Lhorlao Home Kitchen
Tanisorn Vongsoontorn/Time Out Bangkok

รวมร้านอาหารเปิดใหม่ทั่วกรุงเทพฯ ในเดือนนี้

Time Out กรุงเทพฯ ขอแนะนำร้านอาหารเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ ที่คุณต้องไปลองไปให้!

เขียนโดย
Time Out Bangkok editors
การโฆษณา

มาอัปเดตร้านอาหารใหม่ๆ กันหน่อยดีกว่า เผื่อว่าวันไหนใครเจอปัญหาตัดสินใจเลือกร้านอาหารไม่ได้สักที จะได้มีตัวเลือกเหล่านี้เป็นตัวช่วยแบบไม่ต้องคิดนาน (เกินไป) อีกทั้งร้านที่เราคัดมาให้วันนี้ ยังตอบโจทย์มนุษย์ชอบความหลากหลายด้วย เพราะมีแทบครบทุกสัญชาติให้ตามไปลองกันเลย!

  • Restaurants
  • อาหารฝรั่งเศส
  • หลังสวน

Bisou แกสโตรไวน์บาร์สไตล์ฝรั่งเศสเปิดใหม่ล่าสุด ย่านหลังสวน เสิร์ฟจริตปาริเซียงสุดเท่และเซ็กซี่ ตั้งแต่จานอาหารสไตล์ฝรั่งเศสจนถึงเชฟชาวฝรั่งเศสในครัว

น่าจะไม่ใช่เราคนเดียวที่คิดว่าเดียวนี้ขออะไรง่ายๆ สบายๆ ไว้ก่อนดีกว่า เพราะอย่าง 2 หนุ่มฝรั่งเศสที่ผ่านประสบการณ์วงการร้านอาหารระดับไฟน์ไดนิ่งมาโชกโชน ทั้งเชฟอองตวน ดัคเกียง และ ธีโอ ลาแวร์ญ ซอมเมอลิเยร์ ก็น่าจะคิดเหมือนกัน เลยขอเอาความหรูบนพื้นฐานอาหารฝรั่งเศส มาขยายความใหม่ในแบบฉบับของพวกเขา เสริมด้วยแรงบันดาลใจจากรสชาติอื่นๆ ที่พวกเขาอยากชวนมาแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดในพื้นที่ร้าน 

Bisou อยู่ในบ้านสีขาวสุดซอยแยกเล็กๆ ถัดจากซอยหลังสวน ถึงภายนอกจะดูลึกลับแต่เมื่อเข้ามาจะได้บรรยากาศเหมือนแมนชั่นของหนุ่มปาริเซียง ที่ความสนุกรออยู่ในทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นโซนบาร์ชั้นล่าง นั่งจิบค็อกเทลสุดเซ็กซี่จากบาร์เทนเดอร์ชาวฝรั่งเศส ก่อนย้ายไปมุมโต๊ะกินข้าวและโซฟาพร้อมฉากแบ่งให้ความไพรเวตก็ได้ ถ้าเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 จะได้ความไพรเวตมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ตัดขาดจากความสนุกข้างล่าง ชั้นนี้จะมีห้องไวน์ขนาดใหญ่พอสมควร ให้เราได้เดินเข้าไปเลือกไวน์ตามจริตและงบที่ชอบได้เลย

อาหารโดยรวมของที่นี่จะมาในธีม “K.I.S.S - Keep It Simple, Sexy” เรียบง่ายแต่หน้าตาสวยตามชื่อ ส่วนความเซ็กซี่กินหมดจานแล้วจะรู้เอง เน้นให้แชร์ริ่งกัน แต่พอร์ชั่นไม่ใหญ่มาก ถ้ามากันแค่ 2 คนอาจแชร์กันลงตัว

เริ่มด้วย Truffle French Toast (590 บาท) ขนมปังบริโยชกรอบนอกนุ่มใน ท็อปมาด้วยทรัฟเฟิลแบบจุใจ ส่วนไก่ทอด BFC, Bisou Fried Chicken (330 บาท) ก็ตอบโจทย์ตามเชฟบอกว่าไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสจ๋าอย่างเดียว เพราะมีพริกผงชิชิมิสไตล์ญี่ปุ่นกับไข่แซลมอนโรยมาด้วย

วิธีการปรุงแบบฝรั่งเศส รสชาติแบบผสมผสาน อีกอย่างที่เติมมาให้ครบคือวัตถุดิบตามฤดูกาล ช่วงนี้เลยมีเมนู Heirlom Tomatoes (390 บาท) มะเขือเทศแฮร์รูมจากเชียงใหม่เนื้อฉ่ำหวานกรอบ สไลซ์บางๆ ท็อปด้วยมะเขือเทศคอนซูเม่ สไปซี่เชอร์เบท และโอลีฟ พาวเดอร์ แนะนำว่าถ้าไปลองให้กระซิบถามพนักงานได้เลยว่าช่วงนี้มีวัตถุดิบเด็ดๆ อะไรบ้าง

เมนูเนื้อเราชอบ Hanger Steak (490 บาท/100กรัม) สเต๊กหอมกลิ่นกริล เสิร์ฟคู่กับ Bone Marrow ปรุงรสจัดจ้านเข้มข้น ส่วนจาน Wagyu Beef Tongue Sando (420 บาท) แซนด์วิชเนื้อที่อยากให้รีบกินตอนเสิร์ฟอุ่นๆ ทิ้งไว้นานเนื้ออาจจะกระด้างไปนิด

สิ่งที่เราว่าเป็นจุดเด่นของ Bisou คือบรรยากาศของร้าน ยิ่งตกดึกเท่าไรก็ยิ่งเซ็กซี่มากขึ้นเท่านั้นด้วยการแต่งไฟ และโซนที่นั่งที่ถ้ามาเดตอยากได้มุมส่วนตัวก็มี อยากมาปาร์ตี้กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ก็ได้ สามารถนั่งยาวๆ ได้ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกไปเลย

Bisou ตั้งอยู่ที่ หลังสวน เปิดให้บริการวันพุธ - วันจันทร์ 17.30 - 00.00 น. สำรองที่นั่งหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 096-025-5858 หรือ bisoubangkok.com 

  • Restaurants
  • คาเฟ่
  • จตุจักร
Cose Club คาเฟ่น้องใหม่เพิ่งเปิดแบบสดๆ ร้อนๆ ที่มาแล้วได้ทั้งจิบกาแฟแกล้มขนมปังโฮมเมด เดินดูอาร์ต นั่งทำเล็บ ครบจบในตึกสีน้ำเงิน ไม่ไกลจากตลาดบอง มาร์เช่

ถ้าเป็นสายอาร์ตอาจจะเคยได้ยินชื่อแกลอรี่ Red Cose ในย่านเอกมัยกันมาบ้าง ล่าสุดทางทีมงานได้ขยับขยายความเป็นคอมมูนิตี้ออกมาอีกฟากของเมืองกับ Cose Club พื้นที่รวบรวมทุกสิ่งอย่าง ที่สามารถแตกและต่อยอดออกมาจากความรักในศิลปะได้ทั่วทั้งพื้นที่ 4 ชั้น

บริเวณชั้น 1 จะเป็นเหมือน common area ของบ้านที่ทุกอย่างจะอยู่รวมกันในพื้นเปิดโล่ง บาร์ไม้ยาวตามแนวร้าน สามารถแปรเปลี่ยนหน้าที่ได้ตลอดทั้งวัน จะเป็นโต๊ะดีเจเวลามาเปิดแผ่น เพราะตรงนี้ยังทำหน้าที่เป็นที่วางเครื่องเล่นแผ่นเสียงจาก Gadhouse (ถูกใจก็ซื้อกลับบ้านได้ด้วย) หรือจะเป็นบาร์ยามกลางคืน ไปจนถึงโต๊ะให้นั่งจิบชา กาแฟ แกล้มกับขนมปังทำเองของร้าน ที่เริ่มต้นจากความชอบทำให้สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ กินกัน จนเอามาพัฒนาศึกษาปรับสูตรด้วยตัวเอง เป็นขนมปังซาวร์โดสูตรเฉพาะมีความนุ่มไม่บาดเหงือก และเป็นวีแกนเพราะไม่มีเนย นม น้ำตาล บางสูตรที่ใส่สมุนไพรก็มาจากที่ปลูกเองด้วย

ตัวเลือกเมนูขนมปังของร้านจะมี 3 แบบ คือ Bagel, Focaccia และ Ciabatta สามารถเลือกสั่งทั้งแบบเมนูโทสต์ แซนด์วิช และ ชาชูก้า ที่สามารถเปลี่ยนหน้าได้ตามชอบ เราลองเมนู Shashuka Foccacia (180 บาท) ความนุ่มของขนมปังฟอคคาเชียมาเจอกับความนุ่มของไข่ที่สุกพอดี ในซอสมะเขือเทศรสกลมกล่อม ไม่ฉุนเครื่องเทศเป็นจานที่กินแล้วละมุนทุกคำ ซึ่งเราว่านี้คือจุดเด่นของร้านเลยกับการเสิร์ฟรสชาติกลางๆ ใครกินก็ถูกใจ เพราะอย่าง Butter board Smoked Salmon (270 บาท) ก็ละมุนกินเพลินดี

เครื่องดื่มถ้าเป็นกาแฟสามารถเลือกเมล็ดคั่วอ่อน กลาง เข้มในทุกเมนูได้ (80-120 บาท) อีกเมนูที่ร้านแนะนำคือ Organic herb infused water ส่วนผสมสมุนไพรอบแห้งลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ มิ้นต์ และกุหลาบ เลือกสั่งได้ทั้งร้อนและเย็น

ขึ้นมาชั้น 2 ที่ยังเชื่อมต่อกับข้างล่างอยู่เพราะเป็นชั้นลอยจะเป็นโซนที่นั่งเสียส่วนใหญ่ มีมุมเล็กๆ ของร้านทำเล็บสุดน่ารัก Cerene nail bar ถัดขึ้นไปชั้น 3-4 จะเป็นสตูดิโอสำหรับซ้อมเต้นหรือเวิร์กช็อปตามแต่ใครจะมาใช้พื้นที่

ช่วงนี้ร้านเพิ่งเปิดให้บริการ เราว่าในอนาคตน่าจะมีโปรแกรม ปาร์ตี้ หรือเวิร์กช็อปสนุกๆ เกิดขึ้นที่นี่แน่นอน อย่างล่าสุดก็มีการจับมือกับ Madi Wine Bar ไปเปิดป็อปอัปที่ร้าน ทำให้น่าจะพอมองเห็นภาพว่า Cose Club คือฮับที่อยากชวนคนมาทำอะไรหรือจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้

Cose Club ตั้งอยู่ที่ถนนเทศบาลสงเคราะห์ ไม่ไกลจากตลาดบอง มาเช่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 - 23.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ cose.club
การโฆษณา
  • Restaurants
  • พิซซ่า
  • อารีย์

ที่ผ่านมาเราเห็นเทรนด์การทำพิซซ่าด้วยซาวนด์โดว์มาพอสมควร แต่สำหรับ Kenny’s ร้านพิซซ่าเปิดใหม่ ขอแหวกเทรนด์ด้วยการเลือกใช้แป้งพิซซ่าสไตล์นาโปเลียน ใช้ยีสต์ธรรมชาติ ทำให้เนื้อแป้งพิซซ่าบางแต่นุ่มหนึบ มีความกรอบแต่ไม่ได้กรอบจนแข็ง ที่สำคัญเป็นพิซซ่ากินไม่เลี่ยน ไม่หนักท้อง เพราะเขาบอกว่าแป้งจะไม่ฟูในท้องจะต่อชิ้นสามชิ้นสี่ก็ได้

เพราะร้านพิวซ่านี้ตั้งใจจะให้เมนูทุกอย่างในร้านเป็นแบบแชร์ริ่งได้ เหมือนมาปาร์ตี้้บ้านเพื่อนแบบสบายๆ ไม่ว่าช่วงเวลาไหนของวัน ด้วยการตกแต่งร้านกึ่งๆ ลอฟต์ เพดานสูง มีโซนที่นั่งสองชั้น กลิ่นอายลูกผสมความเป็นนิวยอร์กและออสซี่ ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็คือคาแรคเตอร์เด็กผู้ชายชื่อติดหู เรียกติดปากอย่าง Kenny นั่นเอง

ตอนนี้ต้องลองเมนูในโซน kenny’s Signature Pizza ทั้งหมด 3 ตัว ตัวที่เราเลือกมาวันนี้คือ Smoked it Every Day (390 บาท) ชูไฮไลต์ด้วยพระเอกเป็น Smoked Peppered bacon เบคอนหั่นชิ้นเล็กๆ แต่หนาเคี้ยวแล้วได้เท็กเจอร์ของสามชั้นชัดเจน แทรกกับความนัวของชีส Fior Di Latte รมควัน และไข่แดงด้านบนที่ต้องเจาะให้แตกก่อน

ส่วนอีกถาดเราเห็นว่าเขากำลังคอลแลบฯ กับ Larder ร้านโคลคัทสไตล์โปแลนด์/ยูโรเปี่ยน เลยเลือกตัว Nduja (420 บาท) พิซซ่าสไตล์เผ็ดร้อน ด้วยการใช้เอ็นดูย่าไส้กรอกรสจัด  เข้ากันได้ดีกับมีเขือเทศอบแห้งและชิลลี่ออย เพราะทางร้านแนะนำว่าถ้ามาจับคู่กับความนวลๆ ของพิซซ่าก่อนหน้าจะเข้ากันลงตัว แล้วก็เป็นจริงตามนั้นยิ่งกินสลับกันก็ยิ่งไม่เลี่ยน

แต่ด้วยจริตคนไทยที่ชินกับการกินพิซซ่าแล้วต้องมีเมนูจานเสริมเป็นของเคียง ที่นี่ซึ่งเรียกว่า Social Bite เมนูแบบคอมฟอร์ตฟู้ดก็มีให้เลือกพอสมควร มีเมนูที่เราตั้งใจไปกินตั้งแต่เห็นรูปในโซเชียลอย่าง Corn ribs with spicy marinara (180 บาท) บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง ข้าวโพดหวานๆ ที่ฝานเป็นชิ้นพอดีแทะ หอมด้วยกลิ่นกริลล์เข้ากันดีกับพาร์เมซานซีส เติมรสจัดจานด้วยซอสมะเขือเทศมารินาร่า อีกจานที่เลือกด้วยความชิน Chicken wings with Smoky beer bbq sauce (190 บาท) ซอสแบบเข้มข้นเผ็ดหวานหอมลงตัว ถ้าอยากได้ผักสีเขียวมาเพิ่มก็มี Rocket Salad With Tomatoes and Portobello Mushroom (330 บาท) สลัดแบบสดชื่นกินแกล้มกับเห็ดย่างเนื้อแน่น

ที่นี่ถือว่าตอบโจทย์การเป็นร้าน Neighborhood ที่มีความเข้าถึงง่ายสบายๆ จะแวะไปกินตอนไหนก็ได้ ซึ่งคำว่าตอนไหนที่ว่าก็คือตั้งแต่เช้าจรดดึก (มาก) เพราะร้านเขาเปิดถึงตีสาม เที่ยวเสร็จแวะมากินพิซซ่าก่อนนอน หรือแวะมาหิ้วกลับไปวันมีปาร์ตี้ที่บ้านก็ได้ อีกอย่างที่แอบเห็นคือ Merchadise ดีไซน์เท่ทั้งหมวกและเสื้อ ถ้าอยากได้ลองกระซิบถามราคาทางร้านดูนะ ฝากอีกนิดว่าถ้าจะไปช่วงกลาวันหรือเย็น อาจจะต้องมีจองโต๊ะล่วงหน้า นอกเหนือจากนั้นจะแวะไปเมื่อไรก็ได้เลย

Kenny ตั้งอยู่ที่ซอยพหลโยธิน 5 (ซอยราชครู) เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 03.00 น. สำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 090 995 2040 หรือ www.facebook.com/KennysBKK 

  • Restaurants
  • อาหารไทย
  • ราชประสงค์
ชวนซดน้ำซุปแซ่บๆ ของจิ้มจุ่มสไตล์ไทย ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งที่หยิบเอาความไทยแท้คุ้นตา มาแปลงโฉมใหม่จนเปรี้ยวเข็ดฟันกับ “Co Go Round (โคโกราวน์)” ร้านจิ้มจุ่มรางเลื่อนสัญชาติไทย ที่เพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดแบบสดๆ ร้อนๆ ที่เขาบอกว่าอยากนำเสนอความเป็น Eatertainment

ดังนั้นความสนุกเลยเหมือนเป็นพื้นฐานของทุกอย่างที่นี่ ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาด้วยเสียงเพลงป๊อปติดหูหลากสัญชาติ และสีสันของร้านแบบฉูดฉาดที่ชวนให้คึกทันทีที่เห็น เป็นการจับทุกขั้วความไม่เข้ากันแต่มาอยู่รวมกันแล้วกลับสนุกเฉยเลย ทั้งบรรยากาศของความเป็นน้ำแบบไทยๆ ที่คลองเปลี่ยนเป็นสายพานรางเลื่อนวางอาหารแทน ผสมจริตความเป็นนิวยอร์ก อ่านแล้วอาจจะแอบงงว่าตลาดน้ำแล้วนิวยอร์กจะมาอยู่ร่วมกันได้ยังไง

เราเลยแอบคิดว่าเป็นการมองจริตความเป็นไทยผ่านมุมมองของคนข้างนอก เราเลยได้เห็นซองผงซักฟอกกลายมาเป็นแชนเดอเลีย จานเปลรูปปลามาประดับกำแพง และอีกมากมาย ที่แน่นอนว่าเป็นผลงานของศรัณย์ เย็นปัญญา นักออกแบบที่ผลงานสุดสนุกแบบนี้กลายเป็นลายเซ็นไปแล้ว

คำว่า Co ของร้านนอกจากจะหมายถึงการร่วมงานระหว่างนาราไทยกรุ๊ป และคุณหมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา แล้วยังหมายถึง CO SPACE / CO EATING / CO DRINKING สื่อถึงคอนเซปต์ของร้านในเครือโครุ่งเรืองให้เปรียบเสมือนพื้นที่ที่คนมารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์ดื่มกินเพื่อความสนุกสนานและความอร่อย “เนื้อวัว” จุดขายของร้านที่อยากชูว่าวัวไทยก็อร่อยไม่แพ้เนื้อนอก

เริ่มต้นด้วย "เนื้อจัสมิน วากิว" (ไทยวากิว) จากสุรินทร์ เป็นวัวลูกผสมไทยญี่ปุ่นให้รสนุ่มละลายในปาก "เนื้อสันนอกโคขุน" โคเนื้อลูกผสมไทย-ฝรั่งเศสจากหมู่บ้านโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร "เนื้อสันคอวากิว" ออสเตรเลีย เนื้อวัวที่ถูกเลี้ยงแบบญี่ปุ่นแท้ในประเทศออสเตรเลีย ไขมันแทรกกระจายอยู่ทั่วชิ้นเคี้ยวนุ่ม รวมถึง "เนื้อเสื้อร้องไห้" แบบไทยที่ทั้งเคี้ยวเพลินและนุ่มไม่เหนี่ยวเพราะมีมันทรายอยู่ทั้งชิ้น

นอกจากนี้ยังมีกุ้งแม่น้ำตัวโตให้รสหวานธรรมชาติในชุดบังเอิญรวยเนื้อ (988 บาท) เสิร์ฟมาในหม้อจิ้มจุ่มดีไซน์พิเศษ ถ้าไม่กินเนื้อก็มีชุดบังเอิญรวยหมู (688 บาท) ที่มาครบทั้งสันคอหมูคุโรบุตะ, สามชั้นสไลด์, สันคอหมูสไลด์, กุ้งแม่น้ำ และชุดผักรวม ไม่จุใจสามารถสั่งจานเนื้อแยกเพิ่มได้อีกในราคาเริ่มต้นที่ 68 บาท หรือจะหยิบจากสายพานรางเลื่อนได้เหมือนกัน

น้ำซุปสุดแซ่บหอมกลิ่นสมุนไพรหัวใจสำคัฯของจิ้มจุ่ม สามารถเลือกสั่งได้ 1 ซุป จากตัวเลือก ซุปแจ่วฮ้อน ซุปข้าวซอย ซุปต้มยำมันกุ้ง ซุปก๋วยเตี๋ยวเรือแซ่บ และซุปไก่ใสอนามัย ถ้าเลือกไม่ได้สามารถสั่งแบบ 2 ซุปในราคา 48 บาท ห้ามพลาดน้ำจิ้มแจ่วนัวร์ปลาร้าเครื่องแน่นๆ เสริมรสชาติได้ดี ความสนุกอีกอย่างที่ร้านแนะนำคือการจับสลับคู่ระหว่างน้ำซุปและน้ำจิ้ม ที่กินตามสูตรก็อร่อยผสมใหม่เองก็ได้รสชาติแปลกใหม่ดี

เพื่อให้ครบความแซ่บคีบกินได้หลากหลาย แนะนำว่าให้ลองมองดูที่เมนูกินเล่นของร้าน ยำโคแซ่บ (148 บาท) ที่มีเนื้อตุ๋น เนื้อลาย และเอ็นแก้ว ยำมาแบบรสจัดคล้ายพล่าและเห่าดงโรยหน้าด้วยกากหมูเจียวกรอบๆ ถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่หลายคนเราว่าก็ยิ่งสนุก เพราะจะได้ยิ่งกินอาหารด้หลากหลาย แต่ถ้ามาคนเดียวก็ไม่ต้องเหงา เพราะมีโซนเคาท์เตอร์บาร์นั่งคนเดียวได้

Co Go Round เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณชั้น 7 โซน Beacon เซ็นทรัลเวิลด์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Co Go Round - โค โก ราวด์
การโฆษณา
  • Restaurants
  • อาหารเปรู
  • ราชดำริ

พอเกริ่นว่าเป็นอาหารลาตินอเมริกันหรือว่าโซนอเมริกาใต้ ทุกคนจะต้องนึกถึงอาหารเม็กซิโกเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่ว่ากัน เพราะต้องยอมรับว่าเราคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารเม็กซิโกผ่านลิ้นและคุ้นตากันมาพอสมควรทั้งจากร้านฟาสต์ฟู้ดและร้านหรู แต่จริงๆ แล้วอาหารจากลาตินอเมริกันมีความหลากหลายมากกว่านั้น แถมยังมีลูกเล่นของรสชาติและความจัดจ้านที่คุ้นเราได้อย่างไม่ยาก อาหารลาตินอเมริกันบางจานจะนับว่าเป็นพี่น้องกับอาหารไทยยังได้เลย

และห้องอาหาร Guilty แห่งโรงแรม Anantara Siam Bangkok ก็พร้อมนำเสนอรสชาติที่สนุกปากอร่อยท้องแบบไม่ต้องรู้สึกผิด แต่กลับจะทำให้เรารู้สึก “Love at First Bite” เหมือนป้ายไฟนีออนที่โชว์เด่นอยู่ในร้าน

ก่อนจะไปแนะนำจานเด่นแต่ละจาน เราขออธิบายความเพิ่มเติมที่เราบอกว่าอาหารลาตินอเมริกัน อาหารไทย หรืออาหารเอเชียมีความใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในเรื่องของความจัดจ้าน ครบรสทั้งเผ็ด เปรี้ยว และเค็ม นั้นมาจากการผสมผสานของวัฒนธรรมที่ยืนพื้นด้วยความเป็นลาตินแทรกด้วยอิทธิพลของความเป็นญี่ปุ่น จากการที่คนญี่ปุ่นย้ายไปตั้งรกรากในแถบนั้นมานานหลายปี จนเกิดเป็นอาหารแนวนิเคอิ หรือว่าง่ายๆ คือวัตถุดิบญี่ปุ่นปรุงแบบลาตินหรือจะเป็นในทางกลับกันก็ได้เหมือนกัน อาหารส่วนใหญ่จึงเกิดความคุ้นเคยทันทีที่ตักเข้าปากแม้จะไม่เคยกินมาก่อนก็ตาม

เชฟคาร์ลอส โรดริเกซ (Carlos Rodriguez) ชาวเวเนซูเอลา หัวหน้าพ่อครัวประจำห้องอาหาร Guilty เลือกเอาหลากเมนูท้องถิ่นมาปรับโฉมใหม่พร้อมใส่ลูกเล่นเพิ่มความสนุก ทั้งหน้าตาและรสชาติต่างๆ เข้าไป จนกลายเป็นอาหารลาตินอเมริกันแบบโมเดิร์น รวมถึงเครื่องดื่มค็อกเทลสไตล์ทิกิที่สนุกทั้งหน้าและรสชาติ ที่แฝงความแรงในทุกแก้ว

เริ่มที่จานแรกกับ Holy Guacamole! (550 บาท) กัวคาโมเล่ที่มาปรุงแบบสดๆ จานต่อจานที่โต๊ะ Toda La Vida Ceviche (800 บาท) ปลาฮามาจิแล่ชิ้นหนา เสิร์ฟพร้อม Tiger Milk ที่ไม่ได้ทำจากนมควายแต่อย่างใด แต่มันคือซอสสไตล์เปรูเวียนที่ใช้สำหรับการทำเซวีเช่โดยเฉพาะ ได้ความเปรี้ยวเผ็ดสดชื่นแต่เข้มข้นจากพริกและมะนาว ลองหลับตาชิมชวนให้นึกถึงต้มข่าไก่ประมาณหนึ่ง ต่อมากับ Torched Tuna Tataki (550 บาท) ทูน่าชิ้นสวยจี่ด้านนอกให้พอสุกได้สองเท็กซ์เจอร์ในหนึ่งชิ้น ตัวซอสแอบเซอร์ไพรส์ด้วยรสความเป็นญี่ปุ่่นจากไวท์มิโซะและสาเก จานนี้ถือว่ารสจัดแบบร้อนแรงจนเหงื่อตกได้เลย เพราะมีฆาลาเปญโญเมโยหยอดลงมาเหมือนลูกโดดในอาหารไทย

ต่อเนื่องกับอีกสองเมนูอาหารทะเลทั้งหอยเชลล์ฮอกไกโด Plancha Grilled Hokkaido Scallops (1050 บาท) เพิ่มเท็กซ์เจอร์กรอบๆ ด้วยการเคลือบคินัวร์ทั้งชิ้น และ Pescado “A la Plancha” (700 บาท) ปลากะพงแดงชิ้นหนาที่รสยังคงจัดจ้านในจานนี้ จนต้องอาจขอตัดรสจัดด้วยของทอดสักหน่อยด้วย Croquetas De Cangrejo (600 บาท) โครเกตต์ผสมเนื้อปูแบบครีมมี่แน่นๆ กรอบนอกนุ่มใน

สำหรับจานเมนจะเสิร์ฟแบบอลังการแชร์ได้ทั้งโต๊ะหายห่วงทั้ง Wagyu Grade 9 Picanha (250 กรัม) (1,800 บาท) เนื้อวากิวกริลล์สไตล์บาซิลเลียน มาพร้อมซอสเผ็ดจากพริกเหลือง Aji Limo เคียงมาด้วย Corn Lollipop ข้าวโพดกริลล์จนหอมราดซอสเมโยแบบเผ็ด ท็อปด้วยเฟต้าชีส

ถ้าไม่กินเนื้อที่นี่มีหมูสามชั้น Smoked Hibachi BBQ Pork Belly (800 บาท) ชิ้นหนาโชว์ชั้นหนัง ไขมัน และเนื้อแบบสวยๆ พอเข้าปากจะชวนให้นึกถึงหมูชาชูแบบญี่ปุ่น แต่มีความพิเศษของรสชาติจากซอสสูตรลับของเชฟที่ทั้งหมักและเคลือบตลอดขั้นตอนการกริลล์

จานที่ทั้งโต๊ะลงมติว่าอร่อยแบบเกิดคาดเกินหน้าตาไปไกลหลายช่วงตัวคือ Cartagenera Rice (250 บาท) ในหมวดจานเคียง ข้าวผัดสไตล์เปรูเวียนที่เป็นจุดกึ่งกลางของความเป็นปาเอญ่าแบบสเปนและริซอตโต้แบบอิตาเลียน ให้ความกรึบจากเม็ดข้าวและความนุ่มละมุนแบบจัดจ้านของน้ำสต๊อกปลา

สำหรับที่นี่เราว่าคือห้องอาหารที่อยากให้ทุกคนได้มาแชร์ความสนุกผ่านอาหารที่อร่อยๆ บนโต๊ะ พร้อมความเซอร์ไพรส์ที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่ในรสชาติอาหาร จนถึงบรรยากาศของร้าน ยิ่งถ้าไปช่วงดินเนอร์ ที่นี่สามารถกลายร่างเป็นคลับให้คุณโยกตัวไปกับเพลงลาตินจังหวะร้อนแรงได้ด้วย

ห้องอาหารกิลตี้ เปิดให้บริการทุกวัน (ส่วนวันอาทิตย์จะให้บริการเฉพาะช่วงดินเนอร์) มื้อกลางวัน เวลา 12.00 น. – 14.30 น. และมื้อค่ำ เวลา 18.00 น. – 24.00 น. สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่ง โทร. 0 2126 8866  หรืออีเมล: guilty.asia@anantara.com  

  • Restaurants
  • อาหารยุโรปร่วมสมัย
  • สุขุุมวิท 26

ช่วงนี้เรียกได้ว่ามีร้านอาหารเปิดใหม่รายสัปดาห์กันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่นอกเหนือจากการชวนให้เราอยากไปเจิมในฐานะร้านเปิดใหม่แล้ว สิ่งที่ทำให้เราอยากกลับไปอีกรอบก็ยังต้องมีไว้และไม่ควรจะขาดหายไปไหน สำหรับ nais (นายส์) ร้านอาหารเปิดใหม่ล่าสุดในย่านสุขุมวิท 26 เรากล้าพูดอย่างเต็มปากว่ายังไม่ทันก้าวออกจากร้าน รสชาติของอาหารและขนมเค้กของร้านนี้ทำให้เราอยากกลับไปซ้ำอีกรอบเสียแล้ว

โดยเฉพาะกับเค้กมะพร้าว Virgin Coconut Cake (195.-) เนื้อชิฟฟอนเค้กน้ำมะพร้าวเป็นส่วนผสม ซ้อนเลเยอร์มาด้วยพูเร่มะพร้าวอ่อน โปะมาด้วยครีมสดมะพร้าวเนื้อบางเบาหอมเนียนละเอียด ที่ไม่ว่าจะอิ่มท้องจากเมนูหลากสไตล์เด็กอ้วนที่ คุณนาม - ปรมา ไรวา ทายาทรุ่นที่ 2 ของ S&P เล่าให้เราฟังว่าทุกเมนูนั้นมาจากฝีมือของคุณนาย - เกษสุดา ไรวา คุณแม่ของคุณนาม ที่ลงมือเข้าครัว เสิร์ฟอาหารแสนอร่อยขึ้นโต๊ะตั้งแต่ที่เธอยังเด็กๆ เป็นเมนูอาหารฝรั่งในความทรงจำ ที่ยืดสูตรแบบฝรั่งแต่ปรุงด้วยจริตความคุ้นมือแบบไทย

