วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
Sereechai Puttes/Time Out
Sereechai Puttes/Time Out

ตาม วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ไปสำรวจความหมายของหลายชีวิตบนโลก ผ่านนิทรรศการภาพถ่ายครั้งแรกของเขา

นักเขียน-นักเดินทางสายเถื่อน เล่าเรื่องนิทรรศการภาพถ่าย Serenity in Chaos (จลาจลอันงดงาม)

การโฆษณา

เรารู้จัก สิงห์–วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ในฐานะลูกชายคนสุดท้องของ กวีซีไรต์ จิระนันท์ พิตรปรีชา และศิลปินแห่งชาติ เสกสรร ประเสริฐกุล พอๆ กับการเป็นนักเขียน นักเดินทางผู้ผลิตรายการ เถื่อน ทราเวล สารคดีท่องเที่ยวที่วรรณสิงห์แบ็กแพ็กพาผู้ชมลุยสำรวจสถานเปี่ยมอันตรายมากมายทั่วโลก

ตลอดสิบกว่าปีที่ปผ่านมา วรรณสิงห์เดินทางปักหมุดไปถึง 71 ประเทศ ซึ่งเขาได้บันทึกความทรงจำการเดินผ่านภาพถ่ายอย่าสม่ำเสมอ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสนำภาพแห่งความทรงจำเหล่านั้นไปจัดแสดงที่ไหน กระทั่งได้รับการชักชวนจาก UNHCR ประเทศไทย (ซึ่งวรรณสิงห์เคยร่วมทำกิจกรรมในหลายโปรเจ็คก่อนหน้านี้) จนเกิดเป็นนิทรรศการ Serenity in Chaos (จลาจลอันงดงาม) ที่แสดงภาพถ่าย 55 ภาพ พร้อมเรื่องราวที่จะสะท้อนความงดงามของโลก ใน 4 หัวข้อ คือ War, Human, Nature และ Civillization ที่อาจทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาผู้ลี้ภัยได้มากขึ้นด้วย และเราได้ไปนั่งพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงานครั้งนี้มาฝาก

ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย มีความสำคัญต่อคนนอกพื้นที่นั้นอย่างไร

เรื่องแบบนี้คงจะขึ้นอยู่กับมุมมองครับ ผมคิดว่าปัญหาทุกปัญหา ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมยันปัญหาทางการเมือง ถ้าเราจะหาคำตอบว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเรายังไง มันคงน้อยมากเลยนะครับ เอาแค่เรื่องการเมืองไทยที่คนจำนวนมากคงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่พวกเราทุกคนก็ยังมีความรู้สึกร่วมต่อการเมืองด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะรู้สึกร่วมในมุมไหน มันก็แตกต่างกันออกไป

ส่วนปัญหาผู้ลี้ภัย ถ้าถามว่ามันส่งผลกระทบต่อคนภายนอกขนาดไหน ก็คงตอบว่าไม่มากมายอะไร แต่ถ้ามองในฐานะเพื่อนร่วมโลกมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะรับผิดชอบด้วยกัน และในเมื่อมันอยู่มีจริง เป้าหมายของผมกับ UNHCR ก็คือเราจะทำยังไงให้คนภายนอกมารู้สึกร่วมกับปัญหานี้มากขึ้น เราอยากกระตุ้นให้คนไทยหันมามองปัญหานี้มากขึ้น ให้เกิดความช่วยเหลือที่มากขึ้นตามไป ซึ่งผมกับ UNHCR เห็นตรงกันว่าวิธีหนึ่งที่ทำได้คือทำผ่านงานศิลปะ

Serenity in Chaos

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

ความจราจลงดงามอย่างไร

พอมานั่งดูภาพที่ถ่ายไว้ อยู่ดีๆ คำนี้ก็โผล่เข้ามาในหัว เพราะรู้สึกว่าทุกสถานที่ที่เราไป ถ้ามองจากข้างนอกมันจะดูโหดร้ายและอันตราย แต่พอไปถึงสถานที่นั้นแล้วผมกลับพบความงดงามที่มีรสชาติเฉพาะของแต่ละสถานที่ที่แฮะ ผมได้เห็นเรื่องราวความสวยงามของธรรมชาติ ของมนุษย์หรือของอารยธรรม ซึ่งผมว่ามันเซอร์ไพรส์เราทุกคนอยู่เสมอ

ผมคิดว่าสิ่งนี้มันคือแก่นของการเดินทางเลยนะ มันคือการที่มนุษย์ต้องพาตัวเองออกไปพบเจอเรื่องราวแปลกใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงน่าเบื่อตาย เพราะฉะนั้น พอผมกลับมาดูรูปที่ผมถ่ายมา ก็ได้กลับมาย้อนนึกดูว่ากว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ ตอนที่ไปฟังคนคนนี้พูด ตอนที่เห็นวิวตรงนี้ มันรู้สึกยังไงบ้าง ผมเอ็นจอยขั้นตอนการเลือกรูปจากทั้งหมดเป็นหมื่นๆ รูปมาก เพราะมันเหมือนพาผมกลับไปในช่วงเวลานั้นจริงๆ เลยเกิดเป็นชื่อคอนเซ็ปต์นี้ขึ้นมา ซึ่งผมชอบมาก แถมมันก็ตรงกับเรื่องหลักที่ผมกับ UNHCR เน้นในเทศกาลนี้ คือ เรื่องสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนมาสนใจกับปัญหาของผู้ลี้ภัย แต่ว่าเราก็ไม่ได้พูดเพียงเรื่องผู้ลี้ภัยจากสงครามนะ นิทรรศการนี้ยังมีอีก 3 หัวข้อ รวมเป็น 4 หัวข้อ คือ War (สงคราม), Human (มนุษย์), Nature (ธรรมชาติ) และ Civillization (อารยธรรม)

ในหัวข้อสงคราม นอกจากพูดถึงเรื่องผู้ลี้ภัย เรายังพูดถึงผู้คนที่ไม่เกี่ยวกับสงครามแต่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณสงคราม ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงระเบิด แต่พวกเขากลับหาความสุขในแบบของตัวเองได้ หรือบางสถานที่เรามองมาจากข้างนอกมันดูโหดร้ายอันตรายมาก แต่พอเข้าไปอยู่จริงๆ แล้วมันก็มีแง่มุมดีๆ อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นแบกแดด (Baghdad) เป็นเมืองที่ผมว่ามีอารยะธรรมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เดินไปไหนมาไหนก็จะมีคาเฟ่ หรือร้านหนังสือเต็มไปหมด รวมถึงตลาดนัดศิลปินที่คนเยอะมาก มาเล่นดนตรี จัดการแสดงต่างๆ ของเขาไปโดยที่ไม่ต้องมีเวที ไม่ต้องมีการเรี่ยไรเงิน ทุกคนมาเพียงจุดประสงค์เดียวคือแลกเปลี่ยนศิลปะกัน ซึ่งเป็นด้านที่หลายคนไม่เคยนึกถึงหรอก แต่เราก็ยังต้องนำเสนอถึงความโหดร้ายและความทุกข์ยากของแบกแดดที่มีอยู่จริงด้วยเช่นกัน

