนยันว่าความตั้งใจของเธอคือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น 

‘เราตั้งใจให้คอนเทนต์เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิด เพราะความเห็นของคนเราไม่มีใครถูกหรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ การฟังมุมมองของคนอื่นเป็นโอกาสให้เราเรียนรู้เหมือนกัน’

เธอยกคำพูดภาษาอังกฤษที่ชอบว่า ‘Put yourself in someone else’s shoes’ — ลองสวมรองเท้าของคนอื่นดู เพื่อเข้าใจมุมมองของเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อาจพลาดไป ในฐานะคุณแม่ โซเฟียเชื่อว่าการพูดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเพราะมันอาจช่วยให้พ่อแม่หลายคนตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกในยุคโซเชียล ‘เราเป็นแม่คนแล้ว ลูกเราก็เป็นลูกสาว เราเลยรู้สึกว่าต้องพูดเรื่องนี้ และอยากให้ทุกอย่างมันเหมาะสมมากขึ้น’

คอนเทนต์ไม่ตามเทรนด์ แต่เน้นเล่าเรื่องรอบตัว

โซเฟียเล่าว่าเธอไม่ได้ทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ทุกครั้ง แต่จะสังเกตสิ่งรอบตัวและหยิบเรื่องที่รู้สึกว่าน่าสนใจ หรือเรื่องที่น่าจะสร้างการถกเถียงในกลุ่มผู้ชมมาพูด ทำให้คลิปแต่ละชิ้นที่ออกไปเป็นสิ่งที่กลั่นกรองมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่การคาดหวังผลลัพธ์ล่วงหน้า แต่เป็นการแชร์มุมมองของเธอเองอย่างแท้จริง

‘บางครั้งถ้าเกิดเรานั่งๆ อยู่แล้วเห็นอะไรที่มันรู้สึกว่าเอ๊ะ เรื่องนี้ถ้าเราพูดมันน่าจะมีคนเข้ามาถกเถียงกันก็จะยกมาพูด เราจะสังเกตจากสิ่งรอบๆ ตัวแล้วก็หยิบประเด็นคิดว่าน่าสนใจ ก็จะเอามาทำเป็นคลิปวีดิโอ ไม่เคยทำคลิปแบบว่าคาดหวังเลยค่ะ’

บทเรียนครั้งสำคัญ ลดอีโก้และกลั่นกรองก่อนโพสต์

โซเฟียเล่าว่ามีหลายคลิปที่เธอทำแล้วเป็นบทเรียนสำคัญ โดยเฉพาะคลิปเกี่ยวกับ ‘นางเงือกผิวดำ’ ของดิสนีย์ ตอนนั้นเธออายุประมาณ 22 ปี 

‘พอทำคลิปมาแล้วปรากฎว่าคอมเมนต์ก็คือโดนถล่มโดนดราม่าเลย แล้วตอนนั้นด้วยความที่เราอีโก้สูงมากไม่รับฟังความเห็นต่างทั้งสิ้น เราก็ตอบกลับคอมเมนต์แบบไม่ดี แล้วพอเรากลับไปดูในวิดีโอแล้วรู้สึกว่า เราอีโก้สูงเหมือนกันนะ วิดีโอนี้เป็นวิดีโอที่สอนเฟียได้เยอะมากในการใช้โซเชียลมีเดีย ว่าเราก็ต้องกลั่นกรองและต้องลดอีโก้ลงมาด้วย เพราะเราไม่ได้รู้ทุกอย่างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือควรหาข้อมูลก่อนที่เราจะทำวิดีโอ’

‘การทำโซเชียลมันมีสองด้านอยู่แล้ว มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เราไม่ควรโกรธเขา แต่ควรคิดวิเคราะห์และยอมรับ’

ช่วงเวลาที่ท้าท้ายในการทำคอนเทนต์

‘ยากที่สุดน่าจะเป็นช่วงเวลาการตัดวิดีโอค่ะ เพราะเฟียก็แค่ตั้งกล้องแล้วก็พูดไปเลยยาวๆ สองสามนาที แล้วก็มาตัด มีคำพูดไหนที่เรารู้สึกว่าคนฟังแล้วมันจะต้องเอ๊ะแน่นอนเราก็ตัดออก แล้วก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ รู้สึกว่าเราต้องผ่านกระบวนการคิดและมั่นใจว่ามันไม่ได้มีอะไรที่มันจะไปถูกจิตใจของคนอื่น

จุดแข็งของช่อง: ความมั่นใจและสไตล์การเล่าเรื่องที่ดึงดูดทุกวัย

‘เฟียคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะการพูดแล้วก็ความมั่นใจ ที่น่าจะเป็นจุดแข็งมากที่สุดที่ทำให้คนเข้าอยากเข้ามาดูเรา ส่วนประเด็นหรือสิ่งที่เราพูดก็อาจจะมีส่วนด้วย บางทีมันก็สลับกันไป เพราะส่วนใหญ่คนที่มาดูก็มีทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กๆ ที่เข้ามาติดตาม

ถ้าตอนนี้หลักๆ คนดูส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยรุ่นรีเจนซี’

ธุรกิจไอศกรีมและการสื่อสารตัวตนผ่านคอนเทนต์

นอกจากการทำคอนเทนต์ โซเฟียยังมีธุรกิจไอศกรีมกับสามีที่ชื่อว่า ‘Freshy Water Ice’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเธอรับผิดชอบด้านมาร์เก็ตติ้งและคอนเทนต์ ส่วนสามีดูแลการจัดการร้านเต็มตัว เธอย้ำและให้เครดิตแฟนเต็มร้อย ส่วนตัวเองโฟกัสทั้งงานคอนเทนต์ การตลาด และการเลี้ยงลูก แม้ว่าธุรกิจนี้จะดูต่างจากการพูดเรื่องสังคม แต่โซเฟียปรับโทนคอนเทนต์ให้เข้ากับสินค้า ขนมหวานคัลเลอร์ฟูลและสนุกสนาน แต่ท้ายที่สุดก็ยังสะท้อนตัวตนและสไตล์ของเธอผ่านการสื่อสารบนโลกออนไลน์

ความสุขจากการสร้างรอยยิ้มและพลังบวก

สิ่งที่ทำให้โซเฟียมีความสุขที่สุดในการทำคอนเทนต์คือการทำให้คนอื่นหัวเราะและมีรอยยิ้ม เธอเล่าว่าตั้งแต่เด็กๆ ชอบทำให้คนรอบตัวหัวเราะ ‘อย่างที่เคยพูดนะคะตอนเด็กๆ เวลาอยู่ในซอยบ้านเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูงเดินไปมา แล้วก็มีคนพูดว่าลองไปประกวดอันนั้นสิ เราก็จะรู้สึกแฮปปี้เวลาที่คนอื่นเขามีความสุข เพราะเราชอบส่ง Positive Energy ให้คนอื่นอยู่แล้ว’ และนี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เธอสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

มุมมองต่อความมั่นใจและความสวยในแบบของตัวเอง 

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

เมื่อมองตัวเองในวันนี้ ‘โซเฟียคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นใจขึ้นมาก กล้าพูด กล้าฟัง และกล้าเรียนรู้จากความผิดพลาด สำหรับเธอความมั่นใจไม่ได้หมายถึงการต้องเป็นคนถูกเสมอ แต่คือการกล้าที่จะเป็นตัวเองโดยไม่เปรียบเทียบกับใคร อยากให้ลองถามตัวเองว่าการทำตาม Beauty Standard นั้นทำไปเพื่อใคร เพื่อความพอใจของตัวเองหรือเพื่อคนอื่น เพราะความสวยที่แท้จริงอยู่ที่ความคิดของเรา’ โซเฟียทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อคิดที่ทรงพลังว่า’

‘ความสวยก็เหมือนดอกไม้ แต่ละดอกมีความงามต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ทุกคนก็สวยในแบบของตัวเอง’
การโฆษณา
  • Movies

เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ เชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เพราะเขาคือบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่มาทุกยุค ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เริ่มต้นจากการเป็นมือกีตาร์วงร็อกแอนด์โรลอย่าง Slur ในปลายยุค 90s จนก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กับการเป็นนักแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ ก่อนจะขยับสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ที่หลายคนคาดไม่ถึงกับผลงานหนังเรื่องแรกของเขา ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ซึ่งไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮาในไทย แต่ยังพาเขาไปไกลถึงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติต่างแดน

ระหว่างการถ่ายทำบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้ เราได้ยกกองไปยัง REC.Bangkok บาร์น้องใหม่สุดหรูใจกลางถนนวิทยุ ซึ่งมุมแสงและบรรยากาศภายในร้านช่วยสะท้อนตัวตนของเป้ออกมาได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่ความเท่ ความจริงจัง ไปจนถึงความสนุกสนานขี้เล่นตามสไตล์ของ เป้ อารักษ์

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ความท้าทายในทุกตัวตน

ไม่ว่าจะในฐานะนักร้อง นักแสดง หรือผู้กำกับ แต่ละหมวกที่ เป้ อารักษ์ สวมใส่ล้วนมาพร้อมความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเสมอคือความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานออกมาดีกว่าที่ใครคาดหวังไว้

อย่างบทบาทของการเป็นนักแสดงเขาเล่าว่า ความท้าทายคือการทำยังไงให้ผู้กำกับหรือคนสร้างงานพอใจ ผู้สร้างอาจต้องการแค่ระดับหนึ่ง แต่เป้ยืนยันว่าใจจริงแล้วก็อยากทำให้เขาได้มากกว่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้เท่าที่เขาคาดหวังไว้

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นนักดนตรี ความท้าทายคือการทำยังไงให้เพลงที่ตัวเองชอบคนอื่นชอบด้วย เพราะเขาเองไม่ได้ทำเพลงแบบอาร์ตเฮ้าส์ แต่ทำเพลงป๊อปปูลาร์มิวสิก เพราะฉะนั้นจึงต้องบาลานซ์ทั้งสิ่งที่รักกับสิ่งที่คนฟังอยากฟังให้ไปด้วยกัน 

ส่วนการเป็นผู้กำกับ (บทบาทที่ซับซ้อนที่สุด) เป้ อธิบายเป็นพิเศษว่า มันมีความท้าทายหลายขั้นที่ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งการเขียนเรื่องยังไงให้สนุก ทำยังไงให้ขายได้ ต้องทำในแบบที่อยากทำให้ออกมาดีไปพร้อมกับดูแลทีมงานไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป และปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องทำให้หนังได้เงินด้วย 

ตัวตนชัดที่สุดคือดนตรี

เมื่อถามว่าบทบาทไหนที่คิดว่าเป็นตัวตนของ เป้ อารักษ์ มากที่สุด เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ดนตรีน่าจะเป็นตัวตนที่สุด เพราะว่ามันง่ายที่สุดในการที่จะทำออกมาเล่าปุ๊บแล้วเป็นเราเลย เราเขียนด้วย บางทีก็แทบจะทำคนเดียว หรือบางทีก็มีโปรดิวเซอร์มาช่วยบ้าง มันเป็นไอเดียของเราทั้งหมดที่ควบคุมได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว’

เป้ยอมรับว่าในฐานะผู้กำกับแม้จะได้เลือกและควบคุมหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ไอเดียของเขาเพียวๆ ทั้งหมดเหมือนกับการทำดนตรี แต่มันคือการร่วมงานกับทีมมากกว่า ในขณะที่การเป็นนักแสดงก็เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของคนอื่นซึ่งต่างจากการเล่นดนตรีที่สะท้อนตัวตนของเขาได้โดยตรง

บทบาทใหม่ที่อยากท้าลอง

ตลอดเส้นทางการแสดง ชายคนนี้ผ่านทั้งละครและภาพยนตร์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวบอกตรงๆ ว่าวันนี้การแสดงไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว แต่ถ้าถามถึงบทบาทใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘จริงๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องเพศครับ…ผมเคยเล่นเป็นตัวละครที่แอบๆ หน่อย อันนั้นอาจจะไม่ยากเท่ากับการเล่นแบบเปิดเผยไปเลย อย่างใน (ดอยบอย) มันจะเป็นทางเครียดมากกว่า อยากลองดูว่าถ้าเล่นแบบเปิดเผยไปเลยจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่เราจะรับบทแบบนั้น เพราะเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนที่เขามีเพศสภาพแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงความท้าทาย อันนั้นน่าจะท้าทายสุดครับ’

The Stone : ก้าวแรกสู่หลังจอมอนิเตอร์

การก้าวเข้าสู่บทบาทผู้กำกับเต็มตัวของ เป้ อารักษ์ เริ่มต้นจากความมั่นใจในไอเดียและเรื่องราวที่อยากเล่า และ The Stone พระแท้ คนเก๊ ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์ทดลอง แต่เป็นการรวมเอาประสบการณ์ชีวิตและมุมมองส่วนตัวเข้ากับการเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะโดนใจผู้ชมชาวไทย

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ตอนแรกไม่ได้มองไปถึงจุดนั้นเลยครับ เรามองแค่หาเงินในประเทศอย่างเดียว เพราะผมอยู่ในวงการหนังมานาน คิดว่าการหาเงินในประเทศเป็นสิ่งที่ชัวร์ที่สุดในการทำให้หนังไม่เจ๊ง ผมไม่อยากทำหนังเจ๊งเรื่องแรกก็เลยไม่ได้มองไปตรงนั้น’ เป้เล่าอย่างตรงไปตรงมา

แม้หนังจะไม่ได้วางแผนไปเทศกาลนานาชาติแต่เมื่อได้รับเลือกให้ไปฉายก็ถือเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง งานนี้อาจไม่ใช่เทศกาลสายลึกเหมือนหนังอินดี้ของเพื่อนร่วมวงการ แต่เป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและปาร์ตี้ ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของผู้กำกับออกมาได้อย่างชัดเจน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไอเดียในหนังของเรามีอะไรที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น และความไทยของมันน่าจะมีเสน่ห์ในสายตาคนดูต่างชาติ’

ช่วงเริ่มเขียนบทเป้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ถือว่ามีประสบการณ์และความเข้าใจในวงการหนังไทยพอสมควร ซึ่งเขาเผยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่เขียน และในอนาคตก็มีแผนทำหนังเรื่องต่อไปพร้อมกับสลับไปทำงานเพลงและแสดงควบคู่ไปด้วย

การสลับโหมดและการเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่

การเปลี่ยนจากศิลปินสู่นักแสดงและผู้กำกับของ เป้ อารักษ์ ไม่ใช่แค่การสลับบทบาท แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตทางความคิด ช่วงทำดนตรีเขาสามารถทำอะไรตามใจได้ แต่เมื่อก้าวสู่บทบาทผู้กำกับ ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและสถานะ

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘พอเป็นผู้กำกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุสี่สิบมันก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น และผมก็ได้รับการโค้ชจากโปรดิวเซอร์ (กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา) ที่สอนให้ผมเป็นผู้กำกับที่โตมากขึ้น คำพูดทุกคำมีความหมาย จะมาติงต๊องหรือเจ้าอารมณ์ไม่ได้’

ลายเซ็นในผลงานบ่งบอกถึงตัวตน

‘ผมว่าผมน่าจะหนีสิ่งที่มันเคยมีมาเก่งครับ พยายามจะไม่เหมือนใคร อะไรที่เขาชอบกันจะไม่ชอบ อะไรที่เขาว่าไม่เท่ เราจะว่าเท่’

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเรื่อง ‘พระเครื่อง’ เด็กสมัยใหม่ไม่มองว่าพระเครื่องมันเท่ แต่สำหรับเป้ สิ่งนี้กลับมีเสน่ห์และสามารถหยิบมาเล่าใหม่ในมุมที่ต่างออกไป 

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ผมก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ห้อยพระ เพราะพระเราเท่กว่าตั้งเยอะ ก็เลยหยิบเรื่องพวกนั้นขึ้นมา มันเริ่มจากความอยากเท่ก่อน แล้วก็พยายามหาอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างตลอดในงานตัวเองครับ’

เมื่อต้องตัดสินใจระหว่างให้นักแสดงตีความเองหรือกำหนดทิศทางอย่างชัดเจน เป้เลือกวิธีตรงกลาง 

‘ต้องเจอกันครึ่งๆ ครับ ผมจะอธิบายแบ็กกราวด์กับสิ่งที่เราคิดไว้ แต่สุดท้ายวิธีการแสดงมันต้องเจอกันตรงกลาง บางครั้งนักแสดงก็เสนอช้อยส์ใหม่มาให้ลอง แล้วเราค่อยปรับร่วมกัน หรือบางทีเขามาแล้วก็ใช่เลยตั้งแต่แรกก็มี’ 

ความเข้าใจนี้มาจากการเป็นนักแสดงมาก่อน และเป้เห็นว่าในบางครั้งนักแสดงรู้จักตัวละครมากกว่าผู้กำกับเอง ทำให้การเลือกนักแสดงกลายเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ถ้าแคสต์ถูก ก็จะช่วยพาเรื่องไปได้ไกล แต่ถ้าเลือกผิดต่อให้เขียนดีแค่ไหนหนังมันอาจจะสนุกได้ยาก’

และเมื่อถามถึงภาพยนตร์ลำดับที่สองของเขา เป้หัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบ

‘ก็กำลังทำอยู่ครับ บางทีมันก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความอยากของเราอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจังหวะและโอกาสด้วย แต่ผมก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ทั้งอัลบั้ม แล้วก็การแสดง แต่โชคดีที่ผมมี บี-วุฒิพงษ์ อีกคน ไม่ได้ทำคนเดียว ผมก็รับผิดชอบในส่วนหนึ่ง บีก็จัดการต่อในอีกส่วนหนึ่งครับ’

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

นักดนตรีที่ไม่เคยหยุดทำเพลง

แม้จะหันมาสวมบทบาทผู้กำกับอย่างจริงจัง แต่เส้นทางดนตรีของเป้ก็ยังไม่เคยหยุดเดิน เขายังคงออกผลงานเพลงอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าตัวจะยอมรับตรงไปตรงมาว่าการทำเพลงอาจไม่ใช่อาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้เต็มที่ แต่เพราะอาชีพนักแสดงที่พอจะหล่อเลี้ยงชีวิตได้ ทำให้เขาเลือกทำเพลงอย่างอิสระตามใจตัวเองได้เสมอ และยังมีค่ายเพลงที่มองเห็นคุณค่าในตัวเขา แม้ผลงานจะไม่ได้สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ยังคงเป็นแรงซัพพอร์ตกันมาตลอด

เป้เล่าถึงแนวทางการทำเพลงที่หลากหลายและเปิดกว้าง 

‘ผมทำเรื่อยๆ นะครับ ผมทำอะไรแปลกๆ ตลอดเลย ก็มีโฟล์คแล้วก็ไปทำร็อกแอนด์โรลบ้างชุดหนึ่ง แล้วก็มีไปทำอิเล็กทรอนิกส์สามชุด นี่ก็กลับมาคันทรี่อีกแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลยครับเพลง ตามใจตัวเองมาก’

ล่าสุดกับอัลบั้มใหม่ ‘อกหักติดยาหมาตาย’ เพลงของเขายังคงสะท้อนตัวตนได้อย่างดิบ ตรงไปตรงมา และจริงใจเหมือนเดิม โดยแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงและการสังเกตผู้คนรอบตัว 

‘ถ้าใช้ความรักไม่ได้ หน้าตาไม่ได้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งั้นลองใช้เงินแทนได้มั้ย?’ เป้เล่าถึงเพลง ‘อยากเป็นเสี่ยเลี้ยงต้องทำไง’ อย่างตรงไปตรงมา 

เส้นทางสายดนตรีจึงยังคงเป็นพื้นที่ที่เป้สามารถเล่าเรื่องและสะท้อนตัวตนได้เต็มที่ ท่ามกลางบทบาทนักแสดงและผู้กำกับที่ต้องรับผิดชอบผู้คนและทีมงานอีกนับร้อยชีวิต

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

จากสังเวียนสู่ธุรกิจ ‘ลงนวมบอยส์’

อีกบทบาทที่หลายคนจดจำ เป้ อารักษ์ คือการเป็นนักแสดงที่หลงใหลในกีฬามวยไทย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขึ้นชกบนสังเวียนในรายการ ‘10 Fight 10’ จนต่อยอดไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจแฟชั่นในชื่อ ‘ลงนวมบอยส์’ แบรนด์ที่เกิดจากการร่วมกันปลุกปั้นกับเพื่อนๆ ภายใต้สโลแกน ‘Everyone Can Fight’ ที่ไม่ได้มองการต่อสู้เป็นแค่กีฬา แต่คือท่าทีในการใช้ชีวิต การลุกขึ้นสู้ในแบบของตัวเอง การสร้างคอมมูนิตี้ที่เข้าใจกัน และการตีความความเป็นนักสู้ให้กลายเป็นสไตล์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

เคยรู้สึกไหมว่าการอยู่ในวงการบันเทิงก็เหมือนการขึ้นเวทีชกมวย

‘มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นครับ จมูกเราไม่หัก ถ้าคุณเคยสู้บนเวทีมันมีความกลัวที่ยากที่จะเอาอะไรไปเทียบเหมือนกันครับ จริงๆ แล้วเรื่องของเรามันไม่ได้มีคนสนใจเท่าเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นพลาดบ้างได้ แต่อย่าพลาดเยอะ หรือถ้าคุณดังมากๆ ก็ห้ามพลาดเลย ไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าพูดซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับขึ้นเวทีชกมวยแน่นอนครับ’

และถ้าให้เลือกเพลงเปิดตัวขึ้นสังเวียน เขาตอบทันทีว่า 

‘ผมต้องเลือกเพลง ‘อย่าเล่นกับไฟ’ ของเป้เองครับ เพราะมันส์สุดที่ผมเคยทำมาแล้ว แล้วก็คิดว่าเพลงตัวเองมีตั้ง 60 กว่าเพลง จะเลือกเพลงคนอื่นทำไม หรือเพลง ‘ไม่ต้องทำหรอกบุญ ’ก็เคยใช้ตอน 10 Fight 10 แล้วก็แพ้ครับ (หัวเราะ)

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ในอีก 5 ปี ข้างหน้าอยากให้คนจดจำ เป้ อารักษ์ ในฐานะอะไรมากที่สุด?

‘โห… มากที่สุดใช่ไหมครับ อยากเป็นผู้กำกับที่ทำหนังได้เงินติดกันสามเรื่องครับ ห้าปีน่าจะได้อีกสองเรื่อง (หัวเราะ)’

ท้ายที่สุดแล้วในบทบาทของการเป็นศิลปิน เขายังคงทำเพลงตามใจตัวเองอย่างอิสระ ในขณะที่การแสดงยังเป็นพื้นที่ที่เขารักและพร้อมกลับไปเสมอ แต่สิ่งที่เป้โฟกัสจริงจังที่สุดในวันนี้คือการเป็นผู้กำกับหรือคนเล่าเรื่องและต้องการพื้นที่ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่วงการบันเทิงบ้านเรา

สำหรับเขารายได้ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ แต่คือหลักฐานเชิงรูปธรรมของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้ แม้ยังอยากเล่นละครและทำเพลงต่อไป แต่เส้นทางการเป็นผู้กำกับคือสิ่งที่เป้มุ่งหน้ามากที่สุดในตอนนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นบทบาทบนสังเวียน ในห้องอัด บนเวทีแสดง หรือหลังกล้อง ทุกประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้เป้เติบโตขึ้นในเวอร์ชันที่เท่กว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม และยังคงเดินหน้าลุยกับความฝันของตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

Photographer: STYLEdeJATE @styledejate
Art director: PK Vanasirikul @peeekks
Assistant photographer: Eric D’ Geno @erinaerielle
Lighting: Stoppie Pumipat @thananchailoha @advancedphotosystems
Senior designer: Methita Trakulpoonsub @methitaa
Project manager: Sirinart Panyasricharoen @tibabit
Writer: Yokploy Chandrabha @tmyokploy
Translator: Pinghyu 
Video: Supathat Thardrak @gunnst__
Video editor: Supathat Thardrak @gunnst__
Photos: STYLEdeJATE @styledejate
Stylist: Mathimon Intharasuwan @chubbyz_gt
Stylist assistant: Nithikorn Moolyongsak @pepetchyy​
Hair stylist: Pornwasu Huamrun @Papalapom
Makeup artist: Chatchanok Natengampak @mameaw.everyday @ngampak.makeup
Location: REC. Bangkok
Talent Coordinator: Daniel Van Norden
Concept: Laurie Osborne @laurieosborne

เรื่องเด่น
    การโฆษณา