ทำให้อาหารทุกจานของที่นี่มีรสมืออาหารคุณแม่ ที่เราว่าเป็นรสพิเศษแถมเข้ามาเหมือนได้ไปนั่งกินข้าวในบ้านของเพื่อนที่นอกจากจะแต่งเสียสวย (มาก) แล้ว แม่เพื่อนคนนี้ยังทำอาหารอร่อย และอยากให้เราอิ่มท้องนั่งกินทั้งวันก็ยังได้

ทางร้าน nais มีเมนูไฮไลต์ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้กำเนิดร้านขึ้นมา และทุกโต๊ะจะต้องสั่งอย่าง NAIS Beef stew Pie (495.-) พายเนื้อสไตล์อังกฤษ ชิ้นเนื้อวัวหันเต๋านำไปปรุงสุกอย่างช้าๆ จนน้ำซอสแบบข้นๆ เค็มหวานแทรกรสเผ็ดร้อนนิดๆ ซึมเข้าไปในทุกอณูของชั้นเนื้อ แต่ยังคงเท็กเจอร์ของความเป็นเนื้อ กินคู่กับมันฝรั่งและแครอทตุ๋นนุ่มๆ เข้ากันดี

ตามที่เล่าไปว่าจริตของอาหารที่นี่จะเป็นอาหารฝรั่งโซนยุโรปโดยเฉพาะแบบฉบับอังกฤษ ดังนั้นจะขาดเมนูซิกเนเจอร์แบบ The Full English  Fry-up (Breakfast)  (425.-) ไปไม่ได้ คุณนามเล่าว่าอย่าเพิ่งตกใจถ้ายกมาเสิร์ฟแล้วทุกอย่างดูมันวาวเยิ้มไปด้วยน้ำมัน เพราะนี่คือความตั้งใจของเธอที่อยากเน้นให้คนได้กินอาหารอร่อยแบบสะใจโดยที่ไม่ต้องสนใจอะไร ขอให้กินแบบสนุกปากอร่อยท้องไปก่อน เพราะมาครบทั้งเห็ดพอทเทอเบลโล่และมะเขือเทศย่าง เคียงมาด้วยไข่ดาวที่ไข่แดงเยิ้มๆ จะเป็นตัวประสานทุกอย่างงให้เข้ากัน ทั้งไส้กรอกสองชนิดสองเท็กเจอร์ Cumberland sausage, ‘School’ sausage แฮชบราวน์กรอบๆ เบคอนหอมๆ ถั่วอบ และขนมปังซาวโดวจี่จนกรอบนอกนุ่มใน

เช่นเดียวกับ BL’s Roast Chicken (355.-) ไก่ย่างสูตรพิเศษประจำบ้านของคุณนาม หน้าตาคล้ายลูกผสมระหว่างไก่ย่างแบบไทยและฝรั่ง ไก่ส่วนสะโพกหมักสมุนไพรมาอย่างดีจนรสชาติไม่ได้อยู่แค่ที่หนังกรอบๆ แต่ซึมไปถึงเนื้อนุ่มๆ ชุ่มฉ่ำด้านใน เคียงมาด้วยมันฝรั่งอบหั่นชิ้นหน้า ตอนกินแนะนำว่าให้ราดน้ำเกรวี่ให้ชุ่ม และบีบส้มที่ผ่านการกริลล์บนกระทะลงไปอีกชั้น จะได้กลิ่นและรสชาติที่เข้มข้นแต่ก็สดชื่นในเวลาเดียวกัน ได้ลองจานนี้แล้วยิ่งอยากกลับไปวันเสาร์อาทิตย์ เพราะเขามีเมนู The Weekned Roasted เนื้อและไก่ย่างสไตล์อังกฤษ มีให้เลือกทั้งแบบฟูลบอร์ดและแบบจานเดี่ยว

เน้นจานเนื้อๆ หนักไปแล้ว พอมาเป็นจานสลัดก็ใช่ว่าที่นี่จะให้คุณได้กินผักใบเขียวราดน้ำสลัดแล้วจบ Grilled Caesar Salad (265.-) หัวผักกาดหั่นครึ่งตามแนวยาวไปกริลล์บนไฟแรงจนได้กลิ่นหอม ราดด้วยน้ำสลัดเกรวี่แบบจัดจ้านท็อปด้วยพาร์เมซานชีสขูดแบบท่วมๆ จานนี้กินทันทีเลยก็จะได้ความกรอบชัดเจน แต่ถ้าว่างทิ้งไว้สักนิด จนผักย่างดูดซับน้ำสลัดเข้าไปก็จะได้อีกมิติหนึ่งที่อร่อยไม่แพ้กัน

นอกจากโซนกินอาหารจริงจังบริเวณตรงกลางที่ขนาดข้างด้วยครัวเปิดทั้งฝั่งครัวอาหารคาวและของหวานแล้ว บริเวณด้านหน้าสุดของร้านยังเป็นโซนคาเฟ่ เผื่อใครที่ผ่านมาแถวนี้แล้วอยากแค่แวะมาดื่ม นอกจากเนูกาแฟและชาแบบมาตรฐานทั่วไปแล้ว เราอยากให้ลองไปดูเมนูส่วนซิกเนเจอร์ที่มี Caramel Honey Caffè Latte (140.-) กาแฟลาเต้รสกลมกล่อมเพิ่มความหอมด้วยน้ำผึ้ง ท็อปมาด้วยแครมเบิ้ลรังผึ้งให้เคี้ยวเล่นได้ หรือ Hot Chocolate (140.-) ชอกโกแลตร้อนแบบข้นๆ ท็อปมาด้วยไวท์ชอกโกแลต ถ้าวันนั้นเจอเรื่องอะไรแย่ๆ มา แก้วนี้แก้วเดียวก็สยบทุกอย่างได้เลย

nais นับว่าเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ ที่หากมองแว่บแรกเราอาจจะคิดว่าเป็นร้านที่แค่สวยอย่างเดียว แต่ด้านในนั้นมีจิตวิญาณของนักกินและคนที่เติบโตมาพร้อมกับอาหารตลอดเวลา และความคิดนี้ยังเผื่อแผ่ไปถึงทุกคนที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินเข้ามาในร้าน และพวกเขาสมาชิกของ Nais ทุกคนก็พร้อมจะชวนเรากินข้าวและมีอาหารที่ทำเสร็จไว้แล้วเรียงร้อยรอรับทันที ถ้าอยากนั่งยาวเราก็แอบเห็นว่ามีเนเชอรัลไวน์ขวดน่ารักหลายขวดตั้งเรียงรายอยู่

nais ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 26 ตรงข้าม K Village เปิดให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ 10.00-16.00 น. วันศุกร์-อาทิตย์ จะเพิ่มเวลาดินเนอร์ 18.00-22.00 น. สำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดได้ที่ www.instagram.com/nais_table 

การโฆษณา
  • Restaurants
  • สเต็กเฮ้าส์
  • พร้อมพงษ์

สุขุมวิท 39 ซอยสั้นๆ เชื่อมฝั่งพร้อมพงษ์กับทองหล่อ แต่กลับเต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์สไตล์ญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่สองข้างถนน ทำให้ถ้าเดินผ่านริมถนนแบบเร็วๆ อาจจะไม่รู้เลยว่าด้านหลังประตูไม้บานใหญ่นี้ คือที่ตั้งของร้าน Vinotheque (วีโนเทค) ที่เสิร์ฟสเต๊กเนื้อญี่ปุ่นแบบพรีเมียม บริเวณชั้นบนสุดของบาร์ Salon du Japonisant (ซาลง ดู ฌาปงนิซองต์) 