การทำนิทรรศการภาพถ่ายเป็นสิ่งที่อยากทำมานานแล้วหรือเปล่า

อยากทำมานานแล้วครับ แต่ไม่รู้จะเอาไปปล่อยที่ไหน ถึงไม่ได้ทำร่วมกับ UNHCR ก็คงเอาไปปล่อยสักที่หนึ่ง แล้วเผอิญว่า UNHCR เชิญมาพอดีและเรามีเป้าหมายเดียวกัน ก็ถือว่าวิน-วินทั้งสองฝ่าย ผมได้โชว์ผลงาน ผู้ลี้ภัยได้รับการช่วยเหลือ

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

การเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายมีเสน่ห์แตกต่างจากการเขียน หรือ ทำรายการสารคดีอย่างไร

สิ่งผมรู้สึกมาตลอดคือ เมื่อเราเป็นนักเล่าเรื่อง ไม่ว่าเราจะเล่าผ่านสื่ออะไรมันก็ยังเป็นเรื่องราวอยู่ดี ก่อนหน้านี้ผมเขียนหนังสือตลอด และในนิทรรศการนี้ผมก็ยังเอาทักษะนั้นมาใช้ เพียงแต่เปลี่ยนมาใช้รูปภาพเป็นตัวเล่าหลัก แล้วใช้ตัวหนังสือเป็นส่วนประกอบ ให้รูปภาพดึงสายตาคนก่อนเข้ามาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่เราเขียน

แล้วยากกว่าการทำแบบวีดีโอไหม

ยากคนละแบบ วีดีโอเหนื่อยกว่า เพราะต้องคิดอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งเทคนิคการถ่ายทำ การอัดเสียง การวัดแสง อุปการณ์กล้อง ถ่ายเสร็จแล้วยังต้องกลับมาตัดต่ออีก แล้วก็กว่าจะหาทุนเพื่อทำออกมาเป็นงานได้แต่ละงานด้วย แต่ภาพถ่ายเหมือนเป็นผลพวงจากการที่ผมออกไปทำงานวีดีโอมากกว่า เพราะผมมีนิสัยชอบจำเรื่องราวในแต่ละวันให้หมดด้วยการถ่ายภาพเอาไว้ เพราะมันคือข้อมูลทั้งหมดของสารคดีผม แล้วในจำนวนภาพพวกนี้มันก็พอมีภาพที่สวยที่ยังไม่เคยเอามาแสดงให้คนอื่นเห็น ก็เลยทำนิทรรศการนี้ขึ้นมา

ชอบภาพไหนมากที่สุด

ภาพของชนเผ่า Korowai ซึ่งเป็นเผ่ากินคน ซึ่งผมต้องใช้เวลาเดินกว่า 5 วันถึงจะเข้าไปถ่ายทำได้ ซึ่งตอนถ่ายภาพนี้พวกเขากำลังเดินทางไปล่าหมูกัน ผมว่ามันน่าสนใจมากเพราะเป็นสิ่งที่คนภายนอกไม่ค่อยได้รับรู้มาก่อน

คุณดูมีความสนใจในหลายด้านมากๆ มีวิธีแบ่งเวลาทำสิ่งต่างๆ อย่างไร

ทำไม่ทันครับ คงต้องตายแล้วเกิดใหม่ค่อยมาทำต่อ (หัวเราะ) คือถ้าเป็นตอนเด็กๆ คงต้องทำแข่งกับเวลาที่กำหนดไว้ให้ทันตลอด แต่พอตอนนี้อายุ 34 แล้ว รู้สึกว่าเหลืออีกตั้ง 50 ปีกว่า ถึงจะตาย เลยค่อยๆ ทำ เหนื่อยเมื่อไหร่ก็พัก แต่ยังมีสิ่งที่อยากทำอยู่เรื่อยๆ ในทุกช่วงเวลา

เคยกดดันไหมกับการเป็นลูกของคนที่มีผลงานเป็นตำนาน

จริงๆ ก็เป็นปมของผมตั้งแต่เด็กแล้วนะครับ แต่พอโตมาจนอายุ 30 ก็เลิกคิดเรื่องนี้แล้ว เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพ่อแม่ เพราะผมก็มีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจนอยู่แล้วในตอนนี้ ที่สำคัญคือเราไม่ได้ต้องการจะแข่งกับท่าน ตัวท่านเองก็ภูมิใจและคอยสนับสนุนผมมาโดยตลอด มันเลยทำให้ผมเลิกเปรียบเทียบกับพ่อแม่ต่อไป แต่ก็ต้องขอบคุณปมนี้ที่ช่วยผลักดันเราให้ทำผลงานออกมา ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว คิดแค่ว่าทำงานยังไงให้สนุกมากกว่า

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

Sereechai Puttes/Time Out Bangkok

อ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ

  • Art

ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้ จะมีสักกี่ช่องที่กล้าเปิดใจพูดถึงเรื่องของการติดสารเสพติด และหนทางในการเลิกและบำบัด ซึ่งนี่แหละที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ‘House of TayTay’ ช่องพอดแคสต์ที่ เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้คนที่รู้สึกถูกมองข้าม ไร้พื้นที่ในการเล่าเรื่อง และรู้สึกไร้คุณค่า

โดยผู้ก่อตั้งรายการนี้คือ Taylor Srirat เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเคยเป็นหนึ่งในกูรูด้านแฟชั่นมาก่อน แต่ในวัย 35 ปี เธอได้สร้างช่อง ‘House of TayTay’ ขึ้นมาเป็นพื้นที่ในการสนทนาเรื่องราวที่ยังคงไม่ได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมเอเชียของเรา

นอกจากนี้ ตลอดเวลากว่า 8 ปีที่เธอเดินบนเส้นทางการฟื้นตัวจากการเสพติด เธอใช้พอดแคสต์ไม่เพียงเพื่อเล่าเรื่องของตัวเอง แต่ยังเป็นพื้นที่ในการขยายเสียงของหลายๆ คนที่เผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับเธอ

พื้นที่ปลอดภัยที่สร้างจากเรื่องจริง

ตอนที่ Taylor Srirat เริ่มเขียนหนังสือ Stardust… Memoirs of an Imperfect Gaysian เธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าการตีพิมพ์หนังสือระดับนานาชาติต้องใช้มากกว่าแค่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ‘คุณต้องมีแพลตฟอร์ม ต้องมีตัวตนบนโลกดิจิทัล ต้องมีโซเชียลมีเดีย ต้องมีผู้ฟัง’ 

