8 คาเฟ่โทนดำสำหรับใช้เวลากับตัวเองในบรรยากาศดาร์กๆ

คาเฟ่เปิดใหม่ที่ถึงแม้จะเขยิบออกไปไกลจากใจกลางเมืองพอสมควร แต่คุ้มค่ากับการไปแน่นอน เพราะเดินทางง่ายติดบันไดขึ้นลงสถานทีรถไฟฟ้าพหลโยธิน 59 ด้วยการดัดแปลงตึกแถวให้กลายเป็นพื้นที่คอมมูนิตี้สุดครีเอทีฟอย่าง Ground For โดย Atelier2+ สตูดิโอออกแบบลายเซ็นชัดเจนตั้งแต่พื้นที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร จนถึงเฟอร์นิเจอร์ บริเวณด้านล่างสุดของอาคารที่เป็นที่ตั้งของคาเฟ่ จะเน้นความดิบเปลือยของปูนและอิฐร่องรอยจากโครงสร้างเดิม แทรกด้วยวัสดุสไตล์อินดัสเทรียล มีการทุบพนังและเพดานชั้นบนให้เกิดความโปร่งโล่ง ในพื้นที่กึ่งเอาต์ดอร์ที่มีทั้งหินและต้นไม้สีเขียวสบายตา 

สำหรับกาแฟของที่นี่มีให้เลือกทั้งแบบสปีดบาร์และสโลว์บาร์ หากสั่งตัวกาแฟที่เป็นเฮาส์เบลด์ (เริ่มต้นที่ 85 บาท) จะได้ความเข้มระดับกลาง แฝงกลิ่นแบบนัตตี้ถูกใจคนที่อยากได้กาแฟดีๆ อร่อยๆ เรียกพลังกลับร่างแน่นอน 

Vibrant เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร 065 095 6552 /www.facebook.com/vibrant.bkk 

ร้านกาแฟสีดำที่มีสำนักงานสถาปนิกอยู่ด้านหลัง คาเฟ่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยไอเดียของการออกแบบ และอาจมีพนักงานเดินมาสั่งกาแฟดื่มอยู่ตลอด แม้ร้านจะเน้นการใช้กระจกเพื่อรับแสงธรรมชาติ แต่การตกแต่งส่วนใหญ่เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่มีสีดำ ตั้งแต่ผิวอาคารด้านนอกที่เป็นไม้ ไปจนถึงความตั้งใจใช้เหล็กดำขึ้นสนิมเป็นกำแพงไปจนถึงเคาน์เตอร์บาร์ เพื่อโชว์สัจจะแห่งวัตถุ

บรรยากาศร้านค่อนข้างชิลและมีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ให้เราคอยสังเกต ใครอยากนั่งดื่มเครื่องดื่มในบรรยากาศโมเดิร์น มีมุมเล่นแสงและเงาให้ถ่ายรูปดูเหงาๆ แนะนำให้ลองมาร้านนี้ดู

ใครจะเชื่อว่าหลังประตูเหล็กบานสีดำจะพาเราหลีกหนีความวุ่นวายภายนอก แล้วสามารถนั่งดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟจากทั่วโลกได้อย่างเพลิดเพลิน Labyrinth Cafe ที่หลายคนอาจกำลังแอบออกเสียงไม่ถูกนั้นแท้จริงอ่านว่า แลบลิ้น คาเฟ่ ที่มาของชื่อคือตั้งตามชื่อสตูดิโอของหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้าน เจ้าของร้านเป็นเพื่อนสนิท 3 คนที่รักการดื่มกาแฟเหมือนกัน คือ คุณเฟรย์–ณทพน จารุวัชระพน คุณยิ้ม–วรัญญู มาลสุขุม และ คุณเดช–สิทธิเดช ตั้งสัมฤทธิ์กุล จึงตัดสินใจเปิดร้านคาเฟ่ที่จะช่วยเล่าเรื่องราวของสามย่าน ผ่านพื้นที่ในตึกเก่าอายุ 70 ปี โดยมีรสกาแฟจาก slow bar เป็นเครื่องมือดึงดูดให้ทุกคนเข้ามาใช้เวลาในร้านให้นานที่สุด คาเฟ่แห่งนี้ไม่มีป้ายบอกชื่อร้านให้เห็นชัดเจน มีเพียงบานกระจกใสให้สังเกตว่าด้านในมีบาร์กาแฟเปิดอยู่ เพราะร้านตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของ The Shophouse 1527 อาร์ตสเปซที่ต้องการเก็บร่องรอยเดิมของตึกเอาไว้ให้มากที่สุด เช่นเดียวกับคาเฟ่ที่จะเห็นได้ทันทีที่ก้าวเข้ามา ร่องรอยบนผนังเป็นของดั้งเดิม บันไดเดินขึ้นสู่อาร์ตสเปซก็เป็นของตึกนี้ สิ่งที่เพิ่มเติมมีเพียงเคาน์เตอร์บาร์สีดำ เก้าอี้สำหรับนั่งดื่ม และพื้นคาเฟ่ที่ปูด้วยหินกรวด คาเฟ่เน้นใช้แสงจากธรรมชาติ แต่บรรยากาศร้านดูผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ  หากหยิบเมนูของร้านขึ้นมาดูจะเห็นว่ามีให้เลือกไม่มากเท่าไหร่ เพราะที่จริงแล้วความหลากหลายอยู่ที่ชนิดของเมล็ดกาแฟต่างหาก ด้วยความตั้งใจเป็น slow bar จึงอยากแนะนำให้ทุกคนลองเมนู Pour Over Coffee (140 บาท) กาแฟดริปที่มีเมล็ดจากแหล่งต่างๆ หมุนเวียนมาให้ลองกันตลอด สามารถนั่งดูวิธีดริปกาแฟและพูดคุยเรื่องกาแฟกับบาริสต้าได้ ส่วนเมนูซิกเนเจอร์คือ Black Magic (90 บาท) กาแฟช็อตเอสเพรสโซอินฟิวส์กับลิ้นจี่ ได้แรงบันดาลใจมาจากเมน

คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในโชว์รูม BMW Barcelona Motor แถววิภาวดี-รังสิต เน้นตกแต่งด้วยสีดำทั้งร้านเข้าไปแล้วให้ทั้งความรู้สึกเท่และเรียบหรู กาแฟที่ร้านจะใช้เมล็ดส่งตรงจากโรงคั่วในออสเตรเลีย มีเมล็ดให้เลือกหลากหลาย พร้อมมุม slow bar ในนั่งดื่มด่ำกับกาแฟหอมๆ 

คิดใหม่ หรือ มรณานุสติคาเฟ่ คาเฟ่ที่ต้องการให้ทุกคนรู้ว่าความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องอัปมงคลหากเราจะวางแผนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไว้ล่วงหน้า การตกแต่งภายในจึงนำเสนอเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตมนุษย์อย่างชัดเจน ซึ่งก็คือการเกิด แก่ เจ็บ และตาย โดยนำเสนอผ่านเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์และห้องนิทรรศการที่จำลองแต่ละช่วงเวลาของชีวิตให้คุณได้สัมผัสและมองเห็นความจริงมากขึ้น ทางเข้าเป็นอุโมงค์สีดำสังเกตได้ไม่ยาก มีแผ่นป้ายคำถามให้เราฉุกคิดขณะเดินเข้าไปในร้าน คาเฟ่เน้นใช้สีดำเป็นหลัก ตั้งแต่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม ไปจนถึงโซนที่นั่งซึ่งมีทั้งกลางแจ้งและห้องแอร์ แทบทุกมุมของร้านเต็มไปด้วยข้อคิด มีโครงกระดูกเป็นของตกแต่งแต่ไม่ดูน่ากลัว… ห้องนิทรรศการไม่ได้มีไว้ให้เดินชมเฉยๆ แต่ละห้องเราสามารถมีส่วนร่วมได้ โดยเฉพาะห้อง ตาย ที่จัดได้ใกล้เคียงกับงานศพจริงๆ มากเลยทีเดียว แถมมีโลงศพให้ลงไปนอนสัมผัสช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตด้วย นอกจากห้องนี้ก็มีห้องอื่นๆ น่าสนใจอีก อย่างเช่น ห้อง แก่ ที่ทุกคนจะได้ลองสวมอุปกรณ์ให้ร่างกายใกล้เคียงกับผู้สูงอายุ ซึ่งเราอาจเข้าใจคนในครอบครัวมากขึ้นก็ได้ เมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์มี 4 เมนู (แก้วละ 180 บาท) ชื่อเมนูตั้งตามคอนเซ็ปต์ร้าน ได้แก่ เกิด เมนูอิตาเลียนโซดาที่ฟองอากาศสื่อถึงชีวิตและลมหายใจ แก่ เมนูโกโก้ร้อนท็อปด้วยฟองนมและมาร์ชเมลโลที่จะค่อยๆ ละลายไปเปรียบเสมือนร่างกายและอายุที่ร่วงโรย เจ็บ เมนูขนมคล้ายคัพเค้กที่สื่อถึงร่างกายที่แตกหัก มีแคร็กเกอร์ ซอสสตรอว์เบอร์รี วิปปิ้งครีมและหลอดฉีดยาบรรจุซอสสีแดง สุดท้ายเมนู ตาย โกโก้ปั่นแต่งด้วยขนมป็อกกี้ที่เปรียบเสมือนธูป 1 ดอก ราดซอสช็อคโกแลตวน 3 ครั้ง ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ อย่าง กาแฟหรือชา ก็มีให้

คาเฟ่เครื่องดื่มที่รับล้างฟิล์มในบรรยากาศสุดเท่สไตล์คนเล่นกล้อง เมื่อเข้ามาจะพบกับบรรยากาศสบายๆ มีเพียงแสงจากธรรมชาติผสมกับดวงไฟสีส้มที่ลอยอยู่เหนือเข้าเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งบริเวณนั้นมีบาริสต้าคอยดริปกาแฟให้ดื่มอยู่ด้วย สำหรับคนที่สนใจหรืออยากลองเล่นกล้องฟิล์มก็สามารถแวะมานั่งคุยกับพนักงานที่ร้านได้บ่อยๆ เพราะพนักงานที่นี่มีความเชี่ยวชาญพอสมควร สามารถให้คำปรึกษาได้ดีเลย

หรือใครแค่อยากมานั่งดื่มกาแฟสูตรพิเศษแบบเงียบๆ คนเดียว ร้านนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีเช่นกัน

ร้านกาแฟ slow bar กึ่งสตูดิโอในบ้านเก่าย่านพระราม 9 (ซอย 43 แยก 9) ตกแต่งสไตล์วินเทจลอฟต์ โชว์ความดิบเท่โทนดาร์กๆ ที่สำคัญคือเจ้าของเป็นคนชอบถ่ายรูป เพราะฉะนั้นในร้านจึงมีมุมถ่ายรูปเช็กอินที่ทั้งสวยและไม่เหมือนใคร

บาร์กาแฟสุดโมเดิร์นที่อยู่ภายในโรงแรม SO Sofitel Bangkok ย่านสาทร ร้านเน้นเสิร์ฟเครื่องดื่มแบบ grab and go ทว่าก็มีบริเวณจัดไว้สำหรับนั่งดื่มด้วยเช่นกัน ส่วนหน้าตาของ KOF สาขานี้จะให้ความรู้สึกหรูหราทันสมัย เพราะเน้นใช้วัสดุเล่นแสงสีทองแต่ดูสบายตา ซึ่งช่วยขับตัวบาร์ให้โดดเด่นท่ามกลางบริเวณโดยรอบที่เป็นสีดำ

เมนูกาแฟซิกเนเจอร์ของร้านจะใช้เมล็ดกาแฟ house blend ที่ผสมกันระหว่างไทย ลาว และบราซิล สามารถลองชิมได้ในเมนู Kof Kone (160 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มร้อนเสิร์ฟในโคนวัฟเฟิลที่นำไปดิปช็อกโกแลต สามารถเลือกเครื่องดื่มได้คือ ลาเต้ มัจฉะ และช็อกโกแลต อีกสิ่งพิเศษของเมนูนี้นอกจากความสนุกแล้วก็คือ มีเสิร์ฟเพียงวันละ 20 โคนเท่านั้น ส่วนใครที่อยากดื่มกาแฟแบบ single origin ร้านก็มีเมนูกาแฟที่คุ้นเคยให้สั่งเช่นเดียวกัน โดยราคาเริ่มต้นที่ 85-135 บาท

ร้านจะมีเมนูใหม่ตามเทศกาลมาให้ลองอยู่เสมอ อย่างช่วงวาเลนไทน์นี้หากใครแวะไปจะได้ลองเมนู Strawberry Shakerato (150 บาท) ด้านล่างเป็นสตรอว์เบอร์รีพิวเร ตามด้วยนม ช็อตกาแฟ และโรยผงโกโก้ด้านบน ส่วนเมนูที่พวกเราชอบเป็นพิเศษคือ Berrychino (130-140 บาท) มีเสิร์ฟทั้งร้อนและเย็น เป็นสตรอว์เบอร์รีนมสดวานิลลา รสชาติหวานกำลังดี หากสั่งแบบเย็นจะมีสตรอว์เบอร์รีพิวเรด้านล่างด้วย 

ส่วนใครต้องการความสดชื่น แนะนำให้สั่งเครื่องดื่มหมวด Fizzy อาทิ เมนูพิเศษช่วงนี้ Rose Lemon Fizzy (135 บาท) เป็นสตรอว์เบอร์รีพิวเร เลมอน และเสาวรส ผสมด้วยโซดา รับรองว่าดื่มแล้วสดชื่นแน่นอน เมนูขนมก็มีให้เลือกอีกเช่นกัน โดยราคาจะขึ้นอยู่กับเมนูที่มีในแต่ละวัน หากเป็น คุกกี้เรดเวลเวท ที่เราได้ลองในวันนี้จะอยู่ที่ชิ้นละ 75 บาท