บนที่กะทัดรัดของร้านแต่มาพร้อมเพดานสูงโปร่ง โชว์ชั้นวางเหล้าญี่ปุ่นมากมาย พร้อมการตกแต่งให้กลิ่นอายแบบห้องใต้หลังคาสไตล์ลอฟต์ของบ้านสไตล์ยุโรป บริเวณครัวด้านในสุดของร้าน เชฟผู้มาพร้อมประสบการณ์ทำเนื้อมานานกว่า 30 ปี รวมถึงการเสิร์ฟอาหารแบบไคเซกิมาอีกกว่า 10 ปี อย่างเชฟโยชิอากิ คูสึโนกิ (Yoshiaki Kusunoki) กำลังเตรียมเนื้อโกเบและเนื้อเอจจิ้ง มานำเสนอผ่านเมนูที่ผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและยุโรปเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งส่วนผสม รสชาติ และหน้าตาอาหาร

เริ่มแรกกับเมนูเรียกน้ำย่อย Classic Sweet Tomato with Rock Salt (220 บาท) เชฟเลือกมะเขือเทศลูกโตสดใหม่พร้อมเกลือเม็ดใหญ่ ช่วยดึงรสชาติความสดชื่นออกมาได้อย่างเรียบง่ายแต่น่าจดจำ ต่อเนื่องด้วยเมนูเนื้อ 50+ Days Dry Aged Beef Tongue (1,980 บาท) ลิ้นวัวดรายเอจ 50 วัน วิธีการเสิร์ฟลิ้นวัวของที่นี่จะหั่นมาแบบชิ้นหนาเต็มคำแบบไม่มีความเหนียวแม้แต่น้อย เคียงด้วยเกลือและพริกไทยหรือจะบีบเลมอนเพิ่มมิติรสชาติก็ได้

สองจานไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดของที่นี่ ต้องยกให้ Kobe Beef Champion Suki Yaki ( 2 ชิ้น 1,800 บาท) เนื้อโกเบเกรด 12(เกรดที่ดีที่สุดของเนื้อ A5) ความพรีเมียมยังไม่จบแค่นั้น เพราะในปีหนึ่งจะมีวัวเพียง 5 ตัวเท่านั้นที่ได้เนื้อถึงเกรดนี้ เชฟจะสไลด์เนื้อมาแบบบางๆ ย่างด้วยไฟแรงวูบเดียวแบบอาบุริ ให้เนื้อพอสะดุ้งไฟ ออนท็อปด้วยไข่สด ต้นหอมซอย และซอสสุกี้ยากี้ แนะนำให้ตีไข่จะเคลือบทั่วทั้งชิ้นเนื้อเพิ่มความชุ่มฉ่ำ จานที่สองจะเป็น 50+ Days Dry Aged Black Angus (AUS) 400 กรัม (2,180 บาท) เนื้อวัวออสเตรเลียดรายเอจ ย่างแบบมีเดียมแรร์ ชูรสด้วยวาซาบิดอง และ Chaliapin Sauce ซอสรสเข้มข้นแต่ให้ความสดชื่นเบาลิ้นด้วยโชยุและหัวหอม

ถึงแม้จะเป็นร้านโฟกัสที่เนื้อแต่เมนูอื่นๆ ของที่นี่ก็เด็ดไม่แพ้กันทั้งอย่างสองตัวเลือกเมนูอาหารทะเลทั้ง Deep Fried Oyster (270 บาท) หอยนางรมสดใหม่สายพันธุ์เฮียวโงะ จากทางตอนใต้ของญี่ปุ่นไซส์ใหญ่ นำไปชุบเกล็ดขนมปังแล้วทอดในอุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส เพียงแค่ 15 วินาที เพื่อให้ได้ความกรอบสีเหลืองทองแต่หอยยังมีความฉ่ำ และ Mentaiko Pasta Special (1,300 บาท) สปาเก็ตตี้ในซอสครีมมี่ ที่ความอูมามิและเคี้ยวสนุกปากมาแบบเต็มทุกคำ ด้วยไข่ปลาในซอสและท็อปด้วยไข่ปลาเมนไทโกะไซส์ใหญ่ที่สุดนำเข้าจากฟุกุโอกะ

อีกสองเมนูคอมฟอร์ค เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยรสชาติที่คุ้นเคย อย่างแซนด์วิชสไตล์ญี่ปุ่นทั้ง Sous Vide Cooked Pork Cutlet Sandwiches (780 บาท) หมูชิ้นหนาทำให้สุกด้วยวิธีซูวี แล้วชุบแป้งแบบบางๆ นำไปทอดจนกรอบ ประกบด้วยขนมปังนมฮอกไกโดให้เทกเจอร์แบบนุ่มละมุน ถ้าเปลี่ยนเป็นเนื้อในเมนู Kobe Beef Sandwich (1,380 บาท) จะได้กลิ่นหอมของเนื้อโกเบแทรกเข้ามา และมีมัสตาร์ดเพิ่มมิติรสชาติ ปิดท้ายด้วยของหวาน Basque Cheese Cake (ชิ้นละ 350 บาท) ชีสเค้กหน้าเบิร์นสไตล์สเปน ถึงภายนอกจะดูหนักหน่วงแต่รสชาตินั้นนุ่มลิ้น เข้ากันได้ดีกับลิสต์เครื่องดื่มทั้งไวน์ สาเก และอุเมซู ที่มีให้เลือกตาความชอบ 

 

  • Restaurants
  • อาหารไทย
  • คลองสาน
นาทีนี้ตอนนี้ถ้าจะยกอาหารสักอย่างขึ้นมาเป็นเมนูประจำชาติไทย เชื่อว่าทั้งตัวเราและหลายคนจะต้องตอบว่า หมูกระทะ ทันทีแบบไม่ติดตลก เพราะยืนยันด้วยการอยู่คงกระพันคู่คนไทยมายาวนาน และเป็นมื้อที่นึกไม่ออกจากนัดเจอเพื่อนที่ไหน ก็ต้องจบที่หมูกระทะนี่แหละ ทำให้ทุกวันนี้หมูกระทะถูกตีความออกไปตามความชอบและรสนิยมของคนทำมากมาย ทุกร้านต่างงัดไม้ตายเพื่อประกาศว่าจะมาเป็นหมูกระทะเหมือนกันไม่ได้

สำหรับหนึ่งในร้านหมูกระทะน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Hey Mookata เราสามารถใช้คำว่า “สวยและอร่อย” มาอธิบายหมูกระทะได้อย่างเต็มปาก และทุกคนจะต้องคิดแบบนั้นทันที ตั้งแต่เดินมาเจอที่ตั้งของร้านบริเวณด้านในของโครงการ Ours ย่านเจริญนคร ถัดจากร้านขนมสุดฮิตอย่าง Holiday Pastry ต่อเนื่องความสวยด้วยโครงสร้างอาคารแบบมินิมัล เส้นตรงคมกริบ เส้นโค้งแบบสมมาตร ที่สวนดอกไม้สวยๆ และสนามหญ้ามาเป็นฉากหน้า หยิบกล้องมาเล็งมุมไหนก็สวย


ส่วนบริเวณด้านในของร้านหมูกระทะ จะเน้นความดิบแต่เนี๊ยบด้วยอิฐสีแดง แทรกสลับกับสีเขียวของต้นไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ โดยเฉพาะกับเก้าอี้สไตล์มิด-เซนจูรี่ สิ่งที่เราชอบอย่างหนึ่งคือการจัดวางที่นั่งของที่นี่ ด้วยการวางสลับสำหรับโต๊ะใหญ่และเล็ก เป็นบล็อกสีเหลื่อมวางขวาง จะมาเป็นคู่หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ความเป็นส่วนตัว แม้ว่าคนจะแน่นเต็มร้านทุกโต๊ะ

หมูกระทะที่นี่จะไม่ใช่บุปเฟต์ แต่เป็นมีให้เลือกตั้งแต่ ชุดหมูเล็ก (399 บาท) ชุดหมูกลาง (499 บาท) ชุดใหญ่ รวมหมู ซีฟู้ด (599 บาท) จะมีหมู 3 อย่างคือ หมูหมักงา หมูสันคอ และ หมูสามชั้น ทุกชุดมาพร้อมผักรวม ถ้าหากต้องการสั่งจานเนื้อสัตว์คุณภาพพรีเมียม ที่เราว่าเป็นเอกลักษณ์ของหมูกระทะที่นี่เลย ราคาจะเริ่มต้นที่ 99-149 บาท ถ้าเป็นเนื้อวัวก็ยิ่งพรีเมียมทั้งเนื้อวากิวออสเตรเลีย (349 บาท) หรือ เนื้อติดมัน USA (229 บาท) ถ้าเป็นจานผักจะเริ่มต้นที่ 20-119 บาท เรื่องของน้ำจิ้มที่เป็นชี้ชะตาว่ารอดหรือร่วง สำหรับที่นี่สอบผ่านอย่างไร้ข้อกังขา เพราะเขาเสิร์ฟ 3 แบบด้วยกัน น้ำจิ้มคลาสสิคออกรสหวาน น้ำจิ้มปลาร้านัวๆ และ หมาล่าแซ่บเผ็ดหวาน แต่ที่แนะนำจริงๆ ว่าห้ามพลาดคือ น้ำจิ้มไข่ดอง (29 บาท) ที่อร่อยจนอยากขอสั่งถ้วยที่สอง

ถ้ากินอิ่มแล้วสามารถบอกพนักงานให้ปิดเตาและสั่งเครื่อมดื่มมานั่งจิบ ทั้งเบียร์ซัปโปโรจะสั่งเหยือกหรือทาวน์ก็ได้ โซจูที่นี่ก็มี กันคอฝืดระหว่างเมาท์กับเพื่อนต่อได้ เพราะว่าเพลย์ลิสต์ของที่นี่พร้อมชวนโยกให้เป็นปาร์ตี้หมูกระทะตลอดเวลาด้วยเพลงป๊อปฮิตติดหูร้องตามได้แน่นอน

เฮ หมูกระทะ ตั้งอยู่ในโครงการ OURS ซอยเจริญนคร 10 BTS Iconsiam (เจริญนคร) เปิดให้บริการทุกวัน (ปิดทุกวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 17:00 – 00:00 น. สามารถสำรองที่นั่งหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ HEY Mookrata - เฮ หมูกระทะ
การโฆษณา
  • Restaurants
  • คาเฟ่
  • สยาม

ใครที่เคยไปเกาหลีหรือเป็นสายเกาหลีเกาใจจะต้องเคยเห็นแซนด์วิชไข่ตูมๆ แน่นๆ ชวนกินของ Eggdrop กว่า 275 สาขา และสาขาแรกในประเทศไทยก็เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่าน และเราก็ได้ยินมาตลอดว่า เพิ่งเปิดแค่ไม่กี่วันแต่คิวนั้นยาวเหยียดตลอดทั้งวัน ครั้งนี้ก็เลยทดลองขอไปให้เช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสรุปได้ว่าคิวยาวสมคำร่ำลือจริง 

สำหรับ Eggdrop สาขาแรกในประเทศไทยนี้ตั้งอยู่ที่ Center Point สยามสแควร์ กินพื้นที่ 2 ชั้น ตามคำบอกเล่าของคนที่เคยไปเยือนสาขาเกาหลีมาแล้ว ที่นี่การออกแบบทุกอย่างยกเซ็ตมาจากสาขาแม่ เน้นการตกแต่งสไตล์เรโทรใช้สีแดงและสีเงินเป็นหลัก การสั่งอาหารจะเป็นการสั่งผ่านตู้ Kiosk ที่ตอนนี้มีให้บริการเพียงแค่ 2 ตู้ เลยอาจจะต้องรอนานสักหน่อย 

แล้วถ้ามาที่ Eggdrop จะต้องกินอะไร? เมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่จะเริ่มต้นด้วย Mr. Egg (89 บาท) แซนด์วิชขนมปังบริออชชิ้นหนากรอบนอกนุ่มในประกอบมากับไข่คน Scrambled Egg เยิ้มๆ ด้านล่างจะใส่เป็นซอสศรีราชาออกรสหวาน มีชาวเน็ตแกะสูตรออกมา ทำให้กระจ่างว่าสาเหตุที่แซนด์วิชทุกแบบออกรสหวานนำ เพราะมาจากซอสที่มีส่วนผสมเป็นนมข้นหวานนั้นเอง ขนมปังนอกจากบริออชแล้วยังมีให้เลือกเป็นขนมปังกระเทียมและเฟรชโทสต์ ถ้าอยากกินแบบตูมขึ้นไปอีกสามารถสั่งเป็น อเมริกัน แฮมชีส (119 บาท) หรือ เบค่อน ดับเบิ้ลชีส (119) ก็ได้ รวมถึงเซ็ตเมนู แซนด์วิช เครื่องดื่ม และ แฮชบราวน์ ราคาเริ่มต้นที่ 179 - 849 บาท

ส่วนเราขอแหวกแนวลองเมนูในโซน K-street ที่เป็นการใส่กลิ่นอายของอาหารเกาหลีด้วยซอสเผ็ดโคชูจังลงมาอย่างเมนู แฮมและชีส เค-สตรีทโทสต์ (119 บาท) และ อะโว เบค่อน เค-สตรีทดทสต์ (139 บาท) เราว่าพระเอกตัวจริงของแซนด์วิช Eggdrop คือขนมปังบริออชที่แค่กินเปล่าๆ ไม่ต้องมีเครื่องหรือซอสใดๆ ก็อร่อยแล้ว ส่วนของเล่นอย่างแอชบราวน์ถ้าไม่ได้สั่งมากินก็ไม่ได้พลาดอะไรไป    

เอาเป็นว่าใครที่คิดถึงรสชาติของแซนด์วิชไข่เจ้านี้หรือใครที่ยังไม่เคยลองก็ควรที่จะไปลองสักครั้ง เพราะขนมปังบริออชเขาเด็ดมากจริง คำแนะนำอย่างเดียวของเราก็คือไปให้เช้าที่สุด เพราะตอนเดินออกจากร้านมายังไม่ทันเที่ยงของวันธรรมดา คิวก็ยาวขดหนึ่งตลบไปแล้ว

Eggdrop ตั้งอยู่ที่ Center Point สยามสแควร์ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 07.00 - 22.00 น. สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Eggdrop Thailand - 에그드랍 

 

  • Restaurants
  • อาหารไทย
  • สีลม

ให้นึกแบบเร็วๆ บ้านเราเองก็มีเชฟฝรั่งที่ทำอาหารไทยอยู่หลายคน แต่วงจะแคบลงไปในทันที ถ้านึกต่อไปว่ามีเชฟตะวันตกคนไหนบ้างที่ทำอาหารจากตำราอาหารไทยโบราณ — วิลาศ (Vilas) ไฟน์ไดนิ่งใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกมหานครเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

วิลาศ นั้นภูมิใจกับความเป็นลูกครึ่งตั้งแต่ชื่อร้าน ที่เป็นคำโบราณที่หมายถึงชาวต่างชาติตะวันตก สะท้อนถึงการเป็นร้านอาหารไทย ทำโดยเชฟชาวตะวันตก (สเปน) ด้วยวัตถุดิบตะวันออก (ญี่ปุ่น) ที่จะว่าเป็นความลื่นไหลทางสัญชาติอาหารก็คงจะไม่ผิดแปลกอะไร

วิลาศได้เชฟเปเป้ (Pepe Dasi Jimenez) เชฟชาวสเปนที่ยังดูวัยรุ่น แต่ประสบการณ์ร้านอาหารไทยนั้นโชกโชน ผ่านการทำอาหารไทยจากหลายร้านดังในกรุงเทพฯ และในออสโล ประเทศนอร์เวย์ แถมในครัวยังเต็มไปด้วยเอเนอจี้ของคนคนครัวรุ่นใหม่ ที่พร้อมใจกันหยิบตำราอาหารโบราณมาถ่ายทอดใหม่ในหน้าตาและรสชาติที่สนุกขึ้นเป็นกองของ First Love of Villas เมนูแรกรักวิลาศเลิศหรู เทสติ้งเมนู 12 คอร์สในครั้งนี้ 

แรกเริ่มด้วยโซนของเรียกน้ำย่อย สไตล์ทาปาสแบบฉบับบ้านเกิดเชฟ เพราะเสิร์ฟแบบพอดีคำ เน้นหยิบกินในคำเดียว ‘ขนมเบื้องวิลาศ’ เชฟเปเป้จับมาแปลงหน้าตาแต่คงไว้รสชาติเดิม ตั้งแต่ครีมสีขาวที่ใช้เป็นตับปลาอังโกะจากฮอกไกโดแทรกด้วยกลิ่นหอมเปรี้ยวจากมะกรูดและส้มซ่า คาเวียร์จิ๋วที่ทำจากไข่แดงเค็ม และไส้กระฉีกมะพร้าวอ่อน 

‘เมี่ยงไข่หอยเม่น’ กลีบบัวที่วางมาบนแป้งวาฟเฟิลบางเฉียบ ท็อปมาด้วยอูนินวลๆ และเท็กเจอร์กรอบๆ จากทั้งแป้ง มะพร้าวคั่วและหอมแดงเจียว 

‘น้ำพริก’ เสิร์ฟบนแป้งข้าวเกรียบทำจากมะระแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกจะได้รสไม่สะดุ้งลิ้นเท่าไรเพราะมีขาปูขนฮอกไกโดให้รสเบาๆ ก่อนกัดไปเจอคำที่สองจะได้รสเปรี้ยวจากตะลิงปลิง เผ็ด และหวานชวนกระตุ้นให้อยากกินคำต่อไป ที่รสชาติไต่ระดับความร้อนแรงขึ้นไปอีกด้วย ‘ฉู่ฉี่ปลาไหลย่าง’ ดัดแปลงมาจากสูตรของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ (แม่ครัวหัวป่าก์) ซึ่งเป็นสูตรจากทางจันทบุรี  ที่เขาว่าคำว่า ฉู่ฉี่ มาจากเสียงเครื่องแกงเมื่อโดนความร้อนบนกระทะช่วงเคี่ยวให้ทุกอย่างงวด เชฟเปเป้ก็เลยเอาน้ำปลาหวานมาแทนเครื่องแกงและใช้ปลาไหลญี่ปุ่นย่างจนซอสซึมทุกส่วน เสิร์ฟมาพร้อมกับหนังปลากรอบๆ ท็อปด้วยอิคุระ สมุนไพรซอยชิ้นเล็กๆ และขี้โล้ ที่ต้องคลุกให้ทุกอย่างเข้ากันก่อนกิน 

มาครึ่งทางเชฟขอดับความระอุลิ้นด้วย ‘ไข่ตุ๋นเคยฉลู’ เท็กเจอร์ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนหวานๆ แบบญี่ปุ่นผสมด้วยรสกะทิที่มีกลิ่นเอกลักษณ์จากเคยฉลู แล้วแทรกด้วยไข่กุ้งในทุกคำที่ตักขึ้นมา เป็นรสชาติที่เดาไม่ได้เลยจากหน้าตา ส่วนตัวถ้าให้หยิบสักจานมาสื่อถึงความลื่นไหลทางรสชาติอาหาร จานนี้ก็คงจะเป็นตัวอย่างได้ดีทีเดียว เช่นเดียวกับ ‘ข้าวบาย หอยจี่’ ให้อารมณ์ทั้งข้าวปั้นญี่ปุ่นและข้าวจี่แบบทางอีสาน เคลือบด้วยน้ำพริกปลาร้าสับ กินคู่กับหอยจี่หอมกลิ่นสามเกลอแบบชัดเจน เชฟขอเร่งเครื่องอีกนิดก่อนใกล้เข้าเมนคอร์สด้วย ‘ต้มเต้าเจี้ยวปลาหมึกยัดไส้’ เมื่อเทน้ำซุปลงมา กลิ่นใบโหระพาหอมเตะจมูกทันที หน้าตาดูนิ่งๆ เหมือนซุปมิโซะแต่ตักเข้าปากแล้วเหมือนระเบิดรสชาติความแซ่บคล้ายโป๊ะแตก แถมอีกจานกับ ‘ปลาส้ม’ ที่รสชาติทั้งหมดอยู่ที่ตัวปลาอายุ (Ayu) จากญี่ปุ่น นำไปดองก่อนทอดจนได้ความมันแทรกความเปรี้ยว กินคู่กับซอสน้ำพริกเผาเสริมรสหวานเผ็ด ก่อนล้างปากด้วย ‘หวานเย็นฝรั่งกับมะเขือเทศดอง’

 

มาถึงจานเมนคอร์สที่เสิร์ฟแบบสำรับไทยแท้ ด้วยการเสิร์ฟ ‘แกงกะหรี่ข้าวมัน’ แกงกะหรี่แบบนวลๆ ไม่หนักกลิ่นเครื่องเทศตามสูตรของท่านผู้หญิง จีบ บุนนาค มีแก้มและลิ้นวัวตุ๋นมาจนนุ่มแต่ให้เท็กเจอร์เด้งสู้ฟันเคี้ยวสนุกเสิร์ฤมาในชามใหญ่ให้ตักแบ่งกัน แนมด้วยอาจาดที่มีทั้งเกสรดอกชมพู่ ผักและผลไม้ดอง (จานนี้เคยเสิร์ฟที่ สำรับสำหรับไทย โดยเชฟปริญญ์ ผลสุขมาด้วย) 

ส่วนของหวานเป็นขนมไทยอย่าง ‘หม้อแกงแปะก๊วย’ แต่มาในหน้าตาคล้ายกับคัสตาร์ดพุดดิ้ง กินคู่กับผลไม้วิลาศเชื่อม (ลูกพลับเชื่อม) ปิดท้ายด้วย ‘ไอศกรีมขนมครก’ แป้งกะทิบางเฉียบข้าวในเป็นไอศกรีม ส่วนด้านข้างเป็นเจลลี่มะม่วงคลุกพริกเกลือ

ซึ่งจะบอกว่าเลิศหรูด้วยวัตถุดิบที่นำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหมดก็คงจะใช่ แต่เราว่าไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งที่รวมกันตั้งแต่ดีไซน์ร้าน การเล่นกับโครงสร้างเน้นความมินิมัลสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยโทนสีครีมขาวแทรกด้วยสีเขียวอ่อน เชฟฝรั่งที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ครัวฝรั่งแบบเปิดพร้อมลูกมือคนไทย ที่ทำให้วิลาศบทนี้หากมองจากภายนอกก็จะว่าด้วยเรื่องราวของลูกครึ่งลูกผสม แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วรู้เลยว่าภายในนั้นเลือดไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน เดือนธันวาคมนี้ทางร้านกำลังจะเปลี่ยนเมนูใหม่อีกครั้ง แล้วเดียวเรามาอัปเดตให้ฟังอีกครั้งว่าเมนูใหม่จะเป็นอย่างไร 

VILAS วิลาศ ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 Mahanakhon Cube เปิดให้บริการวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 17:30 - 22:00 น. เทสติ้งเมนู 12 คอร์ส ราคา 4,500++ บาทต่อคน สามารถสำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vilasbangkok.com 

 

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา