Indus
Indus

8 ร้านอาหารอินเดียที่คุณต้องลองในกรุงเทพฯ

ลองอาหารอินเดียแบบต้นตำรับ

เขียนโดย
Time Out Bangkok editors
การโฆษณา

ใครที่ชอบอาหารหนักเครื่องเทศอย่างอาหารอินเดีย ไม่ควรพลาดร้านเหล่านี้ที่ Time Out คัดมาอย่างเด็ดขาด เพราะมีทั้งอาหารแบบดั้งเดิมและแบบฟิวชั่น ที่น่าจะถูกใจแน่นอน สำหรับคนรักสุขภาพ เราก็มีร้านมังสวิรัติและอาหารคลีนคุณภาพดีด้วย

  • Restaurants
  • อาหารอินเดีย
  • คลองเตย

JHOL (โจฮ์ล) เป็นร้านอาหารอินเดียตอนใต้ที่จะทำให้คุณลืมกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ หรือเนื้อแกงข้นเลี่ยน เพราะอาหารที่นี่จะมีคอนเซ็ปต์จาก “เมืองริมชายฝั่งทะเล” ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นรสชาติที่ไม่ค่อยพบเจอเท่าไหร่ในกรุงเทพฯ ทว่าหลายเมนูก็ยังคงเต็มไปด้วยความเข้มข้น เผ็ดร้อนสไตล์อาหารอินเดียอย่างที่หลายคนถูกใจ แถมนำเสนอใหม่อย่างทันสมัย เต็มไปด้วยลูกเล่น และมาพร้อมบรรยากาศสบายๆ แต่รู้สึกพิเศษ

  • Restaurants
  • อาหารอินเดีย
  • วัฒนา

ในที่สุดร้านอาหารแห่งใหม่ของเชฟการิมา อะโรร่า ที่หลายคนรอคอยก็เปิดให้บริการแล้ว บนโลเคชั่นเดียวกับร้าน Gaa ในซอยสุขุมวิท 53 ซึ่งร้านจะอยู่บนชั้นล่างพร้อมกับบรรยากาศสไตล์ห้องนั่งเล่นที่เหมาะกับการนั่งกินอาหารทั้งมื้อเช้า มื้อสาย จนถึงมื้อเย็น

HERE ยังคงนำเสนออาหารอินเดียในคอนเซ็ปต์ทันสมัยอย่างที่เชฟการิมาถนัด ทว่าสำหรับร้านน้องใหม่แห่งนี้เชฟตั้งใจทำให้ทุกเมนูเข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน ทว่าหน้าตาและรสชาติยังคงสวยงามและน่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งราคายังเป็นมิตรน่าคบหาอีกด้วย โดยเมนูส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอินเดียที่อาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ส่วนหนึ่งเป็นความตั้งใจของเชฟเอง ที่อยากให้ทุกคนได้ลองชิมอาหารเช้าแบบที่ชาวอินเดียรับประทานกันจริงๆ

เมนูที่ร้านจึงมีความหลากหลายและเหมาะสำหรับมื้อระหว่างวัน มีตั้งแต่ Masala Chai (90 บาท) ชาอินเดียต้นตำรับที่แนะนำให้สั่งมากินคู่กับ Rusk (150 บาท) ขนมปังกรอบที่มาพร้อมเนยและแยมขิง เวลากินให้ลองปาดเนยและแยมลงบนขนมปังก่อน เมื่อชิมรสแล้วค่อยลองนำไปจุ่มกินกับชาร้อนๆ

เมนูต่อมาที่เราชอบเป็นพิเศษยกให้ Mango Shrikhand (180 บาท) โยเกิร์ตเนื้อเนียนพร้อมซอสมะม่วง เสิร์ฟคู่กับแป้งปูรี (poori) เป็นแป้งที่นำไปทอดจนพองเป็นโพรงด้านใน เวลากินให้ฉีกแป้งเป็นแผ่นแล้วดิป หรือจะใส่โยเกิร์ตลงด้านในแล้วกินก็สนุกดี ส่วนอีกเมนูแนะนำคือ Egg Bhurji (220 บาท) เมนูนี้คล้ายไข่คนที่เสิร์ฟคู่กับขนมปังซาวโดว์และบัตเตอร์เพาว์ (butter pav) แนะนำให้กินประกบกันคล้ายแซนด์วิชแล้วกัดทีละคำตอนร้อนๆ รับรองว่าเป็นจานที่เหมาะสำหรับมื้อเริ่มต้นวันสุดๆ

หรือใครอยากกินมื้อเช้าแบบสดชื่นและเบาท้อง ร้านก็มี Boppa Doi (220 บาท) ด้านล่างเป็นโยเกิร์ตรสมัทฉะ ท็อปด้วยผลไม้หลากชนิด หรือเมนูโทสต์ Eggfruit Mole (220 บาท) ขนมปังซาวด์โดว์ ท็อปด้วยม่อนไข่และไข่ต้ม ก็น่าลอง

ส่วนเมนูที่ควรสั่งเพราะหากินได้ยากคือ Black Rice Dosa (220 บาท) ขนมที่ชาวอินเดียนิยม ซึ่งโดซ่าของร้านต่างจากที่อื่นๆ เพราะแป้งทำจากข้าวสีดำ เสิร์ฟพร้อมดิป 3 อย่าง คือ ชัทนีย์มะพร้าว กันพาวเดอร์ และกี เมนูนี้สามารถฉีกแผ่นแป้งแล้วดิปผสมกันได้ตามใจชอบ

หลายเมนูที่ร้านมีความดีต่อสุขภาพไม่น้อย ซึ่งมีหลายจานที่เชฟการิมานำสูตรมาจากครอบครัวของเธอเอง ทำให้รสชาติที่เราจะได้ลองมีความอบอุ่น และผสมกลิ่นอายจากบ้านเกิดของเชฟอยู่ นอกเหนือจากเมนูที่แนะนำไปก็ยังมีอาหารประเภทโจ๊กสไตล์อินเดีย สลัด และเบเกอรี่ให้สั่งมาเติมเต็มมื้อแรกของวันให้ครบอีกเช่นกัน

โดยตอนนี้ร้านก็เปิดช่วงเวลาเพิ่มสำหรับมื้อเย็นแล้ว ซึ่งจะมีไวน์ชั้นดีให้เลือกดื่มเคล้ากับลิสต์เมนูเฉพาะมื้อค่ำ ซึ่งจะเสิร์ฟในพอร์ชั่นสำหรับหนึ่งคน และแชร์ร่วมกัน แน่นอนว่าอาหารยังคงเป็นสไตล์อินเดีย มีทั้งจานสลัด ซีฟู้ด นาน เมนูย่าง เคบับ และพลาดไม่ได้กับไอศกรีม Kulfi (90 บาท) ขนมหวานสไตล์อินเดียฉบับดั้งเดิม

HERE เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.30 - 17.00 น. และ 17.30 - 23.00 น.  สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 097 140 5647

การโฆษณา
  • Restaurants
  • อาหารวิจิตร
  • วัฒนา
  • ราคา 3 จาก 4

ตึกร้างสีเหลืองที่ตั้งเด่นอยู่ตรงข้าม Gaggan มาหลายปี ได้รับการแปลงโฉมเสียใหม่โดย Garima Arora อดีตนักข่าวชาวมุมไบที่ผันตัวมาเป็นเชฟ และได้มีโอกาสลับฝีมือใน Noma ร้านอาหารมิลชินสองดาวในโคเปนเฮเกน ก่อนย้ายมาทำงานเป็นซูเชฟที่ร้าน Gaggan ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนตึกร้างแห่งนี้ให้กลายเป็น Gaa ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่กลายเป็นร้านยอดนิยมในกรุงเทพฯ เพียงชั่วข้ามคืน

ร้านอาหารแห่งนี้เสิร์ฟอาหาร 8 คอร์ส (1,800 บาท) และ 12 คอร์ส (2,400 บาท) ที่นำเสนอวัตถุดิบท้องถิ่นกับรสชาติแบบนานาชาติได้อย่างลงตัว เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อยอย่าง ฝักข้าวโพดย่างที่ให้รสเผ็ดพริกนิดๆ เสิร์ฟคู่กับฟองข้าวโพด นอกจากนี้ยังมีซี่โครงหมูหมักใน "ปิโซะ" (มิโซะถั่วลันเตา) ที่ให้เนื้อสัมผัสนุ่มๆ เสิร์ฟพร้อมกับหอมแดงสับ ต้นหอม และเมล็ดทับทิมไว้ด้านบน อีกจานคือทาโก้ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ขนมลา ขนมหวานไทยจากภาคใต้ โดยเสิร์ฟเป็นแป้งทาโก้กรุบกรอบผสมผสานรสชาติของมัสตาร์ดและมิลค์สกินที่นำไปคาราเมไลซ์ (อาหารจากเดนมาร์ก)

ของหวานของที่ร้านก็อร่อยไม่แพ้กัน เริ่มจากไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟสามรสชาติทั้ง น้ำตาลอ้อยอินเดีย ขมิ้น และไขผึ้งที่ไม่เหมือนใคร ส่วนโคนและท็อปปิ้งก็ใช้วัตถุดิบแปลกตาอย่างเมล็ดผักชีและดอกคำฝอย นอกจากนี้ยังมีเมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารอินเดียและไทยอย่าง แป้งคั่วพริกและเครื่องเทศ ครีมรำข้าว มะขามหวานเคลือบช็อกโกแลต และใบชะพลูเคลืองผงเฟนเนล โรสต์ชัตนีย์ และขนมลูกกระวาน

เทสติ้งเมนูทั้งหมดยังสามารถจับคู่กับน้ำผลไม้อีกด้วย

  • Restaurants
  • อาหารอินเดีย
  • พร้อมพงษ์
  • ราคา 3 จาก 4

คำว่า "farm to table" อาจเป็นคำเกร่อในวงการอาหารที่หลายร้านอาจใช้กัน แต่ Haoma ร้านอาหารน้องใหม่ในสุขุมวิทถือกำเนิดขึ้นเพื่อสร้างคำจำกัดความใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์การปรุงอาหารจากวัตถุดิบที่ถูกเองหลังร้านเท่านั้น

เชฟ Deepanker Khosla (อดีตเชฟจากร้านอาหารอินเดีย Charcoal และผู้ก่อตั้งบริการส่งอาหารเพื่อสุขภาพ Nutrichef) และเชฟ Tarun Bhatia ผู้ชนะจากรายการ San Pellegrino’s Young Chef 2016 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ติดตั้งแปลงผักออร์แกนิคไว้ด้านหลังร้าน โดยใช้ดินออร์แกนิคที่ได้รับการรับรองคุณภาพ และใช้การปลูกแบบอความโปนิกส์ (กระบวนการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชไปพร้อมกัน) ส่วนวัตถุดิบไหนที่ทางร้านเปิดเองไม่ได้ เชฟทั้งสองก็จะรับของจากฟาร์มออร์แกนิคแทน

อาหารของ Haoma ทั้งรสชาติเข้มข้น และสีสันจัดจ้าน เมนูเด็ดๆ มีทั้งสลัดมะเขือเทศ (390 บาท) ทำจากมะเขือเทศห้าชนิดและชีสบูราต้า ราดด้านบนด้วยฟองทำจากซุปใสมะเขือเทศ อีกจานคือรากผัก (370 บาท) นำมาจัดวางอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีเมนูเป็ด (630 บาท) เสิร์ฟพร้อมกับเยลลี่ทำจากส้ม ทับทิม และลูกฟิก ส่วนของหวานยังมีพันนาคอตต้า (330 บาท) ที่ทำจาก chironji หรือถั่วจากอัฟกานิสถาน 

นอกจากอาหารแล้ว เมนูเครื่องดืมของที่นี่ก็ใช้คอนเซ็ปต์ไม่ทิ้งเศษอาหารด้วยเช่นกัน โดยนำวัตถุดิบที่เหลือจากครัวมาใช้ในบาร์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเบสวอดก้าที่อินฟิวส์กัยสตรอว์เบอร์รี่ (350 บาท) ส่วนอีกแก้วเป็นรัม (380 บาท) ผสมผสานกับน้ำมะพร้าวและไซรัปกาแฟ ก่อนเสิร์ฟในกะลามะพร้าว

การโฆษณา
  • 4 จาก 5 ดาว
  • Restaurants
  • คลองเตย
  • แนะนำ
นอกจาก Maya จะเป็นร้านอาหารอินเดียที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนชั้น 29 ของโรงแรมฮอลิเดย์อินน์แล้ว ร้านอาหารจากแดนภารตะแห่งนี้ยังดูทันสมัยด้วยสไตล์การตกแต่งจานอาหาร รวมไปถึงบรรยากาศภายในร้านที่โอบล้อมด้วยผนังกระจกใสที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืน
  • Restaurants
  • อาหารอินเดีย
  • สุขุุมวิท 26

Indus ร้านอาหารอินเดียที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 เมนูของที่นี่เต็มไปด้วยอาหารอินเดียทางตอนเหนืออย่าง ไก่ห่อแป้งในแบบมุมไบ เคบับและขาแกะในซอสโยเกิร์ต

การโฆษณา
  • 4 จาก 5 ดาว
  • Restaurants
  • มังสวิรัติ
  • คลองเตย
  • แนะนำ
Saras เป็นที่รู้จักแกงกะหรี่รสเด็ดและเครื่องเทศแบบอินเดียแท้ๆ อาหารทั้งหมดเป็นอาหารมังสวิรัติและราคาก็ไม่แพงเลย แนะนำของว่างอย่าง raj kachori (แป้งปั้นเป็นก้อนกลมทอดใส่ไส้) sample uttapam แพนเค้กข้าว ก็ไม่ควรพลาด และปิดท้ายมื้ออาหารด้วย mango lassi หรือไม่ก็ masala Pepsi
Himali Cha Cha
  • 4 จาก 5 ดาว
  • Restaurants
  • อาหารอินเดีย
  • พร้อมพงษ์
  • แนะนำ

ด้วยรสชาติที่เข้มข้นของเครื่องเทศบวกกับความไม่คุ้นเคย อาหารอินเดียจึงอาจไม่เป็นที่นิยมทั่วไป แต่ร้านอาหารแห่งนี้คือร้านอาหารอินเดียเก่าแก่ที่ยืนหยัดมาตั้งแต่ปี 1979 และเป็นร้านประจำของบุคคลชั้นสูง รวมถึงผู้คนจากแวดวงฮอลลีวูดที่มาเยี่ยมเยียนร้านแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา