วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
Sereechai Puttes/Time Out
Sereechai Puttes/Time Out

ตาม วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ไปสำรวจความหมายของหลายชีวิตบนโลก ผ่านนิทรรศการภาพถ่ายครั้งแรกของเขา

นักเขียน-นักเดินทางสายเถื่อน เล่าเรื่องนิทรรศการภาพถ่าย Serenity in Chaos (จลาจลอันงดงาม)

การโฆษณา

เรารู้จัก สิงห์–วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ในฐานะลูกชายคนสุดท้องของ กวีซีไรต์ จิระนันท์ พิตรปรีชา และศิลปินแห่งชาติ เสกสรร ประเสริฐกุล พอๆ กับการเป็นนักเขียน นักเดินทางผู้ผลิตรายการ เถื่อน ทราเวล สารคดีท่องเที่ยวที่วรรณสิงห์แบ็กแพ็กพาผู้ชมลุยสำรวจสถานเปี่ยมอันตรายมากมายทั่วโลก

ตลอดสิบกว่าปีที่ปผ่านมา วรรณสิงห์เดินทางปักหมุดไปถึง 71 ประเทศ ซึ่งเขาได้บันทึกความทรงจำการเดินผ่านภาพถ่ายอย่าสม่ำเสมอ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสนำภาพแห่งความทรงจำเหล่านั้นไปจัดแสดงที่ไหน กระทั่งได้รับการชักชวนจาก UNHCR ประเทศไทย (ซึ่งวรรณสิงห์เคยร่วมทำกิจกรรมในหลายโปรเจ็คก่อนหน้านี้) จนเกิดเป็นนิทรรศการ Serenity in Chaos (จลาจลอันงดงาม) ที่แสดงภาพถ่าย 55 ภาพ พร้อมเรื่องราวที่จะสะท้อนความงดงามของโลก ใน 4 หัวข้อ คือ War, Human, Nature และ Civillization ที่อาจทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาผู้ลี้ภัยได้มากขึ้นด้วย และเราได้ไปนั่งพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงานครั้งนี้มาฝาก

ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย มีความสำคัญต่อคนนอกพื้นที่นั้นอย่างไร

เรื่องแบบนี้คงจะขึ้นอยู่กับมุมมองครับ ผมคิดว่าปัญหาทุกปัญหา ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมยันปัญหาทางการเมือง ถ้าเราจะหาคำตอบว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเรายังไง มันคงน้อยมากเลยนะครับ เอาแค่เรื่องการเมืองไทยที่คนจำนวนมากคงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่พวกเราทุกคนก็ยังมีความรู้สึกร่วมต่อการเมืองด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะรู้สึกร่วมในมุมไหน มันก็แตกต่างกันออกไป

ส่วนปัญหาผู้ลี้ภัย ถ้าถามว่ามันส่งผลกระทบต่อคนภายนอกขนาดไหน ก็คงตอบว่าไม่มากมายอะไร แต่ถ้ามองในฐานะเพื่อนร่วมโลกมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะรับผิดชอบด้วยกัน และในเมื่อมันอยู่มีจริง เป้าหมายของผมกับ UNHCR ก็คือเราจะทำยังไงให้คนภายนอกมารู้สึกร่วมกับปัญหานี้มากขึ้น เราอยากกระตุ้นให้คนไทยหันมามองปัญหานี้มากขึ้น ให้เกิดความช่วยเหลือที่มากขึ้นตามไป ซึ่งผมกับ UNHCR เห็นตรงกันว่าวิธีหนึ่งที่ทำได้คือทำผ่านงานศิลปะ

Serenity in Chaos

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ความจราจลงดงามอย่างไร

พอมานั่งดูภาพที่ถ่ายไว้ อยู่ดีๆ คำนี้ก็โผล่เข้ามาในหัว เพราะรู้สึกว่าทุกสถานที่ที่เราไป ถ้ามองจากข้างนอกมันจะดูโหดร้ายและอันตราย แต่พอไปถึงสถานที่นั้นแล้วผมกลับพบความงดงามที่มีรสชาติเฉพาะของแต่ละสถานที่ที่แฮะ ผมได้เห็นเรื่องราวความสวยงามของธรรมชาติ ของมนุษย์หรือของอารยธรรม ซึ่งผมว่ามันเซอร์ไพรส์เราทุกคนอยู่เสมอ

ผมคิดว่าสิ่งนี้มันคือแก่นของการเดินทางเลยนะ มันคือการที่มนุษย์ต้องพาตัวเองออกไปพบเจอเรื่องราวแปลกใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงน่าเบื่อตาย เพราะฉะนั้น พอผมกลับมาดูรูปที่ผมถ่ายมา ก็ได้กลับมาย้อนนึกดูว่ากว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ ตอนที่ไปฟังคนคนนี้พูด ตอนที่เห็นวิวตรงนี้ มันรู้สึกยังไงบ้าง ผมเอ็นจอยขั้นตอนการเลือกรูปจากทั้งหมดเป็นหมื่นๆ รูปมาก เพราะมันเหมือนพาผมกลับไปในช่วงเวลานั้นจริงๆ เลยเกิดเป็นชื่อคอนเซ็ปต์นี้ขึ้นมา ซึ่งผมชอบมาก แถมมันก็ตรงกับเรื่องหลักที่ผมกับ UNHCR เน้นในเทศกาลนี้ คือ เรื่องสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนมาสนใจกับปัญหาของผู้ลี้ภัย แต่ว่าเราก็ไม่ได้พูดเพียงเรื่องผู้ลี้ภัยจากสงครามนะ นิทรรศการนี้ยังมีอีก 3 หัวข้อ รวมเป็น 4 หัวข้อ คือ War (สงคราม), Human (มนุษย์), Nature (ธรรมชาติ) และ Civillization (อารยธรรม)

ในหัวข้อสงคราม นอกจากพูดถึงเรื่องผู้ลี้ภัย เรายังพูดถึงผู้คนที่ไม่เกี่ยวกับสงครามแต่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณสงคราม ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงระเบิด แต่พวกเขากลับหาความสุขในแบบของตัวเองได้ หรือบางสถานที่เรามองมาจากข้างนอกมันดูโหดร้ายอันตรายมาก แต่พอเข้าไปอยู่จริงๆ แล้วมันก็มีแง่มุมดีๆ อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นแบกแดด (Baghdad) เป็นเมืองที่ผมว่ามีอารยะธรรมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เดินไปไหนมาไหนก็จะมีคาเฟ่ หรือร้านหนังสือเต็มไปหมด รวมถึงตลาดนัดศิลปินที่คนเยอะมาก มาเล่นดนตรี จัดการแสดงต่างๆ ของเขาไปโดยที่ไม่ต้องมีเวที ไม่ต้องมีการเรี่ยไรเงิน ทุกคนมาเพียงจุดประสงค์เดียวคือแลกเปลี่ยนศิลปะกัน ซึ่งเป็นด้านที่หลายคนไม่เคยนึกถึงหรอก แต่เราก็ยังต้องนำเสนอถึงความโหดร้ายและความทุกข์ยากของแบกแดดที่มีอยู่จริงด้วยเช่นกัน

การทำนิทรรศการภาพถ่ายเป็นสิ่งที่อยากทำมานานแล้วหรือเปล่า

อยากทำมานานแล้วครับ แต่ไม่รู้จะเอาไปปล่อยที่ไหน ถึงไม่ได้ทำร่วมกับ UNHCR ก็คงเอาไปปล่อยสักที่หนึ่ง แล้วเผอิญว่า UNHCR เชิญมาพอดีและเรามีเป้าหมายเดียวกัน ก็ถือว่าวิน-วินทั้งสองฝ่าย ผมได้โชว์ผลงาน ผู้ลี้ภัยได้รับการช่วยเหลือ

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

การเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายมีเสน่ห์แตกต่างจากการเขียน หรือ ทำรายการสารคดีอย่างไร

สิ่งผมรู้สึกมาตลอดคือ เมื่อเราเป็นนักเล่าเรื่อง ไม่ว่าเราจะเล่าผ่านสื่ออะไรมันก็ยังเป็นเรื่องราวอยู่ดี ก่อนหน้านี้ผมเขียนหนังสือตลอด และในนิทรรศการนี้ผมก็ยังเอาทักษะนั้นมาใช้ เพียงแต่เปลี่ยนมาใช้รูปภาพเป็นตัวเล่าหลัก แล้วใช้ตัวหนังสือเป็นส่วนประกอบ ให้รูปภาพดึงสายตาคนก่อนเข้ามาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่เราเขียน

แล้วยากกว่าการทำแบบวีดีโอไหม

ยากคนละแบบ วีดีโอเหนื่อยกว่า เพราะต้องคิดอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งเทคนิคการถ่ายทำ การอัดเสียง การวัดแสง อุปการณ์กล้อง ถ่ายเสร็จแล้วยังต้องกลับมาตัดต่ออีก แล้วก็กว่าจะหาทุนเพื่อทำออกมาเป็นงานได้แต่ละงานด้วย แต่ภาพถ่ายเหมือนเป็นผลพวงจากการที่ผมออกไปทำงานวีดีโอมากกว่า เพราะผมมีนิสัยชอบจำเรื่องราวในแต่ละวันให้หมดด้วยการถ่ายภาพเอาไว้ เพราะมันคือข้อมูลทั้งหมดของสารคดีผม แล้วในจำนวนภาพพวกนี้มันก็พอมีภาพที่สวยที่ยังไม่เคยเอามาแสดงให้คนอื่นเห็น ก็เลยทำนิทรรศการนี้ขึ้นมา

ชอบภาพไหนมากที่สุด

ภาพของชนเผ่า Korowai ซึ่งเป็นเผ่ากินคน ซึ่งผมต้องใช้เวลาเดินกว่า 5 วันถึงจะเข้าไปถ่ายทำได้ ซึ่งตอนถ่ายภาพนี้พวกเขากำลังเดินทางไปล่าหมูกัน ผมว่ามันน่าสนใจมากเพราะเป็นสิ่งที่คนภายนอกไม่ค่อยได้รับรู้มาก่อน

คุณดูมีความสนใจในหลายด้านมากๆ มีวิธีแบ่งเวลาทำสิ่งต่างๆ อย่างไร

ทำไม่ทันครับ คงต้องตายแล้วเกิดใหม่ค่อยมาทำต่อ (หัวเราะ) คือถ้าเป็นตอนเด็กๆ คงต้องทำแข่งกับเวลาที่กำหนดไว้ให้ทันตลอด แต่พอตอนนี้อายุ 34 แล้ว รู้สึกว่าเหลืออีกตั้ง 50 ปีกว่า ถึงจะตาย เลยค่อยๆ ทำ เหนื่อยเมื่อไหร่ก็พัก แต่ยังมีสิ่งที่อยากทำอยู่เรื่อยๆ ในทุกช่วงเวลา

เคยกดดันไหมกับการเป็นลูกของคนที่มีผลงานเป็นตำนาน

จริงๆ ก็เป็นปมของผมตั้งแต่เด็กแล้วนะครับ แต่พอโตมาจนอายุ 30 ก็เลิกคิดเรื่องนี้แล้ว เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพ่อแม่ เพราะผมก็มีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจนอยู่แล้วในตอนนี้ ที่สำคัญคือเราไม่ได้ต้องการจะแข่งกับท่าน ตัวท่านเองก็ภูมิใจและคอยสนับสนุนผมมาโดยตลอด มันเลยทำให้ผมเลิกเปรียบเทียบกับพ่อแม่ต่อไป แต่ก็ต้องขอบคุณปมนี้ที่ช่วยผลักดันเราให้ทำผลงานออกมา ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว คิดแค่ว่าทำงานยังไงให้สนุกมากกว่า

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

อ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ

  • Things to do

ในยุคที่โลกโซเชียลหมุนไปอย่างรวดเร็ว และ TikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่ให้ใครก็ได้ลุกขึ้นมาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ หนึ่งในเสียงที่โดดเด่นและทรงพลังที่สุด คือเสียงของ ‘โซเฟีย–ศศิกานต์ วงค์งาม’ หรือที่หลายๆ คนรู้จักเธอในนาม ‘ดาราโซเฟีย’ อินฟลูเอนเซอร์สาวที่กล้าใช้ความจริงใจและอารมณ์ขันสะท้อนมุมมองต่อสังคมอย่างไม่กลัวคำวิจารณ์ 

จากนางแบบวัยรุ่น สู่บทบาทของผู้เป็นแม่ และเจ้าของธุรกิจ ที่ใช้ TikTok ไม่เพียงเพื่อสร้างรอยยิ้ม แต่ยังเป็นพื้นที่พูดคุยในเรื่องที่หลายคนไม่กล้าพูด ทั้งประเด็น Beauty Standard ความเท่าเทียม และประเด็นทางสังคมอื่นๆ อีกมากมาย เสียงของเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงจำนวนมากกล้าที่จะ รักและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

วันนี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับโซเฟียอย่างใกล้ชิด ถึงเรื่องราวชีวิต เส้นทางการทำคอนเทนต์ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วประเทศ และมุมมองต่อสังคมในโลกออนไลน์ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘ความสวย’ สำหรับเธอ ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา แต่อยู่ที่การกล้าเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

จากนางแบบวัยรุ่นสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์

เส้นทางของดาราโซเฟียเริ่มต้นตั้งแต่อายุเพียง 15–16 ปี จุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายจากวันหนึ่งที่เธอไปกินพิซซ่ากับเพื่อน และบังเอิญได้พบกับเจ้าของร้านซึ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง เขาจึงชวนให้โซเฟียลองไปถ่ายแบบด้วยกัน ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่พาเธอก้าวเข้าสู่วงการนางแบบอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มส่งคอมการ์ดไปตามงานต่าง ๆ ได้รู้จักผู้คนในแวดวงแฟชั่นมากขึ้น และเริ่มมีผลงานการถ่ายแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไป โซเฟียค่อยๆ ขยับจากโลกของแฟชั่นเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยเลือก TikTok เป็นพื้นที่ใหม่ในการเล่าเรื่องราวของตัวเอง ช่วงแรกๆ คอนเทนต์ของเธอมีความหลากหลาย ทั้งคลิปเต้น ตลกขบขัน หรือแม้แต่พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติและสีผิวอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อฐานผู้ติดตามเริ่มขยายใหญ่ขึ้น โซเฟียก็เริ่มใช้พื้นที่นี้ในการพูดถึง ประเด็นสังคม ที่เธอให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยในแบบของตัวเอง มาตรฐานความงาม หรือมุมมองต่อบทบาทของผู้หญิงในสังคม

การเปลี่ยนผ่านจากนางแบบสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่เพียงทำให้โซเฟียได้แสดงตัวตนมากขึ้น แต่ยังทำให้เสียงของเธอกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนกล้าที่จะ ยอมรับและภูมิใจในความเป็นตัวเอง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

TikTok พื้นที่ในการสื่อสารและแสดงความเป็นตัวเอง

โซเฟียเล่าว่า เธอเป็นคนที่ชอบ ‘พูด’ มาตั้งแต่เด็กๆ หากย้อนกลับไปในช่วงประถม เธอมักจะรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อถ่ายคลิปเล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การแสดง หรือพูดคุยกันสนุกๆ 

‘เฟียจะมีกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สมัยที่ยังใช้โทรศัพท์ซัมซุงที่กล้องยังไม่ค่อยดี เราก็จะอัดคลิปกันแล้วก็ทำการแสดง ร้องเพลง เฟียเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็กเลย แต่เวอร์ชันที่เราโตแล้วเราก็ต้องมีความคิดที่มันคิดไตร่ตรองมากขึ้นจะไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราอยากจะพูดอะไรก็พูด’ 

เมื่อโตขึ้น โซเฟียเริ่มใช้เหตุผลและมุมมองที่ลึกซึ้งกว่ามากในการพูด เธอเลือก TikTok เป็นพื้นที่ในการสื่อสาร เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้พูดคุยและรับฟังกันอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือ TikTok ทำให้เธอสามารถเข้าถึงผู้คนหลากหลายกลุ่มได้ง่ายและรวดเร็ว เธอมองว่าไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าวหรือคนดังถึงจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในประเด็นสังคม

‘ทุกครั้งที่พูดเรื่องประเด็นสังคม มันทำให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้ รู้สึกว่ามันคือการคุยกันของประชาชนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ฟังจากข่าว’

สำหรับโซเฟีย การใช้เสียงของตัวเองใน TikTok ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความดัง แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน และเข้าใจมุมมองของกันและกันในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

ความมั่นใจ รากฐานสำคัญที่สร้างจากครอบครัว

โซเฟียเล่าว่าความมั่นใจของเธอไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะบุคลิกส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นผลมาจาก สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูในครอบครัวที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก เธอเติบโตมาในชุมชนเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดี 

‘ทุกคนในซอยเราจะรู้จักกัน หลังเลิกเรียนเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูง แล้วก็เตรียมเปิดคอนเสิร์ตในซอยบ้านเพราะฉะนั้นคนที่นั่นเขาก็จะเห็นจนชิน เรียกว่าซัพพอร์ตทุกๆ ทาง ทั้งบอกให้ไปประกวดรายการนั้นรายการนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ให้ความมั่นใจเรามาเหมือนกัน แม่จะบอกเสมอว่า ถ้าเกิดมีใครว่าหรือแกล้งให้เราทำกลับสองเท่า อย่าไปยอม’

คำสอนนี้ได้กลายเป็นเกราะป้องกันทางอารมณ์ที่ทำให้เธอก้าวผ่านคำวิจารณ์และความกดดันต่างๆ ได้อย่างมั่นคง สำหรับโซเฟีย ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่มันคือสิ่งที่ค่อยๆ สร้างขึ้นในทุกวัน จากครอบครัวที่เข้าใจ สิ่งแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงออก และความรักที่ทำให้เธอกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองในทุกช่วงเวลาของชีวิต

จากประเด็นดราม่า สู่คลิปไวรัลที่พูดแทนใจใครหลายคน'

เมื่อถามถึงประสบการณ์การเจอกับคอมเมนต์แรงๆ หรือดราม่าบนโลกออนไลน์ โซเฟียหัวเราะเบาๆ ก่อนเล่าว่า แน่นอนว่าเคย โดยเฉพาะช่วงที่พูดถึงเรื่อง Beauty Standard ที่กลายเป็นคลิปไวรัลในเวลาต่อมา 

‘แทนที่จะโต้กลับด้วยความโกรธ เธอเลือกตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน เพราะเราคิดในใจว่าถ้าจะตอบกลับคนแบบนี้ ต้องใช้มุกตลกแทนการโต้แรงๆ เพราะเรารู้ว่าเขาขึ้นมาปั่นหัวเรา ถ้าเราไปซีเรียสก็เท่ากับว่าแพ้เกมเขา’

ซึ่งแนวทางนี้เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคลิปไวรัลที่พูดถึง Beauty Standard อย่างมีอารมณ์ขันและความมั่นใจโซเฟียอธิบายว่า เหตุผลที่ตัดตอนหนึ่งของคลิปนั้นมาลง TikTok เพราะผู้ชายคนดังกล่าวพูดว่า ‘พี่โซเฟียไม่ตรง Beauty Standard ผู้ชายไทย’ เธอจึงรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะพูดถึงประเด็นนี้ในมุมของตัวเอง 

‘จริงๆ เฟียไม่ค่อยพูดเรื่อง Beauty Standard บ่อย ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องสังคมหรือประเด็นเชิงความคิดอื่นๆ มากกว่า แต่ครั้งนี้เรารู้เลยว่ามันคือจุดที่ควรพูด เพราะมันสะท้อนมุมมองของคนในสังคมได้ชัดมาก’

ในที่สุด คลิปนั้นก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วทั้ง TikTok และกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการรับมือกับดราม่าอย่างชาญฉลาด ด้วยอารมณ์ขันและความเข้าใจในมนุษย์ มากกว่าการปะทะกันด้วยอารมณ์

จากคลิปไวรัลเรื่อง Beauty Standard ที่พูดถึงมาตรฐานความสวยในสังคม จนมียอดเข้าชมกว่า 14.8 ล้านครั้ง โซเฟียยังคงใช้เสียงของตัวเองพูดในประเด็นที่เธอเชื่อว่าควรถูกหยิบยกขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘เด็กแต่งตัวเกินวัย’ ประเด็นที่กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์

‘เรื่องมันเกิดจากการที่เราเลื่อนดูโซเชียลแล้วเห็นคลิปเด็กหลายคลิปที่ไวรัล มียอดวิวสูง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย เราเลยรู้สึกว่าควรพูดถึง เพราะเรามีลูกสาวด้วย ถ้าเราพูดเรื่องนี้ออกมา มันอาจทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนได้คิดว่าก็จริงนะ เพราะโลกออนไลน์มันไม่ได้มีแค่ด้านดีอย่างเดียว’

โซเฟียอธิบายต่อว่า โลกออนไลน์มีด้านที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่ทันมองเห็น โดยเฉพาะอันตรายจากกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเด็ก ด้านที่มืดมันเยอะกว่าที่เราเห็นในข่าว การที่พ่อแม่โพสต์ภาพลูกแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย มันอาจดูน่ารักในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งรูปเหล่านั้นจะอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดไป และเราไม่รู้เลยว่าใครจะเอาไปใช้ทำอะไร”

แม้จะมีทั้งคนเห็นด้วยและคนเห็นต่าง แต่โซเฟียยืนยันว่าความตั้งใจของเธอคือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น 

‘เราตั้งใจให้คอนเทนต์เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิด เพราะความเห็นของคนเราไม่มีใครถูกหรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ การฟังมุมมองของคนอื่นเป็นโอกาสให้เราเรียนรู้เหมือนกัน’

เธอยกคำพูดภาษาอังกฤษที่ชอบว่า ‘Put yourself in someone else’s shoes’ — ลองสวมรองเท้าของคนอื่นดู เพื่อเข้าใจมุมมองของเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อาจพลาดไป ในฐานะคุณแม่ โซเฟียเชื่อว่าการพูดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเพราะมันอาจช่วยให้พ่อแม่หลายคนตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกในยุคโซเชียล ‘เราเป็นแม่คนแล้ว ลูกเราก็เป็นลูกสาว เราเลยรู้สึกว่าต้องพูดเรื่องนี้ และอยากให้ทุกอย่างมันเหมาะสมมากขึ้น’

คอนเทนต์ไม่ตามเทรนด์ แต่เน้นเล่าเรื่องรอบตัว

โซเฟียเล่าว่าเธอไม่ได้ทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ทุกครั้ง แต่จะสังเกตสิ่งรอบตัวและหยิบเรื่องที่รู้สึกว่าน่าสนใจ หรือเรื่องที่น่าจะสร้างการถกเถียงในกลุ่มผู้ชมมาพูด ทำให้คลิปแต่ละชิ้นที่ออกไปเป็นสิ่งที่กลั่นกรองมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่การคาดหวังผลลัพธ์ล่วงหน้า แต่เป็นการแชร์มุมมองของเธอเองอย่างแท้จริง

‘บางครั้งถ้าเกิดเรานั่งๆ อยู่แล้วเห็นอะไรที่มันรู้สึกว่าเอ๊ะ เรื่องนี้ถ้าเราพูดมันน่าจะมีคนเข้ามาถกเถียงกันก็จะยกมาพูด เราจะสังเกตจากสิ่งรอบๆ ตัวแล้วก็หยิบประเด็นคิดว่าน่าสนใจ ก็จะเอามาทำเป็นคลิปวีดิโอ ไม่เคยทำคลิปแบบว่าคาดหวังเลยค่ะ’

บทเรียนครั้งสำคัญ ลดอีโก้และกลั่นกรองก่อนโพสต์

โซเฟียเล่าว่ามีหลายคลิปที่เธอทำแล้วเป็นบทเรียนสำคัญ โดยเฉพาะคลิปเกี่ยวกับ ‘นางเงือกผิวดำ’ ของดิสนีย์ ตอนนั้นเธออายุประมาณ 22 ปี 

‘พอทำคลิปมาแล้วปรากฎว่าคอมเมนต์ก็คือโดนถล่มโดนดราม่าเลย แล้วตอนนั้นด้วยความที่เราอีโก้สูงมากไม่รับฟังความเห็นต่างทั้งสิ้น เราก็ตอบกลับคอมเมนต์แบบไม่ดี แล้วพอเรากลับไปดูในวิดีโอแล้วรู้สึกว่า เราอีโก้สูงเหมือนกันนะ วิดีโอนี้เป็นวิดีโอที่สอนเฟียได้เยอะมากในการใช้โซเชียลมีเดีย ว่าเราก็ต้องกลั่นกรองและต้องลดอีโก้ลงมาด้วย เพราะเราไม่ได้รู้ทุกอย่างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือควรหาข้อมูลก่อนที่เราจะทำวิดีโอ’

‘การทำโซเชียลมันมีสองด้านอยู่แล้ว มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เราไม่ควรโกรธเขา แต่ควรคิดวิเคราะห์และยอมรับ’

ช่วงเวลาที่ท้าท้ายในการทำคอนเทนต์

‘ยากที่สุดน่าจะเป็นช่วงเวลาการตัดวิดีโอค่ะ เพราะเฟียก็แค่ตั้งกล้องแล้วก็พูดไปเลยยาวๆ สองสามนาที แล้วก็มาตัด มีคำพูดไหนที่เรารู้สึกว่าคนฟังแล้วมันจะต้องเอ๊ะแน่นอนเราก็ตัดออก แล้วก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ รู้สึกว่าเราต้องผ่านกระบวนการคิดและมั่นใจว่ามันไม่ได้มีอะไรที่มันจะไปถูกจิตใจของคนอื่น

จุดแข็งของช่อง: ความมั่นใจและสไตล์การเล่าเรื่องที่ดึงดูดทุกวัย

‘เฟียคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะการพูดแล้วก็ความมั่นใจ ที่น่าจะเป็นจุดแข็งมากที่สุดที่ทำให้คนเข้าอยากเข้ามาดูเรา ส่วนประเด็นหรือสิ่งที่เราพูดก็อาจจะมีส่วนด้วย บางทีมันก็สลับกันไป เพราะส่วนใหญ่คนที่มาดูก็มีทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กๆ ที่เข้ามาติดตาม

ถ้าตอนนี้หลักๆ คนดูส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยรุ่นรีเจนซี’

ธุรกิจไอศกรีมและการสื่อสารตัวตนผ่านคอนเทนต์

นอกจากการทำคอนเทนต์ โซเฟียยังมีธุรกิจไอศกรีมกับสามีที่ชื่อว่า ‘Freshy Water Ice’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเธอรับผิดชอบด้านมาร์เก็ตติ้งและคอนเทนต์ ส่วนสามีดูแลการจัดการร้านเต็มตัว เธอย้ำและให้เครดิตแฟนเต็มร้อย ส่วนตัวเองโฟกัสทั้งงานคอนเทนต์ การตลาด และการเลี้ยงลูก แม้ว่าธุรกิจนี้จะดูต่างจากการพูดเรื่องสังคม แต่โซเฟียปรับโทนคอนเทนต์ให้เข้ากับสินค้า ขนมหวานคัลเลอร์ฟูลและสนุกสนาน แต่ท้ายที่สุดก็ยังสะท้อนตัวตนและสไตล์ของเธอผ่านการสื่อสารบนโลกออนไลน์

ความสุขจากการสร้างรอยยิ้มและพลังบวก

สิ่งที่ทำให้โซเฟียมีความสุขที่สุดในการทำคอนเทนต์คือการทำให้คนอื่นหัวเราะและมีรอยยิ้ม เธอเล่าว่าตั้งแต่เด็กๆ ชอบทำให้คนรอบตัวหัวเราะ ‘อย่างที่เคยพูดนะคะตอนเด็กๆ เวลาอยู่ในซอยบ้านเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูงเดินไปมา แล้วก็มีคนพูดว่าลองไปประกวดอันนั้นสิ เราก็จะรู้สึกแฮปปี้เวลาที่คนอื่นเขามีความสุข เพราะเราชอบส่ง Positive Energy ให้คนอื่นอยู่แล้ว’ และนี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เธอสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

มุมมองต่อความมั่นใจและความสวยในแบบของตัวเอง 

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

เมื่อมองตัวเองในวันนี้ ‘โซเฟียคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นใจขึ้นมาก กล้าพูด กล้าฟัง และกล้าเรียนรู้จากความผิดพลาด สำหรับเธอความมั่นใจไม่ได้หมายถึงการต้องเป็นคนถูกเสมอ แต่คือการกล้าที่จะเป็นตัวเองโดยไม่เปรียบเทียบกับใคร อยากให้ลองถามตัวเองว่าการทำตาม Beauty Standard นั้นทำไปเพื่อใคร เพื่อความพอใจของตัวเองหรือเพื่อคนอื่น เพราะความสวยที่แท้จริงอยู่ที่ความคิดของเรา’ โซเฟียทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อคิดที่ทรงพลังว่า’

‘ความสวยก็เหมือนดอกไม้ แต่ละดอกมีความงามต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ทุกคนก็สวยในแบบของตัวเอง’
  • Movies

เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ เชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เพราะเขาคือบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่มาทุกยุค ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เริ่มต้นจากการเป็นมือกีตาร์วงร็อกแอนด์โรลอย่าง Slur ในปลายยุค 90s จนก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กับการเป็นนักแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ ก่อนจะขยับสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ที่หลายคนคาดไม่ถึงกับผลงานหนังเรื่องแรกของเขา ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ซึ่งไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮาในไทย แต่ยังพาเขาไปไกลถึงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติต่างแดน

ระหว่างการถ่ายทำบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้ เราได้ยกกองไปยัง REC.Bangkok บาร์น้องใหม่สุดหรูใจกลางถนนวิทยุ ซึ่งมุมแสงและบรรยากาศภายในร้านช่วยสะท้อนตัวตนของเป้ออกมาได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่ความเท่ ความจริงจัง ไปจนถึงความสนุกสนานขี้เล่นตามสไตล์ของ เป้ อารักษ์

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ความท้าทายในทุกตัวตน

ไม่ว่าจะในฐานะนักร้อง นักแสดง หรือผู้กำกับ แต่ละหมวกที่ เป้ อารักษ์ สวมใส่ล้วนมาพร้อมความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเสมอคือความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานออกมาดีกว่าที่ใครคาดหวังไว้

อย่างบทบาทของการเป็นนักแสดงเขาเล่าว่า ความท้าทายคือการทำยังไงให้ผู้กำกับหรือคนสร้างงานพอใจ ผู้สร้างอาจต้องการแค่ระดับหนึ่ง แต่เป้ยืนยันว่าใจจริงแล้วก็อยากทำให้เขาได้มากกว่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้เท่าที่เขาคาดหวังไว้

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นนักดนตรี ความท้าทายคือการทำยังไงให้เพลงที่ตัวเองชอบคนอื่นชอบด้วย เพราะเขาเองไม่ได้ทำเพลงแบบอาร์ตเฮ้าส์ แต่ทำเพลงป๊อปปูลาร์มิวสิก เพราะฉะนั้นจึงต้องบาลานซ์ทั้งสิ่งที่รักกับสิ่งที่คนฟังอยากฟังให้ไปด้วยกัน 

ส่วนการเป็นผู้กำกับ (บทบาทที่ซับซ้อนที่สุด) เป้ อธิบายเป็นพิเศษว่า มันมีความท้าทายหลายขั้นที่ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งการเขียนเรื่องยังไงให้สนุก ทำยังไงให้ขายได้ ต้องทำในแบบที่อยากทำให้ออกมาดีไปพร้อมกับดูแลทีมงานไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป และปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องทำให้หนังได้เงินด้วย 

ตัวตนชัดที่สุดคือดนตรี

เมื่อถามว่าบทบาทไหนที่คิดว่าเป็นตัวตนของ เป้ อารักษ์ มากที่สุด เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ดนตรีน่าจะเป็นตัวตนที่สุด เพราะว่ามันง่ายที่สุดในการที่จะทำออกมาเล่าปุ๊บแล้วเป็นเราเลย เราเขียนด้วย บางทีก็แทบจะทำคนเดียว หรือบางทีก็มีโปรดิวเซอร์มาช่วยบ้าง มันเป็นไอเดียของเราทั้งหมดที่ควบคุมได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว’

เป้ยอมรับว่าในฐานะผู้กำกับแม้จะได้เลือกและควบคุมหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ไอเดียของเขาเพียวๆ ทั้งหมดเหมือนกับการทำดนตรี แต่มันคือการร่วมงานกับทีมมากกว่า ในขณะที่การเป็นนักแสดงก็เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของคนอื่นซึ่งต่างจากการเล่นดนตรีที่สะท้อนตัวตนของเขาได้โดยตรง

บทบาทใหม่ที่อยากท้าลอง

ตลอดเส้นทางการแสดง ชายคนนี้ผ่านทั้งละครและภาพยนตร์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวบอกตรงๆ ว่าวันนี้การแสดงไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว แต่ถ้าถามถึงบทบาทใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘จริงๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องเพศครับ…ผมเคยเล่นเป็นตัวละครที่แอบๆ หน่อย อันนั้นอาจจะไม่ยากเท่ากับการเล่นแบบเปิดเผยไปเลย อย่างใน (ดอยบอย) มันจะเป็นทางเครียดมากกว่า อยากลองดูว่าถ้าเล่นแบบเปิดเผยไปเลยจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่เราจะรับบทแบบนั้น เพราะเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนที่เขามีเพศสภาพแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงความท้าทาย อันนั้นน่าจะท้าทายสุดครับ’

The Stone : ก้าวแรกสู่หลังจอมอนิเตอร์

การก้าวเข้าสู่บทบาทผู้กำกับเต็มตัวของ เป้ อารักษ์ เริ่มต้นจากความมั่นใจในไอเดียและเรื่องราวที่อยากเล่า และ The Stone พระแท้ คนเก๊ ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์ทดลอง แต่เป็นการรวมเอาประสบการณ์ชีวิตและมุมมองส่วนตัวเข้ากับการเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะโดนใจผู้ชมชาวไทย

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ตอนแรกไม่ได้มองไปถึงจุดนั้นเลยครับ เรามองแค่หาเงินในประเทศอย่างเดียว เพราะผมอยู่ในวงการหนังมานาน คิดว่าการหาเงินในประเทศเป็นสิ่งที่ชัวร์ที่สุดในการทำให้หนังไม่เจ๊ง ผมไม่อยากทำหนังเจ๊งเรื่องแรกก็เลยไม่ได้มองไปตรงนั้น’ เป้เล่าอย่างตรงไปตรงมา

แม้หนังจะไม่ได้วางแผนไปเทศกาลนานาชาติแต่เมื่อได้รับเลือกให้ไปฉายก็ถือเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง งานนี้อาจไม่ใช่เทศกาลสายลึกเหมือนหนังอินดี้ของเพื่อนร่วมวงการ แต่เป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและปาร์ตี้ ซึ่งก็สะท้อนตัวตนของผู้กำกับออกมาได้อย่างชัดเจน

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไอเดียในหนังของเรามีอะไรที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น และความไทยของมันน่าจะมีเสน่ห์ในสายตาคนดูต่างชาติ’

ช่วงเริ่มเขียนบทเป้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ถือว่ามีประสบการณ์และความเข้าใจในวงการหนังไทยพอสมควร ซึ่งเขาเผยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่เขียน และในอนาคตก็มีแผนทำหนังเรื่องต่อไปพร้อมกับสลับไปทำงานเพลงและแสดงควบคู่ไปด้วย

การสลับโหมดและการเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่

การเปลี่ยนจากศิลปินสู่นักแสดงและผู้กำกับของ เป้ อารักษ์ ไม่ใช่แค่การสลับบทบาท แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตทางความคิด ช่วงทำดนตรีเขาสามารถทำอะไรตามใจได้ แต่เมื่อก้าวสู่บทบาทผู้กำกับ ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและสถานะ

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘พอเป็นผู้กำกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุสี่สิบมันก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น และผมก็ได้รับการโค้ชจากโปรดิวเซอร์ (กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา) ที่สอนให้ผมเป็นผู้กำกับที่โตมากขึ้น คำพูดทุกคำมีความหมาย จะมาติงต๊องหรือเจ้าอารมณ์ไม่ได้’

ลายเซ็นในผลงานบ่งบอกถึงตัวตน

‘ผมว่าผมน่าจะหนีสิ่งที่มันเคยมีมาเก่งครับ พยายามจะไม่เหมือนใคร อะไรที่เขาชอบกันจะไม่ชอบ อะไรที่เขาว่าไม่เท่ เราจะว่าเท่’

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเรื่อง ‘พระเครื่อง’ เด็กสมัยใหม่ไม่มองว่าพระเครื่องมันเท่ แต่สำหรับเป้ สิ่งนี้กลับมีเสน่ห์และสามารถหยิบมาเล่าใหม่ในมุมที่ต่างออกไป 

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

‘ผมก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ห้อยพระ เพราะพระเราเท่กว่าตั้งเยอะ ก็เลยหยิบเรื่องพวกนั้นขึ้นมา มันเริ่มจากความอยากเท่ก่อน แล้วก็พยายามหาอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างตลอดในงานตัวเองครับ’

เมื่อต้องตัดสินใจระหว่างให้นักแสดงตีความเองหรือกำหนดทิศทางอย่างชัดเจน เป้เลือกวิธีตรงกลาง 

‘ต้องเจอกันครึ่งๆ ครับ ผมจะอธิบายแบ็กกราวด์กับสิ่งที่เราคิดไว้ แต่สุดท้ายวิธีการแสดงมันต้องเจอกันตรงกลาง บางครั้งนักแสดงก็เสนอช้อยส์ใหม่มาให้ลอง แล้วเราค่อยปรับร่วมกัน หรือบางทีเขามาแล้วก็ใช่เลยตั้งแต่แรกก็มี’ 

ความเข้าใจนี้มาจากการเป็นนักแสดงมาก่อน และเป้เห็นว่าในบางครั้งนักแสดงรู้จักตัวละครมากกว่าผู้กำกับเอง ทำให้การเลือกนักแสดงกลายเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE
‘ถ้าแคสต์ถูก ก็จะช่วยพาเรื่องไปได้ไกล แต่ถ้าเลือกผิดต่อให้เขียนดีแค่ไหนหนังมันอาจจะสนุกได้ยาก’

และเมื่อถามถึงภาพยนตร์ลำดับที่สองของเขา เป้หัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบ

‘ก็กำลังทำอยู่ครับ บางทีมันก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความอยากของเราอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจังหวะและโอกาสด้วย แต่ผมก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ทั้งอัลบั้ม แล้วก็การแสดง แต่โชคดีที่ผมมี บี-วุฒิพงษ์ อีกคน ไม่ได้ทำคนเดียว ผมก็รับผิดชอบในส่วนหนึ่ง บีก็จัดการต่อในอีกส่วนหนึ่งครับ’

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

นักดนตรีที่ไม่เคยหยุดทำเพลง

แม้จะหันมาสวมบทบาทผู้กำกับอย่างจริงจัง แต่เส้นทางดนตรีของเป้ก็ยังไม่เคยหยุดเดิน เขายังคงออกผลงานเพลงอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าตัวจะยอมรับตรงไปตรงมาว่าการทำเพลงอาจไม่ใช่อาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้เต็มที่ แต่เพราะอาชีพนักแสดงที่พอจะหล่อเลี้ยงชีวิตได้ ทำให้เขาเลือกทำเพลงอย่างอิสระตามใจตัวเองได้เสมอ และยังมีค่ายเพลงที่มองเห็นคุณค่าในตัวเขา แม้ผลงานจะไม่ได้สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ยังคงเป็นแรงซัพพอร์ตกันมาตลอด

เป้เล่าถึงแนวทางการทำเพลงที่หลากหลายและเปิดกว้าง 

‘ผมทำเรื่อยๆ นะครับ ผมทำอะไรแปลกๆ ตลอดเลย ก็มีโฟล์คแล้วก็ไปทำร็อกแอนด์โรลบ้างชุดหนึ่ง แล้วก็มีไปทำอิเล็กทรอนิกส์สามชุด นี่ก็กลับมาคันทรี่อีกแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลยครับเพลง ตามใจตัวเองมาก’

ล่าสุดกับอัลบั้มใหม่ ‘อกหักติดยาหมาตาย’ เพลงของเขายังคงสะท้อนตัวตนได้อย่างดิบ ตรงไปตรงมา และจริงใจเหมือนเดิม โดยแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงและการสังเกตผู้คนรอบตัว 

‘ถ้าใช้ความรักไม่ได้ หน้าตาไม่ได้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว งั้นลองใช้เงินแทนได้มั้ย?’ เป้เล่าถึงเพลง ‘อยากเป็นเสี่ยเลี้ยงต้องทำไง’ อย่างตรงไปตรงมา 

เส้นทางสายดนตรีจึงยังคงเป็นพื้นที่ที่เป้สามารถเล่าเรื่องและสะท้อนตัวตนได้เต็มที่ ท่ามกลางบทบาทนักแสดงและผู้กำกับที่ต้องรับผิดชอบผู้คนและทีมงานอีกนับร้อยชีวิต

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

จากสังเวียนสู่ธุรกิจ ‘ลงนวมบอยส์’

อีกบทบาทที่หลายคนจดจำ เป้ อารักษ์ คือการเป็นนักแสดงที่หลงใหลในกีฬามวยไทย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขึ้นชกบนสังเวียนในรายการ ‘10 Fight 10’ จนต่อยอดไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจแฟชั่นในชื่อ ‘ลงนวมบอยส์’ แบรนด์ที่เกิดจากการร่วมกันปลุกปั้นกับเพื่อนๆ ภายใต้สโลแกน ‘Everyone Can Fight’ ที่ไม่ได้มองการต่อสู้เป็นแค่กีฬา แต่คือท่าทีในการใช้ชีวิต การลุกขึ้นสู้ในแบบของตัวเอง การสร้างคอมมูนิตี้ที่เข้าใจกัน และการตีความความเป็นนักสู้ให้กลายเป็นสไตล์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

เคยรู้สึกไหมว่าการอยู่ในวงการบันเทิงก็เหมือนการขึ้นเวทีชกมวย

‘มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นครับ จมูกเราไม่หัก ถ้าคุณเคยสู้บนเวทีมันมีความกลัวที่ยากที่จะเอาอะไรไปเทียบเหมือนกันครับ จริงๆ แล้วเรื่องของเรามันไม่ได้มีคนสนใจเท่าเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นพลาดบ้างได้ แต่อย่าพลาดเยอะ หรือถ้าคุณดังมากๆ ก็ห้ามพลาดเลย ไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าพูดซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับขึ้นเวทีชกมวยแน่นอนครับ’

และถ้าให้เลือกเพลงเปิดตัวขึ้นสังเวียน เขาตอบทันทีว่า 

‘ผมต้องเลือกเพลง ‘อย่าเล่นกับไฟ’ ของเป้เองครับ เพราะมันส์สุดที่ผมเคยทำมาแล้ว แล้วก็คิดว่าเพลงตัวเองมีตั้ง 60 กว่าเพลง จะเลือกเพลงคนอื่นทำไม หรือเพลง ‘ไม่ต้องทำหรอกบุญ ’ก็เคยใช้ตอน 10 Fight 10 แล้วก็แพ้ครับ (หัวเราะ)

Pae Arak
Photograph: STYLEdeJATE

ในอีก 5 ปี ข้างหน้าอยากให้คนจดจำ เป้ อารักษ์ ในฐานะอะไรมากที่สุด?

‘โห… มากที่สุดใช่ไหมครับ อยากเป็นผู้กำกับที่ทำหนังได้เงินติดกันสามเรื่องครับ ห้าปีน่าจะได้อีกสองเรื่อง (หัวเราะ)’

ท้ายที่สุดแล้วในบทบาทของการเป็นศิลปิน เขายังคงทำเพลงตามใจตัวเองอย่างอิสระ ในขณะที่การแสดงยังเป็นพื้นที่ที่เขารักและพร้อมกลับไปเสมอ แต่สิ่งที่เป้โฟกัสจริงจังที่สุดในวันนี้คือการเป็นผู้กำกับหรือคนเล่าเรื่องและต้องการพื้นที่ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่วงการบันเทิงบ้านเรา

สำหรับเขารายได้ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ แต่คือหลักฐานเชิงรูปธรรมของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้ แม้ยังอยากเล่นละครและทำเพลงต่อไป แต่เส้นทางการเป็นผู้กำกับคือสิ่งที่เป้มุ่งหน้ามากที่สุดในตอนนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นบทบาทบนสังเวียน ในห้องอัด บนเวทีแสดง หรือหลังกล้อง ทุกประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้เป้เติบโตขึ้นในเวอร์ชันที่เท่กว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม และยังคงเดินหน้าลุยกับความฝันของตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

Photographer: STYLEdeJATE @styledejate
Art director: PK Vanasirikul @peeekks
Assistant photographer: Eric D’ Geno @erinaerielle
Lighting: Stoppie Pumipat @thananchailoha @advancedphotosystems
Senior designer: Methita Trakulpoonsub @methitaa
Project manager: Sirinart Panyasricharoen @tibabit
Writer: Yokploy Chandrabha @tmyokploy
Translator: Pinghyu 
Video: Supathat Thardrak @gunnst__
Video editor: Supathat Thardrak @gunnst__
Photos: STYLEdeJATE @styledejate
Stylist: Mathimon Intharasuwan @chubbyz_gt
Stylist assistant: Nithikorn Moolyongsak @pepetchyy​
Hair stylist: Pornwasu Huamrun @Papalapom
Makeup artist: Chatchanok Natengampak @mameaw.everyday @ngampak.makeup
Location: REC. Bangkok
Talent Coordinator: Daniel Van Norden
Concept: Laurie Osborne @laurieosborne

การโฆษณา
  • Things to do
  • เรื่องแปลก

แม้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่หลายๆ คนก็มักจะมองหาที่พึ่งจากลางสังหรณ์บางอย่าง อย่างการแหงนหน้ามองดูดาว บางครั้งก็เปิดสำรับไพ่ทาโรต์ หรือเป็นการเข้าไปขอคำแนะนำจากหมอดูด้วยตัวเอง แต่ในยุคโซเชียลมีเดีย การดูดวงไม่ได้จำกัดแค่ผู้มีอายุที่มากด้วยประสบการณ์ในบรรยากาศคลาสสิกที่รายล้อมด้วยแสงเทียนสลัวๆ หรือหินคริสตัลไว้เสริมพลังงานอีกต่อไปแล้ว

ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่บุกเบิกกระแสดูดวงในยุคดิจิทัลก็คือ ‘นก–นภัสสร โชติกวณิชย์’ เจ้าของเพจชื่อดัง Bird Eye View ที่กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนมากมายเพื่อรับมือกับชีวิตของผู้คนที่คาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก อาการอกหัก และความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ถึงแม้หมอดูออนไลน์จะผุดขึ้นมากมายจนในที่สุดค่อยๆ หายไป แต่นกเป็นอีกคนหนึ่งที่กลับทำให้ผู้คนยังคงหลงใหลและติดตามเธอมาตลอดหลายปี เพราะด้วยเสน่ห์ ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และอารมณ์ขันของตัวเธอเอง 

จากหยดน้ำตาที่เคยร่วงหล่น ไปจนถึงเสียงสับสำรับไพ่ (ทาโรต์) นกได้สร้างจักรวาลของความรักที่หลากหลาย และโลกแห่งการดูดวงที่ผสานกันได้ลงตัว ซึ่งเมื่อเราได้ทราบถึงเบื้องหลังว่า จริงๆ แล้วอะไรบ้างที่ทำให้ช่องดูดวงของเธอถึงดูมีเสน่ห์และชวนให้ติดตาม แถมยังทำให้รู้สึก ‘อิน’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อได้ขนาดนี้

เพราะอกหักจึงพาเธอไปสู่เส้นทางใหม่ 

เมื่อถูกถามว่าเธอเริ่มต้นเส้นทางการเป็นหมอดูได้อย่างไร คำตอบของนกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมาเป็นหมอดูจริงๆ” และเธอสารภาพอีกว่า “ได้เริ่มต้นเส้นทางการเป็นหมอดูจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่าหาเลี้ยงชีพ” 

เธอเล่าว่าแรงผลักของอาชีพนี้จริงๆ มาจากตอนที่เธออกหักสมัยเป็นนักศึกษาปริญญาโท เมื่อเธอเจอกับปัญหาความรัก เธอเลยใช้เงินไปกับการดูดวงที่เยอะพอสมควร พอถึงจุดหนึ่งเธอคิดขึ้นมาได้ว่าสิ้นเปลืองเงินไม่เข้าท่า เลยลองเรียนหมอดูด้วยตัวเอง  

จนวันที่ได้เริ่มต้นเรียนหมอดูด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งกลับกลายเป็นแพสชันในชีวิตขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งความพยายามแรกๆ ของเธอคือการเรียนรู้ศาสตร์โบราณอย่างการดูลักษณะโหงวเฮ้งแบบจีนเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะเธอไม่ชอบตัวเลขและการคำนวณมาตั้งแต่เด็ก ทำให้การกำหนดค่าที่แม่นยำตามศาสตร์โบราณนั้นสร้างความหงุดหงิดให้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ

เธอจึงพยายามหาวิธีดูดวงที่เหมาะกับตัวเอง จนกระทั่งมาเจอกับไพ่ยิปซี ที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงได้ทันทีด้วยภาพสัญลักษณ์ที่ดูทรงพลัง “มันเหมือนกับว่าเราได้พูดภาษาที่ตัวเองเข้าใจจริงๆ” เธอเล่า ซึ่งครูที่สอนไพ่ทาโรต์ก็สนับสนุนให้เธอสร้างแนวทางของตัวเอง เธอเลยใช้วิธีศึกษาทางช่อง YouTube จากต่างประเทศและอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไปด้วย โดยเรียนรู้การอ่านความหมายของไพ่ทาโรต์ทั้งไพ่ตั้งตรงและไพ่กลับหัว ซึ่งตอนนั้นในใทยยังไม่ค่อยมีใครทำ โดยส่วนใหญ่จะยึดแนวทางแบบดั้งเดิมมากกว่าด้วยซ้ำ 

จุดเริ่มต้นของการเป็นหมอดูนี้เธอได้รับอิทธิพลมาจากพื้นเพทางครอบครัวด้วย ซึ่งคุณยายของเธอก็เป็นหมอดูซึ่งใช้ศาสตร์ฮินดูโบราณ แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้เรียนรู้โดยตรงมาตั้งแต่เด็ก แต่ดูเหมือน ‘สัญชาตญาณ’ ในการเป็นหมอดูจะไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเธอมาตั้งแต่ต้น “ฉันคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่ส่งต่อมาถึงฉัน” นกบอกพร้อมอธิบายว่า การดูไพ่ทาโรต์ของเธอต้องอาศัยการนั่งสมาธิและการกำจัดพลังงานที่ไม่ดีออกไป เพื่อให้การดูไพ่ทาโรต์สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของลูกค้าแต่ละคนและให้ออกมาเป็นกลางมากที่สุด

ในปี 2016 ช่อง Bird Eye View ของเธอได้เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เดิมทีเธอตั้งใจทำช่องเพื่อโชว์งานเฉยๆ แต่การทำคลิปแรกของเธอกลับกลายเป็นการอ่านไพ่ทาโรต์แบบง่ายๆ ให้ผู้ชมได้เลือกไพ่ใบใดใบหนึ่งก็ได้ ซึ่งคลิปนั้นถ่ายด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่าง คือหมอนกับผ้าปูพื้น แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับสะกดใจผู้ชมได้ไม่น่าเชื่อ

“เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ไม่กี่เดือนต่อมา ยอดวิวกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นมีผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเอง จนยอดวิวเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 วิว จนเรารู้สึกว่าเยอะมากเลย” เธอเล่าพลางหัวเราะ  

การทลายกรอบภาพจำเดิมๆ 

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีประเพณีการดูดวงที่สืบทอดกันมายาวนาน แม้กระทั่งในราชสำนักก็ตาม “คนส่วนใหญ่ยังคงจินตนาการว่าหมอดูต้องเป็นผู้หญิงมีอายุ ล้อมรอบด้วยข้าวของศักดิ์สิทธิ์ ที่คนมักนึกภาพว่าต้องเป็นผู้สูงวัยที่มีออร่าแบบน่าเชื่อถือ” เธออธิบาย แต่สำหรับเธอ การทลายภาพจำนี้คือแนวทางการเริ่มต้นและถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด 

ในตอนแรกที่เธอทำช่อง Bird Eye View เธอปกปิดใบหน้าตัวเอง เพราะกังวลถึงรูปลักษณ์ (ที่อายุน้อย) ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมสงสัยได้ แต่ด้วยการพิสูจน์จากความสามารถของเธอตั้งแต่ต้น และการได้ค่อยๆ เปิดเผยตัวเองออกมา เธอจึงเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้ว่า หมอดูไม่จำเป็นต้องลึกลับหรือเข้าถึงยากเสมอไป แต่พวกเขาก็คือคนที่มีทักษะ (อย่างหนึ่ง) ซึ่งช่วยให้ผู้อื่นก้าวผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากไปให้ได้ 

โดยหัวใจหลักในการอ่านไพ่ของเธอคือ อ่านเร็ว กระชับ และตรงประเด็น ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยแต่ละเซสชั่นมักใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ที่มุ่งเน้นไปยังเรื่องของความรักหรือความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอเห็นว่ามีความไม่แน่นอนทางด้านอารมณ์มากที่สุด

“ทุกคนเรียนรู้เรื่องงานหรือเรื่องเงินเพื่อวางแผนปรับปรุงเรื่องนี้ได้ แต่กับเรื่องความรักมักต่างออกไป เพราะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ มีความละเอียดอ่อน และมักอยู่เหนือการควบคุม” เธออธิบาย

แม้ทุกวันนี้จะมีช่องดูดวงบนโลกออนไลน์มากมาย แต่ช่อง Bird Eye View ยังคงเติบโตและดำเนินต่อไปเป็นเวลาถึง 9 ปี ซึ่งเธอมองว่าสาเหตุที่ช่องดูดวงได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ ก็เพราะสไตล์การอ่านไพ่ที่รวดเร็ว และทำให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม แม้บางคนจะบอกว่าเธออ่านเร็วเกินไป แต่ฐานแฟนคลับของเธอกลับขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เลยด้วยซ้ำ 

ใช้ AI เป็นตัวช่วย

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

ถ้าพูดถึงเรื่องการทำคอนเทนต์บนช่อง YouTube ที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะอิงคอมเมนต์จากผู้ชมและคำค้นหายอดนิยมบนเว็บไซต์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันเธอมีคู่หูอย่าง ChatGPT เข้ามาช่วยสร้างไอเดียในการทำคอนเทนต์ ทำให้การทำงานของเธอมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นแทนที่เธอเสิร์ชหาแนวคิดอย่าง ‘การอ่านไพ่สำหรับเรื่องความรัก’ แต่เธอกลับค้นพบรายชื่อหัวข้อที่น่าสนใจแทน เช่น ‘คุณจะได้เจอเนื้อคู่เมื่อไร?’ หรือ ‘ทำไมคุณถึงยังโสด?’  

เพราะในยุคที่หลายคนหันไปพึ่งตัวช่วยอย่างเอไอในการดูดวง เธอเชื่อว่าบางครั้งเทคโนโลยีก็แทนที่หมอดูอย่างมนุษย์ไม่ได้หรอก 

“มนุษย์ต้องการการปฏิสัมพันธ์ และต้องการใครสักคนที่รับฟังพวกเขาได้” เธออธิบาย “ความสบายใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากเทคโนโลยี แต่มนุษย์ต้องรู้สึกได้ว่าใครสักคนเข้าใจพวกเขาได้จริงๆ”

ความรักคือหลากมิติของอารมณ์ 

“ทุกคนมีเรื่องราวหลากมิติเกี่ยวกับความรักโดยที่บางคนอาจไม่รู้ตัว” แต่สำหรับนก ความรักคือจักรวาลแห่งอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและอาจพลิกผันเมื่อไรก็ได้ การอ่านไพ่ของเธอจึงมุ่งเน้นไปยังเรื่องความสัมพันธ์ ตั้งแต่ความรักที่โรแมนติก ไปจนถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะเธอเชื่อว่าความรักเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทั้งยุ่งเหยิงและน่าหลงใหลในคราวเดียวกันโดยไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะเธอมักสังเกตว่าผู้คนใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ไว้สำหรับประมวลผลเรื่องความรัก เพื่อแชร์ความคิดหรือความรู้สึกในพื้นที่ที่ปลอดภัย

“บางครั้งคนก็แค่ต้องการพื้นที่ระบายหรือทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง การได้อยู่ในตำแหน่งนั้นทำให้ฉันเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น และเข้าใจตัวเองด้วย” เธอสะท้อนให้เห็นภาพ 

Bird Eye View
Photograph: Bird Eye View

การให้คำปรึกษาของเธอดูกลมกลืนตามสัญชาตญาณที่เธอเป็น ทั้งพลังงานเชิงบวกและความเข้าใจ แม้ต้องเจอกับคำปรึกษาที่เปราะบางหรือเจ็บปวดก็ตาม เธอผ่อนแรงด้วยคำปลอบโยนและพลิกสถานการณ์ด้วยอารมณ์ขันอยู่เสมอ เพื่อเตือนไว้ว่าความรักอาจมีหลายอารมณ์ แต่ก็สวยงามและสะท้อนความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง 

เพราะหลายๆ คนมักมาขอคำปรึกษาจากเธอหลังจากโศกเศร้าจากอาการอกหักบ้าง หรือเมื่อความสัมพันธ์เริ่มไม่แน่นอนบ้าง ซึ่งการอ่านไพ่แบบ ‘เลือกไพ่ใบใดใบหนึ่ง’ ของเธอมักจะได้รับความนิยม โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตอย่าง ‘คนคนนี้คิดยังไงกับฉัน’ นั้นจะช่วยให้ผู้คนเห็นภาพได้ชัดเจน เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และค้นหาทางออกได้ 

อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีไม่ควรทำให้เกิดข้อสงสัยหรือเกิดการตั้งคำถาม แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว คำแนะนำของเธอคือการช่วยให้พวกเขาเข้าใจแนวทางและสถานการณ์ได้ดีขึ้น รวมถึงทำให้พวกเขายอมรับว่า การอยู่เป็นโสดจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย 

คอยดูแลและมอบความสบายใจ

สำหรับลูกค้าที่เข้ามาหาเธอไม่ใช่แค่เพื่อการทำนายอย่างเดียว แต่เพื่อความสบายใจและความชัดเจน เธอเจอสถานการณ์ละเอียดอ่อนหรือความเจ็บปวดอยู่บ่อยครั้ง และถ่ายทอดด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเอาใจใส่เสมอ

“แต่ถ้าเป็นข่าวร้าย ฉันจะสอดแทรกสิ่งดีๆ เพื่อชี้แนวทางต่อไปให้พวกเขา” เธอเล่า ซึ่งแนวทางของเธอเต็มไปด้วยความเมตตาแต่ซื่อตรง ตรงนี้ช่วยให้ลูกค้าได้สะท้อนถึงตัวเอง ได้ตัดสินใจด้วยความมั่นใจ และเข้าใจสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

แม้ฐานผู้ชมจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอยังคงตระหนักถึงบทบาทของตัวเอง เห็นได้จากในช่วงที่ Bird Eye View กลายเป็นที่นิยมสูงสุด เธอได้ดูแลและเทคแคร์ลูกค้าหลายร้อยคนต่อเดือน ไปจนถึงการได้ทำงานกับแบรนด์ต่างๆ ในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งเธอก็ยังคงรักษามาตรฐานของความเป็นมืออาชีพและเข้าถึงได้ง่าย 

“ฉันอยากให้คนเห็นว่าหมอดูเข้าถึงได้ง่าย เป็นกันเอง และมีความสามารถมากกว่าที่หลายคนคิด” เธอยืนยัน

แต่ถึงอย่างนั้น การให้คำปรึกษาหรือให้ความสบายใจแก่ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมหนีไม่พ้นคำถามสุดแปลกที่เธอเคยเจอ 

เช่น “ครั้งหนึ่งมีคนถามว่า ในจักรวาลมีกาแล็กซี่จำนวนเท่าไร” เธอเล่าพร้อมหัวเราะ

“ฉันต้องบอกเขาว่า แม้แต่นักวิทยาศาสตร์อาจจะยังไม่รู้ก็ได้ กรุณาโฟกัสที่ชีวิตตัวเองก่อนดีกว่า อย่าไปสนใจจักรวาลให้มากนักเลย” 

เรื่องเด่น
    การโฆษณา