9 ร้านอาหารจากประเทศไทยที่ติดอันดับ Asia's 50 Best Restaurants 2023

ชื่อ Le Du (เลอ ดู) อาจฟังดูคล้ายกับชื่อร้านอาหารฝรั่งเศส แต่ที่จริงแล้วร้านฤดูเป็นร้านอาหารไทยที่ได้เชฟคนเก่งอย่าง เชฟต้นที่มีดีกรีจากสถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียง The Culinary Institute of America และมีประสบการณ์จากการทำงานกับร้านอาหารระดับโลกอย่างร้าน Eleven Madison Park และร้านJean-George ในนิวยอร์ค เชฟต้นเปิดร้านฤดูในปี 2556 ด้วยความตั้งใจที่จะปฏิวัติอาหารไทย ชื่อ Le Du เป็นการเล่นคำกับคำว่าฤดู และเมนูต่างๆก็ถูกรังสรรค์จากวัตถุดิบตามฤดูกาลเพราะฉะนั้นเมนูของที่นี่จึงหมุนเวียนไปเรื่อยเช่นกับฤดูกาล

หลังจากประสบความสำเร็จจากร้าน ฤดู (Le Du) ร้านอาหาร fine-dining ในซอยสีลม 7 ที่ยกระดับรสชาติไทยๆ ด้วยเทคนิคการปรุงแบบตะวันตก จนได้รับรางวัล 1 ดาวมิชลิน มาเป็นเครื่องการันตีคุณภาพ ตอนนี้ เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เจ้าของร้าน ก็พร้อมที่จะนำเสนอความเป็นไทยขนานแท้ในร้านอาหารร้านใหม่ของเขา

หากมาที่นี่ เราแนะนำให้สั่ง Testing Menu แบบ 10 คอร์สที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกับรูป รส และกลิ่น ราวกับนั่งชมละครเวที แล้วจะเข้าใจว่าทำไม Gaggan จึงได้รับการยกย่องจากสื่อทั้งไทยและต่างชาติอย่าง CNN และ Time ว่าเป็นอาหารอินเดียเทรนด์ใหม่ที่ดีติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย (หรืออาจจะของโลกก็ว่าได้)

ร้านศรณ์ พิสูจน์แล้วว่าอาหารใต้รสจัดจ้านก็สามารถทำให้เป็นอาหารไฟน์ไดนิ่งได้เช่นกัน การันตีด้วยรางวัลมิชลิน 2 ดาว และร้านอาหารยอดเยี่ยมลำดับที่ 39 บนลิสต์ World's 50 Best Restaurants ในปีล่าสุด โดยผู้เป็นเจ้าร้านอาหารแห่งนี้ก็คือ ไอซ์-ศุภักษร จงศิริ เจ้าของร้านอาหารใต้ชื่อดัง บ้านไอซ์

แม้ตอนนี้จะร้านจะคิวเต็มไปจนสิ้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่หากใครมือไวและโชคดีก็อาจสามารถจองคิวสำหรับเดือนต่อไปได้ทัน โดยคอร์สเมนูที่ทุกคนจะได้ลิ้มลองกันจะเป็นสไตล์สำรับไทย จำนวน 15-course รวมทั้งหมด 20 อย่าง

สามารถติดตามการเปิดจองที่นั่งรอบต่อไปได้ที่ Facebook: Sorn-ศรณ์ หรือสอบถามโทร 099-081-1119

เชฟพี่น้องฝาแฝดชาวเยอรมัน Mathias และ Thomas Sühring ได้นำความเป็นเยอรมันแท้ ๆ มาผสมกับเทคนิคใหม่ วัตถุดิบคุณภาพสูงและความคิดสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดเป็นร้านอาหารเยอรมันแบบไฟน์ไดนิ่งชื่อ Sühring ที่ซอยเย็นอากาศ ที่นี่จะเสิร์ฟเป็นเมนูคอร์สแบบ 9 และ 12 คอร์ส ซึ่งก็แล้วแต่ว่าวันนี้เชฟจะได้วัตถุดิบแบบใดมา แต่อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์ของทางร้าน ก็คงหนีไม่พ้น Brotzeit (แปลตรงตัวเลยว่า Bread time) ที่เป็นเหมือนกับการทานของว่าง และที่นี่เสิร์ฟขนมปังเปรี้ยวสูตรโฮมเมด และเพรซเซลแบบต้นตำรับที่ไม่ควรพลาดด้วย

อีกหนึ่งร้านอาหารของเชฟกากัน อนันด์ (Gaggan Anand) ที่ผสมผสานความเป็น Mexican และ Indian มาเจอกัน ผ่านเรื่องราวของสาวเม็กซิกันกับหนุ่มอินเดีย เกิดเป็นอาหารที่ดำเนินเรื่องด้วยเครื่องเทศหลากชนิดรสชาติแปลกใหม่ชวนให้ลอง

Potong (โพทง) เป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแห่งใหม่ของ เชฟแพม - พิชญา สุนทรญาณกิจ ที่หยิบนำเรื่องราวของชาวไทยเชื้อสายจีนมานำเสนอใหม่ผ่านเมนูอาหารและสถานที่ในรูปแบบเฉพาะตัว เป็นประสบการณ์อาหารที่เราเชื่อว่าหลายคนจะประทับใจ—และอาจคาดไม่ถึง 

ก่อนหน้านี้ทุกคนจะรู้จักเชฟแพมมาจากการทำอาหารตะวันตกสไตล์เชฟส์เทเบิล แต่สำหรับร้านแห่งใหม่ล่าสุดนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับตัวตนของเชฟแพม ผู้เติบโตมากับวัฒนธรรมไทย-จีน เชฟเล่าว่าคุณเทียดเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาตั้งรกรากในไทย เปิดร้านขายยาจีน “ผู่ท้ง” หรือคนไทยออกเสียงว่า “โพทง” ผลิตและจำหน่าย ยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อ (ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน) ก่อนจะเติบโตจนสามารถสร้างตึกที่ครั้งหนึ่งเคยสูงที่สุดในย่านสำเพ็งเป็นศูนย์กลางของครอบครัวขึ้นได้ ตึกนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงมรดกอายุกว่า 130 ปีของครอบครัวแต่ยังเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวการก่อร่างสร้างตัวของชาวจีนโพ้นทะเลที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทย ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างอีกวัฒนธรรมหนึ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบัน 

“แพมเติบโตมากับครอบครัวเชื้อสายไทย-จีน และรู้สึกว่ายังไม่มีใครหยิบอาหารจากวัฒนธรรมนี้มาทำเป็นไฟน์ไดนิ่งเลย” เชฟแพมเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เชฟตัดสินใจปรับปรุงมรดกของครอบครัวให้กลายเป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งเพื่อใช้บอกเล่าตัวตนในฐานะลูกหลานชาวจีน ผ่านอาหารสไตล์ Progressive Thai-Chinese ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความทรงจำ  ย่านเยาวราช และอาหารชาวจีนโพ้นทะเล

“เสน่ห์ของอาหารไทย-จีนก็คือ มันเป็นการผสมรวมกันของ 2 วัฒนธรรม โดยเฉพาะชาวจีนฮกเกี้ยนและแต้จิ๋วที่อพยพมาเมืองไทยเยอะๆ และนำวัฒนธรรมการกินมาด้วย แต่วัตถุดิบจีนบางอย่างหาไม่ได้จากที่นี่ ก็ต้องมีการเปลี่ยนและปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น” 

คอร์สเมนูแรกของร้านโพทงที่ชื่อว่า “5 Elements, 5 Senses” จึงเป็นอาหารที่เราเชื่อว่าแม้จะไม่ใช่ลูกหลานชาวจีนก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเป็นเมนูที่เชฟแพมได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารไทย-จีนที่ใครๆ ก็คุ้นเคย อาทิ ติ่มซำ หมั่นโถว หมูแดง หรือเป็ดอบ แต่ทวิสต์ทุกอย่างด้วยเทคนิคเฉพาะตัว จนได้มาซึ่งอาหาร 20 จานที่แต่ละจานแฝงอยู่ในโปสการ์ดจดหมายที่เชฟเขียนถึงคุณเทียดของเธอ ในขณะที่อีกด้านของโปสการ์ดเป็นภาพวาดโดยน้องชายคุณปู่ที่เธอพบระหว่างปรับปรุงตึก ภาพเหล่านี้ยังถูกตกแต่งอยู่ตามมุมต่างๆ ในร้านด้วย

อาหารของโพทงทุกจานจะมาพร้อมเรื่องราว และความเชื่อมโยงกันของวัตถุดิบและวัฒนธรรมจีน อย่างเช่นจานหนึ่งที่เราขอยกให้เป็นพระเอก นั่นก็คือ ไก่ดำ เป็นวัตถุดิบที่คนรุ่นเก่าจะนำไปต้มเป็นซุปเพื่อให้ได้ความหวาน แต่จะไม่ค่อยกินเนื้อกันเท่าไหร่ เชฟแพมจึงนำแต่ละส่วนของไก่ดำมาผ่านเทคนิคใหม่ และเสิร์ฟพร้อมข้าวไรซ์เบอร์รี่หุงในกระเพาะหมู ผสมสมุนไพร 20 อย่าง กินพร้อมน้ำส้มสายชูหมักเองในร้าน (เช่นเดียวกับวัตถุดิบอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซอสถั่วเหลือง มิโสะ หรือชาหมัก ที่เชฟบอกว่าตั้งใจทำเองทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์)

อีกคอร์สที่น่าประทับใจคือ Family Sharing ร้านจะนำจานหมุนมาวางให้กลางโต๊ะ ก่อนเสิร์ฟอาหารหลายอย่าง เป็ดดรายเอจ 14 วัน เนื้อแองกัสที่ทำเหมือนหมูแดง ผักคะน้าผัดในกระทะจีนและใบคะน้าฝอยทอดกรอบๆ มาพร้อมน้ำจิ้ม 6 รสชาติ ให้กินด้วยกันตามวัฒธรรมคนจีน 

ส่วนเมนูของหวาน เราแนะนำให้ตั้งตารอ “ไอศกรีมซีอิ๊วดำ” ทำจากซีอิ๊วหมักเองนาน 6 เดือน เชฟแพมเล่าว่าเมนูนี้ได้แรงบันดาลมาจากถนนทรงวาดที่โด่งดังเรื่องเครื่องเทศ ไอศกรีมจึงท็อปด้วยน้ำตาลเป่ารูปพริก ด้านในมีผงเครื่องเทศต่างๆ คอร์สนี้ต้องตีน้ำตาลให้แตกก่อน เพื่อให้ผงโรยลงมาบนไอศกรีม 

เมื่อนั่งรับประทานจนครบ 20 คอร์ส เราสัมผัสได้ว่านอกจากสถานที่แล้ว อาหารของเชฟแพมก็ซ่อนดีเทลไว้อยู่มากไม่แพ้กัน เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรานั่งกินแล้วไม่รู้สึกเบื่อ และมีเมนูน่าจดจำหลายอย่าง 

คอร์สเมนู 20 จาน “5 Elements, 5 Senses” ราคา 4,500++ บาทต่อคน สามารถดูรายละเอียดหรือจองที่นั่งได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.restaurantpotong.com 

ร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังระดับโลกของกรุงเทพฯ โดย  'เจ๊ไฝ - สุภิญญา จันสุตะ' ที่ได้มิชลิน 1 ดาวติดกัน 4 ปีซ้อน รวมถึงเคยปรากฎอยู่ในซีรีส์สตรีตฟู้ดชื่อดังบนเน็ตฟลิกซ์ตอนหนึ่งด้วย การันตีความอร่อยด้วยคิวของทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวที่ยาวเหยียดตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เมนูสร้างชื่อต้องยกให้ ‘ไข่เจียวปู’ ไข่เนื้อนุ่มห่อเนื้อปูชิ้นโตตักคำไหนก็เจอ รวมถึงเหล่าอาหารทะเลสดใหม่ขนาดจัมโบ้ให้เลือกสั่งทั้งเมนูราดหน้า ต้มยำ และอีกมากมาย

ภายในบ้านไม้หลังงานที่เคยเป็นของคุณย่าของเชฟตาม-ชุดารี เทพาคำ ที่เชฟได้นำมาดัดแปลงเป็นร้านอาหารดีไซน์สวย เช่นเดียวกับหน้าตาและรสชาติของอาหารไทยสไตล์ “creative Thai cuisine” อาหารไทยรสคุ้นจากหลากหลายภาค เสิร์ฟในรูปแบบที่โมเดิร์นและสร้างสรรค์ไปหลายเท่าตัว 

ดินเนอร์ 12 คอร์ส The Baan Tepa Dining Experience สนนราคาอยู่ที่ 4,500++ บาทต่อคน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.baantepabkk.com