แรกเริ่มนั้นไอเดียการสร้างแพลตฟอร์มนี้เหมือนเป็นกลยุทธ์การตลาดซะมากกว่า แต่เมื่อยิ่งเธอได้สร้างคอนเทนต์มาเรื่อยๆ เธอรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การโปรโมตหนังสือเท่านั้น แต่เป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ที่สร้างจากความจริง

ซึ่งสิ่งนี้แหละที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของช่อง ‘House of TayTay’ 

‘ฉันอยากเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้พูดออกมาในตลอดระยะเวลาที่ฉันเติบโตมา’ Taylor บอกกับเรา 

Taylor Srirat
Photograph: taylorsrirat

ในฐานะ LGBTQ+ ที่เผชิญการเสพติด ความเจ็บปวด และแรงกดดันทางวัฒนธรรม เขารู้ดีว่าการไม่มีที่พึ่งพิงมันโดดเดี่ยวเพียงใด ‘ฉันอยากออกมาพูดถึงประเด็นที่ยังถือเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศแถบเอเชีย ทั้งการเสพติด การมีตัวตน ความรุนแรง เรื่องที่กระทบจิดใจ และแสดงให้เห็นว่าการเยียวยาจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร’ 

พอดแคสต์จึงกลายเป็นเส้นทางที่เธอใช้ทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริง เนื้อหาที่ออกมาทั้งจริงใจ ดิบ และไม่ผ่านการปรุงแต่ง ผ่านช่อง YouTube เธอเปิดเผยประสบการณ์การบำบัดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเชิญชวนผู้ฟังและผู้ชม ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการบำบัด กำลังต่อสู้กับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม กำลังเยียวยาบาดแผล หรือเพียงแค่ต้องการดูแลตัวเองในแบบของตัวเอง ให้รู้ว่า เรื่องราวของคุณมีค่าและคู่ควรที่จะถูกเล่าออกมา

เมื่อความเงียบกลายเป็นความเข้มแข็ง

เรื่องราวของ Taylor Srirat ไม่ได้เริ่มจากการเสพติด แต่มันเริ่มจาก ‘ความเงียบ’ แม้จะเติบโตในกรุงเทพฯ แต่เธอต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายจากพ่อและการถูกละเลยจากแม่ ทำให้ได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็กว่า ‘การเงียบหายไป อาจง่ายกว่าการพูดออกมา’

เมื่ออายุเพียง 12 ปี เธอถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำในอังกฤษ และต่อมาก็สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างโคลัมเบีย ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังไม่ถูกเยียวยา

เธอกลับมาประเทศไทยในวัย 20 และตระหนักว่า ครอบครัวที่เธอพยายามสร้างความภาคภูมิใจให้มาโดยตลอด กลับ ‘ไม่เคยเห็นตัวตนของเธอเลย’ โดยเฉพาะในฐานะที่เธอเป็นชาว LGBTQ+

‘ครอบครัวฉันไม่เคยมอบความรักอย่างแท้จริง มีแต่แรงกดดันและการละเลย’ เธอกล่าว

ความเจ็บปวดนำเธอเข้าสู่การใช้ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อใช้เป็นหนทางหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แม้ภายใต้ความรู้สึกไร้ตัวตน ถึงแม้ภายนอกเธอจะมีภาพลักษณ์สายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่เบื้องลึกกลับเต็มไปด้วยความตกต่ำ การเสพซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลายเป็นจุดแตกหักในชีวิต

‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันคืออาการป่วย’ เธอกล่าว

การบำบัดจึงเป็นเสมือนความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง Taylor ตัดขาดจากเพื่อนผู้ใช้ยา หันหน้าเข้าสู่การบำบัดและการฝึกทางจิตวิญญาณ เธออาศัยพลังความรักจากคู่รักและเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอจมดิ่ง และในที่สุดเธอพบกับการเยียวยาผ่านเสียงดนตรี หรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’

‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’

สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการกล้าเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และเหนือสิ่งอื่นใด เธอยังตั้งเป้าหมายที่จะใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อต่อยอดและช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

ความเจ็บปวดนั้นนำเธอเข้าสู่ยาเสพติด ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อเป็นการหลีกหนี มันทำให้เธอรู้สึกมีค่าภายใต้การไม่มีตัวตน แม้ว่าเธอจะมีภาพลักษณ์เป็นสายแฟชั่นที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่ภายในเธอเต็มไปด้วยความตกต่ำ กลับไปเสพยาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นการ Break Down ‘การเสพติดไม่ใช่ต้นเหตุของความเจ็บปวดของฉัน แต่มันเป็นอาการป่วย’

การบำบัดเป็นดั่งความรับผิดชอบที่เธอมีต่อตัวเอง เธอตัดขาดจากเพื่อนผู้ร่วมเสพ หันไปบำบัดและฝึกจิตวิญญาณ เธอพึ่งพาความรักจากแฟนและเพื่อนแท้ที่ไม่ปล่อยให้เธอจมดิ่ง จากทั้งหมดนั้น เธอได้พบกับการเยียวยาจากเสียงดนตรีหรือสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘Mariah Power’

‘เสียงของเธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก แม้ในช่วงเวลาที่แตกสลายที่สุด’ 

สำหรับ Taylor การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการตั้งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด นอกจากนั้นเขายังมีเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้อื่นเช่นกัน 

ป๊อปไอคอน พลังที่อยู่ภายใน และหนทางสู่การแสดงตัวตน

ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต Taylor ยกความดีความชอบให้กับเสียงเพลงในการนำทางเธอไปสู่แสงสว่าง โดยเฉพาะเพลงของ Mariah Carey ‘ฉันขอเรียกมันว่า Mariah Power’ สำหรับเธอ Mariah ไม่ได้เป็นแค่นักร้องชื่อดัง แต่เธอนั้นเป็นเหมือนดั่งจิตวิญญาณสูงสุด เพลงอย่าง  ‘Through the Rain’  หรือ ‘Can’t Take That Away’ นั้นเข้าถึงไปยังจิตใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งในเวลาที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยว

เรื่องราวของ Mariah ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็ง และเสียงของเธอ ย้ำเตือน Taylor ว่าไม่ว่าเธอต้องเผชิญอยู่กับอะไร ท้ายที่สุดมันยังมีแสงสว่างอยู่ในตัวเธอ และเธอจะไม่ยอมให้ใครพรากมันไป เพลงของ Mariah ทำให้เธอยังไม่ยอมแพ้แม้ว่าเธอจะแบกรับไม่ไหวแล้ว 

แฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของในการแสดงตัวตนของเธอ แว่นตาและสไตล์อันโดดเด่นนั้นสืบถอดมาจากครอบครัว ‘แม่และคุณยายรักแฟชั่น พวกเขาชอบสวมชุดจากแบรนด์ดังและสร้างลุคที่โดดเด่น ‘ฉันได้รับความคิดสร้างสรรค์มาจากพวกเธอแน่นอน’ 

Taylor Srirat
Photograph: Supathat T. - Time Out Thailand

แต่ว่าคนที่ทำให้เธอมีลุคที่โดดเด่นแบบนี้คือ Lady Gaga  ผ่านเธอ Taylor รับรู้ว่าสไตล์ไม่ได้แค่การลุคที่ดูดี แต่มันคือศิลปะ อิสรภาพ และการแสดงตัวตน ‘เธอช่วยให้ฉันเป็นควีนอย่างที่ฉันเป็นในทุกวันนี้’ 

Taylor ยังพบปะกับคนดังระดับโลกมากมาย เช่น Kim Kardashian, Kanye West และ Lady Gaga แต่คนที่โดดเด่นสำหรับเธอคือ Lindsay Lohan ‘เธอไม่ใช่แค่คนดังที่ฉันเจอ แต่เป็นคนที่ฉันเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ’ ลักษณะนิสัยที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปิดตัว และความเข้มแข็งของ Lindsay เข้ากับ Taylor ได้เป็นอย่างดี และเหมือนกับอีกหลายคน Lindsay ต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย และ Taylor ก็ชื่นชมกับความงามที่ Lindsay ได้สร้างให้กับตัวเอง

พลังแห่งความรัก

สำหรับ Taylor ความรักเป็นสิ่งจำเป็น ‘เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยไร้ความรัก?’ ความรักคือสิ่งที่เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นเป้าหมาย ความมืดให้กลายเป็นแสง และมอบพลังเมื่อทุกสิ่งพังทลาย

เธอมองความรักทั้งเป็นความรู้สึกและพลัง ‘มันเป็นพลังบวก เป็นการเยียวยา และเปลี่ยนแปลง มันผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้’ ผ่านความรักทีมีต่อตัวเอง จากผู้อื่น และจากชุมชน เธอพบพลังที่ทำให้เธอเอาชีวิตรอดจากการเสพติดและบาดแผล ‘ความรักช่วยเหลือฉันไม่วันที่ฉันไม่สามารถแม้แต่พยุงตัวเองได้’

พลังความรักนี้ยังเป็นหัวใจของหนังสือเล่มใหม่ของเธอ ‘ข้อความที่ฉันอยากสื่อออกไปคือ มันยังมีพลังอยู่ในตัวทุกคน แม้ว่าคุณจะรู้สึกแตกสลาย อับอาย หรือหลงทาง พลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรักตนเอง ความรักทางจิตวิญญาณ หรือการสนับสนุนจากชุมชนนั้นยังคงอยู่ ความรักนั้นช่วยฉันไว้ และฉันเชื่อว่ามันช่วยคนอื่นได้เช่นกัน’

ไม่ว่าเจอความท้าทายใด ทั้งการเสพติด บาดแผล ตัวตน หรือการถูกปฏิเสธ คุณมีพลังที่จะรอด คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ แค่ต้องแสดงตัวเองต่อไป สำหรับ Taylor หากหนังสือของเธอช่วยเพียงคนเดียวให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ให้พวกเขาพบกับคุณค่าในตัวเอง และการเยียวยานั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากจนทเเป็นไปไม่ได้ นั่นก็คือความสำเร็จสำหรับเธอแล้ว

ก้าวข้ามคำตีตรา สร้างแรงบันดาล ใจสู่การเยียวยา

เสียงตอบรับจากพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนถึงขั้นส่งข้อความตรงผ่านอินสตาแกรม เพื่อบอกว่างานของเธอมีความหมาย และเสียงของเธอสามารถเข้าถึงหัวใจของผู้ฟังได้เกินกว่าที่ได้คาดหวังไว้ บางคนที่กำลังต่อสู้กับการเสพติดหรือเผชิญหน้าอยู่กับความรู้สึกหลงทาง พอดแคสต์นี้ได้กลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้พวกเขา หลายคนตัดสินใจเข้าศูนย์บำบัดหลังจากฟังบทสัมภาษณ์ ในขณะที่บางคนเริ่มต้นการบำบัดทางจิตเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับการมองเห็นและเข้าใจแล้วจริงๆ

ในชีวิตประจำวันของ Taylor มักมีคนเข้ามาทักเสมอว่าชื่นชอบพอดแคสต์ของเธอ การได้เชื่อมต่อและเข้าถึงผู้ฟังในลักษณะนี้มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจ และทำให้ทุกความเจ็บปวด ทุกอุปสรรคที่ผ่านมาไม่สูญเปล่า ทว่าสำหรับ Taylor นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป้าหมายของเธอคือการขยายการสื่อสารสู่ผู้ฟังระดับนานาชาติ สร้างชุมชนที่แข็งแรงขึ้น ลดทอนอคติ และส่งต่อแรงบันดาลใจด้านการเยียวยาให้แพร่หลายไปในวงกว้างยิ่งกว่าเดิม

แขกรับเชิญในพอดแคสต์ของ Taylor Srirat ไม่ได้ถูกเลือกมาเพียงเพราะความเชี่ยวชาญ แต่เพราะพวกเขามีประสบการณ์ตรงในประเด็นที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสพติด การถูกทารุณ การแสวงหาตัวตน การทำงานขายบริการทางเพศ ความอคติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต เธอเชื่อมั่นว่า ‘ทุกเรื่องราวมีคุณค่าในแบบของมัน’ ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเสพติดสร้างแรงบันดาลใจให้กับเธออย่างลึกซึ้ง ด้วยพลังความเข้มแข็งและการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน นักเคลื่อนไหวด้านการกุศลก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ทั้งความมุ่งมั่นและไฟในการทำงาน แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม

Taylor Srirat
Photograph: taylorsrirat

หนึ่งในแขกรับเชิญที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับ Taylor Srirat ก็คือ ‘มาม่าซัง’ Taylor กล่าวว่า ‘เธอทั้งฉลาด จริงใจ และเป็นเฟมินิสต์ที่เด็ดเดี่ยว ปกป้องลูกๆ ในแบบที่แม่แท้ๆ ของชั้นไม่ก็สามารถทำให้ชั้นเห็นว่าความเข้มแข็งและความรักที่แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นยังไง’ แม้ในโลกที่มักพยายามลบตัวตนของคนอย่างมาม่าซังออกไป เธอกลับยืนหยัดในความจริงของตัวเอง พร้อมสอน Taylor ให้เข้าใจถึงพลังของความกล้า การปกป้อง และการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

หนทางสู่ ‘Wellness’ ในประเทศไทย

Taylor Srirat มองว่าการตีตราเกี่ยวกับการเสพติดยังคงฝังลึกอยู่ในสังคมไทย 

‘จนถึงวันนี้ มันยังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย’ เธอยังชี้ให้เห็นอีกว่า ความอับอายและความเงียบยิ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องพบเจอกับปัญหาที่หนักขึ้น หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเสพติดไม่ใช่สิ่งที่รักษาได้ยาก แต่มันคือปัญหาทางสุขภาพจิต และบ่อยครั้งมันถือเป็นกลไกในการรับมือกับความเจ็บปวด ความบอบช้ำ หรือความรู้สึกขาดการเชื่อมโยง ‘แทนที่จะได้รับการสนับสนุน ผู้คนกลับถูกตัดสิน’ เขาเสริม ว่า ‘มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำลายความเงียบ และเริ่มเปิดอกพูดคุยเรื่องการเสพติดด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ

Taylor Srirat ชี้ให้เห็นว่าในประเทศไทย การขาดความรู้ กฎเกณฑ์ และความตระหนักเรื่องกัญชา ทำให้การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นเรื่องเสี่ยง เขาเล่าว่า ‘ฉันเคยเห็นเด็กอายุแค่ 10 ขวบสูบกัญชาตามท้องถนน โดยไม่มีใครสอนหรือเตือนถึงความเสี่ยงที่จะตามมาเลย หากยังไม่มีการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาเสพติด สนับสนุนด้านสุขภาพจิต และสร้างความตระหนักในชุมชน การทำให้กัญชาถูกกฎหมายโดยไม่มีการศึกษา ก็เหมือนการสร้างความโกลาหลในอีกแง่หนึ่ง’

ในด้านที่สดใสขึ้น Taylor รู้สึกตื่นเต้นกับวงการสุขภาพของกรุงเทพฯ ที่กำลังเติบโต เธอกล่าวว่า ‘ตอนนี้มันบูมกว่าที่เคยเป็นมา’ และตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เขาได้ลองรับการเยียวยาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Crystal Healing และ Sound Bath ที่ช่วยทำให้จิตใจสงบ นอนหลับดีขึ้น และปรับสมดุลพลังงาน สิ่งที่เขาตื่นเต้นที่สุดคือการที่วงการสุขภาพกำลังจะกลายเป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโยคะกลุ่ม การทำสมาธิ Breathwork หรือ Community Sound Bath ที่เปิดให้เข้าร่วมทั้งในสวนสาธารณะและสตูดิโอ มันช่วยเชื่อมต่อและเยียวยาร่วมกัน เพราะการดูแลสุขภาพไม่ได้เป็นเรื่องของความสมบูรณ์แบบหรือการแข่งขันอีกต่อไป แต่มันคือการอยู่กับปัจจุบันและดูแลตัวเองให้ดีต่างหาก’ 

Taylor Srirat
Photograph: Supathat T. - Time Out Thailand

ก่อนจบบทสนทนาในครั้งนี้ Taylor ได้ฝากข้อคิดเอาไว้ว่า ‘จงเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากเป็น และเดินตามความฝันของคุณ แม้มันจะเป็นฝันที่น่ากลัวก็ตาม ปล่อยให้ความรักเป็นตัวนำทาง อย่าไปกลัว เพราะคุณสามารถทำได้ทุกอย่าง หากใส่ทั้งหัวใจและสมองลงไป อย่าให้ใครหรืออะไรมาทำให้แสงที่มีในตัวของคุณดับลง จงจำไว้ว่า คุณทรงพลัง คุณคู่ควร และคุณคือฮีโร่ของตัวเอง’

ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง ไม่ว่าจะเป็นการรวมญาติ งานมงคล หรือแม้แต่งานเลี้ยงเล็กๆ ระหว่างเพื่อนๆ ‘สุรา’ มักเป็นหนึ่งในสิ่งที่เพิ่มรสชาติและความรื่นรมย์ในกับงานต่างๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เครื่องดื่มเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ถูกตีกรอบไว้ด้วยกฎหมายและข้อห้ามนานัปการ 

ตั้งแต่การผลิตที่ผู้ประกอบการรายเล็กแทบไม่มีที่ยืน การจำหน่ายที่มีข้อกำหนดเข้มงวด ไปจนถึงเวลาที่อนุญาตให้ซื้อขาย และในหลายๆ ครั้งทำให้วงการสุราไทยติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้เข้ามาสร้างสีสันในซีนนี้สักเท่าไหร่

ที่ผ่านมา เราจึงเห็นเพียงไม่กี่แบรนด์ใหญ่ที่ครองตลาดไทยมาอย่างยาวนาน ขณะที่ผู้ผลิตรายเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสุราคราฟต์หรือสุราท้องถิ่น ที่ต้องเจอกับข้อจำกัดมหาศาลในการเล่าเรื่องราวและการสร้างแบรนด์ของตัวเอง บางครั้ง การพูดถึงไวน์ไทยหรือคราฟต์เบียร์อาจดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้บริโภค แต่สำหรับผู้ผลิต มันคือการต่อสู้กับข้อกฎหมายที่มองไม่เห็นนานหลายปี

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวดีครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การปรับแก้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ลดข้อจำกัดในการสื่อสาร แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ผลิตรายเล็กได้มีสิทธิ์และเสียงมากขึ้น สามารถเล่าเรื่อง แบ่งปันตัวตน และเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

และหนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ ผู้บริหารไร่องุ่น ‘GranMonte’ แบรนด์ไวน์ไทยที่เติบโตจากความพยายามของครอบครัว จนกลายเป็นชื่อที่นักดื่มไวน์ทั้งในและต่างประเทศให้การยอมรับ มีมี่ไม่เพียงแค่ดูแลธุรกิจครอบครัว แต่ยังลงแรงในเชิงนโยบายเพื่อผลักดันให้วงการสุราไทยมีพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่

วันนี้ Time Out ได้มีโอกาสนั่งคุยกับเธอถึงเรื่องราวเบื้องหลังการขับเคลื่อนกฎหมายใหม่ กับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมถึงวิสัยทัศน์ของเธอที่อยากเห็นวงการไวน์และสปิริตไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

จากงานอดิเรกของครอบครัว สู่ไวน์ไทยระดับประเทศ

Mimi Lohitnavy
Photographer: Granmonte Co., Ltd.

‘มีมี่ สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ ทายาทรุ่นที่สองของ GranMonte ธุรกิจไวน์ไทย ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2542 ในไร่องุ่นเล็กๆ ของครอบครัวโลหิตนาวีที่เขาใหญ่ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเพียงงานอดิเรก กลับกลายเป็นก้าวแรกของการสร้างชื่อเสียงให้กับวงการไวน์ไทยในวันนี้ 

สองทศวรรษผ่านไป ภาพที่เคยเป็นเพียงความพยายามเล็กๆ กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในมุมของผู้บริโภคในยุคที่เปลี่ยนผ่าน คนไทยหลายคนต่างอยากลอง อยากดื่ม และที่สำคัญคือเริ่มเข้าใจไวน์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น ทางแบรนด์จึงต้องการท่ีจะสร้างภาพลักษณ์และตัวตนในฐานะ ผู้ผลิตไวน์ไทยแท้ 100% 

‘การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดคือคนไทยยอมรับไวน์ท้องถิ่นแล้ว  มันไม่ใช่ของแปลกอีกต่อไป’ 

มีมี่เน้นย้ำกับเรา ไม่เพียงแค่รสนิยมที่เปลี่ยนไปแต่แนวคิดของผู้บริโภคก็โตขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันคำว่า ‘ความยั่งยืน’ และ ‘การสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น’ ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้นในการบริโภคสินค้า เนื่องจากไวน์ของ GranMonte ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในเชิงการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ทางแบรนด์อยากเป็นตัวกลางในการสื่อสารและให้ความรู้แก่นักดื่มทุกคน เนื่องจากมองเห็นว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บทบาทของไวน์ไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยถูกมองว่าเป็นของหรูหราสำหรับโอกาสพิเศษกลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น 

มีมี่อธิบายต่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการให้ความรู้และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกคน และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แน่นอนว่าจะทำให้ผู้ผลิตรายเล็กมีพื้นที่ในการเล่าเรื่องได้อย่างอิสระมากขึ้น

 การฝ่าฟันด้านกฎหมายสุรา

Granmonte
Photographer: mamalovesphuket

มีมี่เล่าอย่างจริงจังว่า ก่อนปี 2563 ผู้ผลิตสุรารายเล็กในไทยต้องประกอบอาชีพที่ไม่สามารถเปิดเผยหรือพูดถึงสินค้าได้โดยตรง เพราะจะพูดมากไปก็เสี่ยงเดือดร้อน จะโพสต์ขวดไวน์หรือขวดสุราลงอินสตาแกรมก็ยังกลายเป็นเรื่องน่าหวาดเสียว ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ ดันใช้ช่องโหว่ในการทำการตลาดได้แบบเนียนๆ ผ่านแคมเปญ CSR หรือการเล่นกับแบรนด์ดิ้ง

จนกระทั่งมาถึงกระแสการปฏิรูปที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างจริงจังในปี 2564 ซึ่งนี่ไม่ถือเป็นการแข่งขันวิ่งในระยะสั้น แต่มันคือ ‘มาราธอน’ ที่เต็มไปด้วยการประชุม การถกเถียง และการแก้ร่างกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าที่สภาผู้แทนราษฎรจะไฟเขียวโหวตอนุมัติหลักการ ก่อนจะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาจนท้ายที่สุดลงมติผ่านมาจนได้

‘หลังจากทั้งหมดนั้น กฎหมายก็ผ่านทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา’ 

มีมี่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายที่จะเกิดขึ้นว่า หัวใจของการปฏิรูปคือการให้ เสียงแก่ผู้ผลิตรายเล็ก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มาตรา 32/1 จากเดิมที่เขียนว่า ‘ห้ามผู้ใดโฆษณา’ ซึ่งตีความคำว่าโฆษณาไม่ได้เลย แต่กฎหมายใหม่แยกเป็นหลายข้อย่อย ตั้งแต่ มาตรา 32/1 ที่กำหนดว่าผู้ประกอบการสามารถโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือให้ความรู้ได้ โดยต้องอยู่ในกรอบที่กฎหมายลูกกำหนด ไปจนถึง มาตรา 32/2 เป็นเรื่องของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีชื่อเสียงที่รับผลประโยชน์ทางการค้า ห้ามใช้ชื่อเสียงหรืออิทธิพลเพื่อชักชวนให้คนอื่นดื่ม ซึ่งเป็นการปิดช่องโหว่ที่บริษัทเคยใช้จ้าง อินฟลูฯ ให้ทำคอนเทนต์แนวชวนดื่ม ส่วนประชาชนทั่วไปหากโพสต์รูปดื่มหรือแสดงความชอบในช่องทางส่วนตัว ไม่ได้รับผลประโยชน์ทางการค้า อันนี้ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย 

นอกจากนี้ อีกประเด็นคือ CSR และการสปอนเซอร์ก็มีความชัดเจนขึ้น ผู้ผลิตสามารถสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้ แต่ห้ามใช้โลโก้เพื่อการโฆษณาแฝง เช่น เป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลแล้วติดโลโก้เบียร์บนเสื้อ กฎหมายใหม่ห้ามชัดเจน เพราะถือว่าเป็นการโฆษณาแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้ห้าม CSR โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ต้องไม่ทำให้กลายเป็นการโปรโมตแบรนด์โดยตรง

‘ในที่สุด ผู้ผลิตรายเล็กก็สามารถพูดคุยกับผู้บริโภคได้โดยตรง โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป มันคือชัยชนะครั้งใหญ่จริงๆ’ 

และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของโพสต์บนอินสตาแกรมหรือแบนเนอร์โฆษณา แต่กฎหมายใหม่นี้มีผลกระทบกับทุกมิติของตลาดแอลกอฮอล์ สิ่งที่เปิดกว้างขึ้นคือ พื้นที่สำหรับการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตรายเล็กเฝ้ารอมาโดยตลอด

สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับร่างกฎหมายใหม่?

tippsymarketplace
Photographer: tippsymarketplace

แล้วผู้บริโภคทั่วไปจะได้อะไร?

สำหรับคนทั่วไป กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนั้น แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ อย่างเช่นการโพสต์รูปไวน์ลงโซเชียล ตอนนี้ทำได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวที่เบื่อกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วง 14.00–17.00 น. หรือวันพระใหญ่ วันสำคัญทางศาสนา ก็จะได้เห็นความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงแรมและสถานที่ที่มีใบอนุญาตถูกต้อง

สำหรับผู้ผลิตรายเล็กกฎหมายใหม่ยังช่วยให้มีความชัดเจนเรื่องการขายอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การตรวจบัตรประชาชน หรือการปฏิเสธไม่ขายให้กับลูกค้าที่มีท่าทีเมาเกินพอดี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่กฎหมายข้อบังคับบนกระดาษ แต่มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ผู้ผลิตสามารถพูดกับสังคมได้ว่า ‘พวกเราขายอย่างมีความรับผิดชอบ และเราควบคุมสถานการณ์ได้’

‘กฎหมายนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเชิญชวนให้คนเมาหนักขึ้น แต่มันคือการเปิดโอกาสให้คนได้เลือกอย่างมีข้อมูล’

นักท่องเที่ยวเองก็จะได้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สร้างความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอินโรงแรมในค่ำคืนอันยาวนาน แล้วสามารถหยิบไวน์หรือเบียร์ท้องถิ่นจากล็อบบี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อห้ามที่ซับซ้อน หรือการเข้าร่วมงานเฟสติวัล เทศกาลท้องถิ่นที่มีผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาสนับสนุน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบ เงินทุนเหล่านี้ก็จะถูกนำไปช่วยขับเคลื่อนดนตรีสด เวิร์กช็อป และกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน แทนที่จะเป็นเพียงโลโก้ที่ปรากฏอยู่ตามมุมต่างๆ ของงานเพียงเท่านั้น

การเล่าเรื่องสำคัญมากกว่ายอดขาย

 Granmonte
Photographer: Granmonte Co., Ltd.

สำหรับมีมี่ เธอมองว่านี่คือสิ่งที่สามารถช่วยผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยได้อีกรูปแบบหนึ่ง มีมี่บอกกับพวกเราว่า มันไม่ใช่แค่การดื่มไวน์ แต่มันคือการดื่มด่ำเรื่องราว และตอนนี้เรามีโอกาสในการพูดถึงมันแล้ว ซึ่งการดื่มไวน์มันไม่ใช่แค่การลิ้มรสชาติ แต่มันคือภูมิศาสตร์ เรื่องเล่า และความพยายามที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด และตอนนี้เราสามารถแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคนได้จริงๆ 

การปฏิรูปกฎหมายแอลกอฮอล์ของไทยในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะทางธุรกิจเท่านั้น แต่มันคือแรงผลักทางวัฒนธรรม ที่มีมี่เน้นย้ำกับเราว่าเธอไม่ได้ต้องการสร้างนักดื่มหน้าใหม่ เราต้องการให้คนหันมาดื่มอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่การดื่มในปริมาณมากขึ้น แต่เป็นการดื่มอย่างมีสุนทรียภาพ มีความสุขกับการได้เลือกสิ่งที่หลากหลาย

เป้าหมายของการออกกฎหมายใหม่ในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกระตุ้นให้คนออกมาดื่มเพิ่มขึ้น แต่มันคือการสร้างวัฒนธรรมการดื่มที่มีความรับผิดชอบ ผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่อยู่ในแก้ว รู้แหล่งที่มา และตระหนักถึงผลกระทบของมัน

ดื่มให้กับการเปลี่ยนแปลง

Dua Lipa
Photograph: Dua Lipa

กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตขนาดเล็กเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าของพวกเขาได้เฉิดฉาย ผู้บริโภคไม่ได้เพียงลิ้มรสเครื่องดื่ม แต่ยังได้สัมผัสเรื่องราว ความตั้งใจ และแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ในทุกขวด

ร่างกฎหมายนี้เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ให้ซีนเครื่องดื่มของไทยเต็มไปด้วยความหลากหลาย สิ่งที่เราดื่มไม่ใช่แค่ไวน์หรือสุรา แต่คือเรื่องราว การสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมที่สามารถสื่อสารได้อย่างอิสระ เป็นสัญลักษณ์ของความกล้า การเปลี่ยนแปลง และโอกาสใหม่ๆ ที่ช่วยให้วงการเครื่องดื่มของไทยเติบโตควบคู่ไปกับผู้ดื่มที่เข้าใจและรับผิดชอบ

ส่วนกฎหมายลูกและข้อบังคับต่างๆ ที่จะตามมา ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะออกมาในรูปแบบใด มีรายละเอียดหรือเงื่อนไขอะไรให้ลุ้นกันอีกบ้าง รอติดตามไปพร้อมๆ กันได้เลย

การโฆษณา
  • Movies
  • ภาพยนตร์สารคดี

ด้วยจำนวนผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนในช่องยูทูป ถ้าเราจะเรียก มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ผู้นี้ว่าเป็นศาสนดาแห่งอาหารก็คงจะไม่เกินจริง กับภารกิจออกตามล่าของอร่อยทั่วทุกมุมโลกโดยเฉพาะโซนเอเชีย ตั้งแต่ร้านหรูจนถึงร้านข้างทางในซอกกำแพงที่หลายคนองข้าม 

ความหลงใหลในอาหารและการกินซึ่งติดตัวกับเขามาตั้งแต่เด็ก กับการเติบโตในฮาวาย ท่ามกลางความหลากของวัฒนธรรม ที่ยกให้อาหารเปรียบเสมือนช่วงเวลาแห่งการสังสรรค์ นำพาเขาได้ออกเดินทางไปทั่วโลก ก่อนจะหลงรักเข้ากับรสชาติของเอเชียและประเทศไทย ให้เขาได้ใช้ความชอบกินนี้เป็นตัวเชื่อม ระหว่างคนทำและคนกินไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกได้มาเจอกัน ในฐานะฟู๊ดวล็อกเกอร์ 

Mark Wiens
HBO GOMark Wiens
“สำหรับผมอาหารคือสิ่งที่เราทุกคนต้องการเพื่อการดำรงชีวิต เราทุกคนต้องกิน ผมเลยคิดว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็มีส่วนร่วมได้” 

เขาเล่าให้ Time Out ฟังหลังจากที่เราถามว่าสำหรับเขาแล้วอาหารคืออะไร เพราะนอกจากอาหารจะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ต้องกินและสนใจ ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราทั้งหมดได้บินข้ามประเทศมาเจอเขาในประเทศสิงคโปร์ กับการเปิดตัวในฐานะผู้ดำเนินรายการใหม่ล่าสุดจากทาง HBO อย่าง Food Affair with Mark Wiens ที่เขาจะพาเราไปเจอรสชาติความอร่อยใ นประเทศที่ขึ้นว่าเป็นศูนย์กลางของอาหารในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง สิงคโปร์ 

อาหาร… ที่พาเขาเดินทางจากวล็อกเกอร์สู่พิธีกรรายการ

ใครที่เคยชมรายการจากช่องของเขา เมักจะได้เห็นรีแอคชั่นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจากการได้กินอาหารอร่อยๆ ไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะเป็นอาหารธรรมดาๆ ที่หากินได้ทุกวัน หรือเมนูแปลกแหวกพิสดานก็ตาม ทุกอย่างถูกบันทึกไว้อย่างเป็นธรรมดาไร้สคริปต์ไร้การปรุงแต่งใดๆ 

“ตอนแรกผมเริ่มเขียนบล็อคและถ่ายรูปอาหาร สักพักผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผม เพราะว่าผมชอบกินอาหารข้างทาง และการกินอาหารข้างทางเต็มไปด้วยพลังงาน มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นขณะที่คุณกำลังกินอยู่ คุณได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน คุณเห็นการทำอาหารตรงหน้า เลยเป็นสาเหตุให้ผมเริ่มถ่ายวิดีโอ เพราะรู้สึกว่าน่าจะเป็นตัวที่ถ่ายทอดทุกอย่างที่ผมเห็นได้ดีกว่า และผมก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้” 

อาหาร… ที่นำไปสู่ความหลงใหล

“ความหลงใหลในอาหาร” ที่ไม่ใช่แค่คำอธิบายความสนใจในตัวเขาเอง แต่ยังสามารถเหมารวมได้ทั่วทั้งเอเชียเลยทีเดียว ผมคิดว่าความหลงใหลนี้สามารถใช้ได้กับทุกคนโดยเฉพาะชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะอาหารถือเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรม อาจจะมากกว่าที่ใดบนโลกด้วยซ้ำไป

“คนเอเชียนชอบกิน ไม่ว่าจะพบปะเพื่อนฝูงหรือครอบครัว การกินคือสิ่งที่ต้องทำ พวกเรามักจะพูดถึงการกินตลอดเวลา แม้กระทั่งกำลังกินข้าวอยู่ ก็อาจจะพูดถึงมื้อต่อไปว่าจะกินอะไรดี

ความหลงใหลที่ว่ายังเป็นหัวใจสำคัญของรายการ Food Affair with Mark Wein เพราะรูปแบบรายการจะเป็นไปสำรวจจักรวาลสองขั้วความอร่อย ตั้งแต่สตรีทฟู้ดข้างทางไปจนถึงอาหารไฟน์ไดนิ่งในร้านดีกรีดาวมิชลิน 

ตลอดทั้ง 6 ตอนในซีซั่นแรกนี้ มาร์ค วีนส์ พาเราไปเจอกับเชฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร รวมถึงเจ้าของร้านสตรีทฟู้ด ที่ทุกคนล้วนแต่แชร์ความหลงใหลในอาหารร่วมกัน สิ่งที่ผมชอบเกียวกับ Food Affair คือการที่ทุกคนได้แชร์เรื่องราวของตัวเอง จุดเริ่มต้มที่ทำให้ให้เชฟทั้งในร้านไฟน์ไดนิ่งและร้านข้างทางเริ่มต้นเส้นทางนี้ และมุมมองที่มีต่ออาหาร ซึ่งจะว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราทุกคนก็ได้ นอกจากนี้ยังเป็นนำเสนอให้ทุกคนเห็นว่า

“เราสามารถมีประสบการณ์ที่ดีและน่าจดจำกับการกินอาหารไฟน์ไดนิ่ง เท่ากันกับเวลาที่เรานั่งกินอาหารข้างทาง”  

อาหาร… ที่มากกว่าแค่ความอร่อย 

“ผมอยากให้ทุกคนรู้สึกอยากกินอาหารที่เรานำเสนอในรายการ ขณะเดียวก็อยากให้ทุกคนได้ชื่นชมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วย เพราะอาหารทุกอย่างที่คุณกิน ถึงแม้ว่าคุณจะทำเองก็ตาม ล้วนแต่มีเรื่องราวความเป็นมา และอาหารทุกจานยังเป็นตัวแสดงถึงความพยายาม ความมุ่งมั่นของคนทำอาหารที่พยายามจะนำเสนอความอร่อยเหล่านี้” สิ่งที่เขาเพิ่งเล่าไปยิ่งเหมือนการตอกย้ำว่า “ความอร่อย” เป็นเรื่องปัคเจคบุคคล สิ่งที่เราได้จากการไปกินร้านอาหารต่างๆ คือเรื่องราว การฝึกฝน และการชื่นชมความสามารถของเชฟทั้งหลายหรือแม้แต่คุณป้าร้านส้มตำที่ฝึกฝนจนได้อาหารที่ตักเข้าปากแล้วเรากล้าพูดว่าอร่อยแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะอาหารอร่อยก็คืออร่อยต่อให้จานละสิบบาทห้ามบาทหรือหลักพันหลักหมื่นก็ตาม

อาหาร… ที่เป็นตัวแทนแห่งความหลากหลาย

มาร์ค วีน เกิดที่ฮาวาย ก่อนจะเริ่มออกเดินทางพร้อมครอบครัวของเขาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ กับการย้ายไปอยู่เมืองเล็กๆ ในหุบเขาของประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะย้ายไปประเทศคองโก ตามมาด้วยประเทศเคนยา ทำให้เขาถือว่าเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกับอาหาร “ทุกครั้งที่ผมได้กินอาหารจากประเทศต่างๆ ผมจะคิดว่ามันจะดีขนาดไหนถ้าได้กินในประเทศนั้น ผมเลยตั้งใจว่าสักวันจะต้องเดินทางไปกินอาหารพวกนั้นที่ประเทศต้นตำรับให้ได้” หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเขาเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวในทันที และประเทศไทยก็คือจุดหมายปลายทางแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ด้วยความที่เขาชอบกินตั้งแต่เด็ก ทุกเมืองที่เขาไปการตามล่าหาของอร่อยข้างทางเลยเป็นเหมือนมิชชั่นของเขา ที่นำไปสู่การรวมตัวเป็นคอมมิวนิตี้อาหารหรือถ้าจะเรียกว่าแฟนเบสของเขาก็ว่าได้ 

Mark Wiens
HBO GOMark Wiens

“สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับอาหารข้างทางของสิงคโปร์ คือทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกันหมด คุณสามารถไปที่ศูนย์อาหารและสั่งอาหารแต่อย่างมากินพร้อมกันได้ในมื้อเดียว ถ้าเป็นประเทศอื่นเราอาจจะต้องติดอยู่บนถนนไม่ต่ำกว่าชั่วโมงสำหรับการย้ายร้าน” เขาให้คำตอบว่าจุดเด่นของอาหารสิงคโปร์คืออะไร และอะไรที่ทำให้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของวงการอาหาร “ด้วยความที่สิงคโปร์มีความนานาชาติมาก เป็นศูนย์กลางของหลายๆ วงการ ทำให้มีคนจากทั่วโลกบินมาที่นี่ รวมถึงเชฟด้วยเช่นกัน พวกเขาสามารถมาที่นี่แล้วทดลองกับรสชาติอาหารใหม่ๆ เพราะมีกลุ่มคนที่พร้อมเปิดรับสิ่งเหล่านั้นในทันที 

“สำหรับประเทศไทยเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะหลายปีหลังมานี้ จากที่อาหารไทยมักจะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดไฟน์ไดนิ่ง แต่เราก็มีร้านอาหารศรณ์ มีเชฟต้น-ธิติฏฐ์และคนอื่นๆ อีกมากมาย ที่พยายามจะนำพาอาหารไทยไปสู่อีกระดับ ในมุมมองของผมสิ่งที่ทำให้วงการอาหารในประเทศไทยโดดเด่นคืออาหารไทย และสำหรับสิงคโปร์คือความหลากหลาย แต่ทั้งหมดก็เชื่อมโยงกันภาจใต้คำว่าอาหาร ที่เราทุกคนชอบเหมือนกัน”

สามารถรรับชมซีรีส์ Food Affair with Mark Wiens ได้แล้ววันนี้ทาง HBO Go 

รายชื่อร้านอาหารที่อยู่ในรายการสามารถตามรอยกันได้

  • Zén
  • Selera Nasi Lemak
  • Hainanese Delicacy
  • Peach Blossoms
  • Violet Oon
  • Old Nyonya
  • Old Tiong Bahru Bak Kut Teh
  • Cloudstreet
  • Kotuwa
  • Samy’s Curry
  • Kazu Sumiyaki
  • Burnt Ends
  • Kwong Satay
เรื่องเด่น
    การโฆษณา