
หน้าหลัก Time Out Bangkok
เอดิชันภาษาไทยของมีเดียแพลตฟอร์มระดับโลกที่อัปเดตไลฟ์สไตล์คนเมืองมาตั้งแต่ปี 1968

Restaurants
Time Out ชวนผมมาแชร์ลิสต์คาเฟ่เปิดใหม่ที่ชอบที่สุด และระหว่างที่กำลังรวบรวมรายชื่ออยู่นั้น ผมก็ย้อนคิดไปถึงจุดเริ่มต้นตั้งแต่แรกเริ่มตลอดแปดปีที่ผ่านมา...

Things to do
อีเวนต์น่าสนใจในกรุงเทพฯ ตลอดเดือนกันยายนนี้
กันยายนมาถึงแล้ว Time Out ขอชวนทุกคนต้อนรับเดือนเก้า ด้วยการก้าวเท้าออกจากบ้านมาสนุกไปกับอีเวนต์สุดพิเศษจัดเต็มตลอดทั้งเดือน...

Things to do
กิจกรรมน่าทำในกรุงเทพฯ สุดสัปดาห์นี้ (18 - 21 กันยายน)
เข้าสู่สัปดาห์ที่สามของเดือนกันยายนกันแล้ว สุดสัปดาห์นี้ Time Out ก็ยังไม่พลาดที่จะคัดกิจกรรมเด็ดๆ มาฝากทุกคนเช่นเคย...

Attractions
8 มุมเด็ดที่ห้ามพลาดในสวนดุสิตอรุณ
สวนรูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ดุสิตอรุณ เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงเดือน แต่ก็กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ชาวกรุงเทพฯ...

Things to do
ยกแก้วชนผี! ไปกับงานปาร์ตี้ฮาโลวีน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านฝั่งธน ‘เหล้าเรื่องผี 2’
เดือนตุลาคมกำลังจะมาถึงทั้งที บรรยากาศฮาโลวีนก็เริ่มปกคลุมทั่วเมืองกรุง และสำหรับใครที่กำลังมองหาปาร์ตี้สุดหลอนที่มาพร้อมกับบรรยากาศสนุกสุดเหวี่ยง...
การโฆษณา
อีเวนต์และกิจกรรมน่าสนใจในกรุงเทพฯ
อัปเดตข่าวล่าสุดจาก Time Out กรุงเทพฯ

Restaurants
ชาตรามือ ลุยแบรนด์ CTM สาขาแรกในไทย ปรับลุคใหม่ให้คนดื่มชาได้หลากหลาย
ใครเคยแวบไปที่บริเวณชั้น LG โซน Parkside Market ที่ห้างเซ็นทรัล พาร์ค ดุสิตธานี คงเห็นคาเฟ่ชา CTM ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเขียวมะนาวทับซ้อนเลเยอร์ด้วยโทนไม้อบอุ่น เห็นแล้วเหมือนเป็นการเชื้อเชิญอย่างอบอุ่น
Photograph: CTM
คาเฟ่ชา CTM คือร้านชาแบรนด์ใหม่จากชาตรามือ ซึ่ง CTM ไม่ได้ย่อมาจาก Cha Tra Mue แต่มาจาก Captivating Tea Muse ด้วยคอนเซปต์ใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่ม แต่อยากให้คนได้เลือกดื่มชาที่สนุกขึ้น และอยากให้คนรู้จักจักรวาลของชาที่มากกว่าแค่ชาไทยใส่นมอย่างที่คุ้นชิน
ความจริงแล้ว ชาสุดแมสอย่างชาตรามือเปิดมานานกว่า 80 ปี ซึ่งที่ไทยเองมีแหล่งปลูกชาทางภาคเหนือด้วยพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ รสชาติของชาก็เป็นเอกลักษณ์ และถูกปากทั้งคนไทยและต่างชาติอยู่แล้ว จึงอยากถ่ายทอดเรื่องราวของชาผ่านแบรนด์ใหม่อย่าง CTM เพื่อให้คนที่ชอบดื่มชาได้รู้ว่า จริงๆ แล้วชามีหลากหลายมาก ที่ดื่มได้ทั้งแบบใสและใส่นม ซึ่งชาในไทยที่คนนิยมดื่มจริงๆ จะมีแค่สองตัว คือชาอัสสัม และชาจีน
Photograph: CTM
แพรว-พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช ทายาทรุ่นที่ 3 ของแบรนด์ชาตรามืออธิบายว่า ความจริงแล้ว เราจะคุ้นเคยแค่ชาไทยสีส้ม แต่ CTM อยากให้เป็นแบรนด์ที่พูดถึงเรื่องชาที่ลึกกว่าเดิม ซึ่งชามีหลายแบบ ดังนั้น เราอยากให้มีตัวเลือกของชาที่ต่างออกไป และทำให้คนรู้จักชามากขึ้น
ดังนั้น เพนพอยต์หลักของ CTM จึงอยากให้คนมีทางเลือกในการดื่มชาได้สนุกและลองรสชาติของชาที่ต่างจากชานมสีส้มหรือเมนูที่มีอยู่เดิม นอกจากเมนูที่ครีเอตออกมาได้แตกต่าง ยังรวมไปถึงการตกแต่งร้านด้วยโทนสีส้มมะนาว และผนังไม้ที่มีเชลฟ์วางถ้วยเซรามิกตกแต่งให้ความรู้สึกที่ดูเรียบขึ้น แต่ก็ไม่แมสจนเกินไป
Photograph: CTM
ส่วนเมนูของ CTM เขาได้ตีโจทย์ออกมากว่า 40 เมนู ด้วยแนวคิด ‘Muse’ เป็นการผสานเบสชาที่มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างให้เข้ากับท้อปปิ้งหรือผลไม้ที่ได้รสชาติลงตัวและเป็นรสชาติใหม่ที่กินแล้วสนุก ซึ่งเบสชาหลักของร้านคือ ชาขาว ชาอู่หลง และชาต้งติ่ง โดยมีซิกเนเจอร์ที่เรียกว่า Captivating Series ทั้งหมด 6 เมนูคือ
Photograph: CTM
หนึ่ง ชานมอู่หลงนางงาม ที่หอมกลิ่นใบชาคล้ายน้ำผึ้งและผลไม้สุก รสชาติของชาและน้ำผึ้งเข้ากันได้ดี สอง ชาจัสมินบลูม ชาเขียวอบดอกมะลิสด หอมกลิ่นมะลิ รสชาติบางเบา ดื่มแล้วสดชื่น สาม ชาต้งติ่งเกาลัด ใครชอบชานมต้องลอง ซึ่งทางร้านใช้ใบชาต้งติ่งที่มีความหอมเข้มข้นและมีรสชาติเฉพาะ ที่เคี้ยวเพลินด้วยเนื้อเกาลัดบด สี่ ชาขาวไอวอรี่นมปั่น หอมกลิ่นชา ละมุน ดื่มง่าย แนะนำให้ท้อปปิ้งด้วยไข่มุกข้าวโอ๊ตป๊อปที่ให้รสชาติแตกต่างจากไข่มุกเดิมๆ ด้วยรสสัมผัสหนึบหนับเหมือนกินข้าวเหนียว ห้า ชาไทย CTM เครมบรูเล่ มีกลิ่นหอมชาไทยเข้มข้น ท็อปด้วยครีมชีสที่นำไปเบิร์นไฟจะได้กลิ่นคาราเมลและรสละมุนขึ้น สุดท้ายคือ ชาส้มโอทับทิมสยาม เมนูที่ทางร้านแนะนำสุดๆ ซึ่งเป็นชามะลิผสมส้มโอทับทิมสยาม จะมีความเปรี้ยวๆ หวานๆ และมีเนื้อส้มโอไว้เคี้ยวเพื่อความครบรส
Photograph: CTM
นอกเหนือจากนี้ยังมีเมนูอีกกว่าสามสิบรายการให้เลือกลิ้มลอง พร้อมเลือกได้เลยว่าจะใส่ท้อปปิ้งครีมชีส ไข่มุกข้าวโอ๊ตป๊อป หรือไข่มุกบุก ที่สำคัญ ทางร้าน CTM ใช้เครื่องสกัดชาหรือ Teapresso ที่ทำให้ได้ชาสดใหม่แก้วต่อแก้ว นับเป็นนวัตกรรมเพื่อเจาะกลุ่มสาวกคนดื่มชาที่แท้จริง
โดยเร็วๆ นี้จะมีการเปิดสาขาสองภายในปลายปีนี้ คงต้องรอติดตามต่อไป ติดตาม CTM ได้ที่ FB: CTM Thailand IG: @ctm.thailand

Movies
Papa เหตุการณ์จริงในฮ่องกงสู่ภาพยนตร์ชวนทำความเข้าใจกลุ่มเปราะบางได้งดงาม
หมายเหตุ: ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป
หากใครเคยดูหนังฮ่องกง คงรู้อยู่แล้วว่า บทบาทของนักแสดง ฝีมือการกำกับ แม้แต่ทีมเขียนบทส่วนใหญ่คือการเปลื้อง ‘ความจริง’ ของหนังได้หมดเปลือก
เช่น Papa หนึ่งในภาพยนตร์ฮ่องกงที่หยิบเอาเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการเล่าเรื่องให้ดู ‘ง่าย’ กับคนดูได้อีกหนึ่งเปลาะ
ภาพยนตร์เรื่อง Papa เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของเทศกาล Hong Kong Film Gala Presentation ที่เพิ่งเข้าฉายที่ House Samyan ไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน ด้วยธีม Together We Dare Together เป้าหมายหลักของเทศกาลคือ การสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและแลกเปลี่ยนวิชาชีพในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงและไทย เรื่องนี้เคยเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่โตเกียวด้วย
สำหรับ Papa คือภาพยนตร์แนวดราม่า-อาชญากรรม ที่สร้างจากคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเมื่อปี 2010 ที่ย่านซุนวาน ในฮ่องกง ด้วยฝีมือการกำกับของ ‘ฟิลิป ยุง’ ผู้กำกับ นักเขียนบท และผู้ควบคุมงานสร้างหนังในฮ่องกง นำแสดงโดย หลิวชิงอวิ๋น (ฌอน หลิว) โจ คุค และดีแลน โซ ซึ่งเขาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่พลิกบทบาทมารับบทที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยากเรื่องนี้เรื่องแรก จนได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุ 16 ปี
สาเหตุที่โปรดิวเซอร์และทีมนักเขียนบทสนใจประเด็นเรื่องนี้ก็เพราะว่า แม้ฮ่องกงจะนับว่าเป็นเขตเศรษฐกิจระดับโลก แต่ก็ยังมีมุมมืดที่ซ่อนอยู่ใต้พรม อย่างอัตราการปลิดชีพของเยาวชนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะวัยประถมและมัธยม (หนึ่งในกลุ่มคนที่น่าเป็นห่วง) จึงควรหันมาตระหนักและใส่ใจเรื่องนี้จริงจัง ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างของเยาวชนก็คือ ‘หมิง’ ตัวละครหลักของเรื่อง Papa นั่นเอง
Papa คือการเล่าเรื่องราวของ ‘หนิน’ เจ้าของร้านอาหารและคาเฟ่เล็กๆ ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับครอบครัว แต่ชีวิตต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อ ‘หมิง’ ลูกชายวัย 15 ปีของเขาได้ลงมืออาชญากรรมแม่และน้องสาวของตัวเองในค่ำวันหนึ่ง ต่อมาหมิงได้ถูกจับกุมโดยการสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหลังจากที่เขาถูกจับกุม เขาก็ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่าเข้าข่ายเป็นโรคจิตเภทขั้นรุนแรง จนถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดในสถานพยาบาลจิตเวชซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐ และจะต้องเข้ารับการบำบัดจนกว่าอาการจะหายดีจริงๆ
นับตั้งแต่นั้น หนินผู้เป็นพ่อก็ดำเนินชีวิตเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก (แต่ก็มีความเข้าใจโลกในที) ทุกๆ เดือนที่เขาไปเยี่ยมลูกชายที่สถานพยาบาลจิตเวช ความทรงจำในอดีตถึงภรรยา ลูกสาว และลูกชาย ก็เข้ามาหลอกหลอนเขาทุกครั้ง แต่พอเวลาผ่านไป เขาเลิกหาเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต แต่หวังแค่ว่าลูกชายคนเดียวของครอบครัวจะได้กลับบ้านอยู่พร้อมหน้ากับเขาอีกครั้ง
ประเด็นหลักของภาพยนตร์ฉายภาพไปที่ความเข้าอกเข้าใจและความมีเมตตาของผู้เป็นพ่อที่มีให้ลูกชายได้ลึกซึ้งเกินกว่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ อย่างที่ เอมี ชิน โปรดิวเซอร์เรื่อง Papa บอกว่า เธอตั้งใจอยากให้คนหันมาให้ความสำคัญกับการสำรวจจิตใจ ในอีกแง่เพื่อต้องการให้คนส่วนใหญ่ทำความเข้าใจผู้ที่อยู่ในภาวะทางจิตเวชไปพร้อมกัน
“เราอยากให้ภาพยนตร์สื่อถึงความเมตตาต่อผู้ป่วยทางจิตเวช ซึ่งอยากให้เข้าใจพวกเขา และมองเห็นว่าเรื่องนี้คือเรื่องใกล้ตัวที่ควรหันมาใส่ใจ” – เอมี ชิน โปรดิวเซอร์หนังเรื่อง Papa
โดย ดีแลน โซ ตัวเอกของเรื่องให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับการทาบทามจากฝ่ายคัดเลือกนักแสดงให้มารับบทนี้เป็นครั้งแรก ตัวเขาเองก็เป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยม ซึ่งเป็นบทที่ท้าทายความสามารถอยู่มาก โดยเฉพาะการรับบทตัวละครที่มีอาการทางจิต แต่เขาก็มีพี่ชายที่ดูแลผู้ป่วยทางจิตเวชโดยตรงช่วยให้คำแนะนำ
ดังนั้น ที่บอกว่าแม้หนังจะสกัด ‘ความจริง’ ออกมาให้เห็นถึงเรื่องราวในหนังเพื่อให้ดู ‘ง่าย’ ขึ้นตั้งแต่ต้นโดยที่ดูไม่น่ากลัวจนเกินไปนั้น อันที่จริงกลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจของตัวละครหนึ่งไปสู่อีกตัวละครหนึ่งมากกว่า ซึ่งหนังกำลังบอกว่า ความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่น่าขยะแขยงหรือการตั้งแง่ที่จะหลีกหนีและน่ารังเกียจเสมอไป แต่การอยู่ในสภาวะยอมจำนนเพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจต่างหากคือ ‘ความจริง’ อันน่ากลัว
ในแง่คนดูอย่างเรา การที่โปรดิวเซอร์หยิบยกประเด็นของกลุ่มผู้เปราะบางอย่างอาการป่วยทางจิตเวชมาชำแหละความจริงโดยถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ นับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งที่ชูเรื่องนี้ออกมาพูดในแวดวงสังคมที่เราคิดไปเองว่าไม่มีใครคิดจะทำสักเท่าไร
อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะมีเส้นเรื่องที่เล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เกิดขึ้นและจบลงแบบไหน แต่ผู้กำกับและทีมนักแสดงกลับถ่ายทอดออกมาโดยเดินเรื่องที่รู้สึกได้ว่าไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำซากตามตัวละคร หรือโบยตีคนดูให้บอบช้ำไปกับเรื่องราวในหนัง นั่นจึงทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง An Elephant Sitting Still (2018) ที่กำกับภาพออกมาได้คล้ายกับหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้
อย่างฉากในคืนหนึ่งที่หมิงดูสับสนจนใช้มีดทำร้ายแม่และน้องสาวจนพวกเขาจากไป ฉากนั้นคนดูอาจแปะป้ายด้วยคำถามที่ว่า ทำไมหมิงถึงทำแบบนั้น ซึ่งเป็นคำถามเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อถามลูกชายตัวเองหลังโดนจับกุม ฉากนี้บอกได้ทันทีว่า การทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาจนถึงแก่ชีวิตมันดูอุกอาจอย่างแน่นอน แต่การร้อยเรียงภาพในหนังสื่อออกมาให้เห็นว่า การกระทำของตัวละครต้องอาศัยความสามารถในการเข้าอกเข้าใจ ‘คนดู’ ที่ ‘เคยเผชิญ’ เหตุการณ์นั้นจริงๆ จึงจะพอเดาได้ว่า ‘ทำไม’ พวกเขาจึงลงมือกระทำ ซึ่งหนังก็ไม่ได้สื่อสารเพื่อขอความเห็นใจ แต่เพื่อให้ทำความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้
หลังจากที่หนินผ่านเหตุการณ์สูญเสียวันแล้ววันเล่า อย่างน้อยเขาก็มีแมวเป็นตัวแทนของลูกสาว ซึ่งตัวละครแบบหนินมันซื้อเราก็ตรงที่เขาไม่เคยกล่าวโทษลูกชายแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับให้ชีวิตได้ดำเนินไปอย่างสามัญ แม้จะต้องทนทุกข์กับความทรงจำทั้งกับภรรยาและลูกสาวมากก็ตาม บางครั้งเขาถึงขั้นลืมตัวว่ามีพวกเขาอยู่ด้วย บางทีก็เผลอเรียกชื่อลูกสาว บางช่วงก็นึกถึงวันดีๆ ที่มีด้วยกันกับภรรยาซึ่งดูทรมานจิตใจถึงขั้นทำให้เขาเสียหลัก แต่เขาก็ต้องตกอยู่ในภาวะยอมจำนนว่าไม่อาจทำอะไรกับความเสียใจได้อยู่ดี
แต่ราวสิบปีให้หลัง ของขวัญล้ำค่าก็ส่งมอบให้เขาได้ทันท่วงที เขาได้ลูกชายกลับคืนมา ภาพความทรงจำเริ่มจางหาย มีเพียงเขาและลูกชายบนโต๊ะกินข้าวที่ฉลองมื้อแรกอย่างเงียบๆ เพื่อร้อยเรียงความทรงจำบทใหม่ด้วยกันอีกคราว

Movies
หลานม่ากวาด 9 รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติในงานสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 33
ปี 2567 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของวงการภาพยนตร์ไทย หนังไทยหลายเรื่องสร้างกระแสพูดถึงทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะ หลานม่า (How to Make Millions Before Grandma Dies) จากค่าย GDH ที่ทำรายได้ทั่วโลกทะลุกว่า 2,000 ล้านบาท แถมยังไปไกลถึงขั้นเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายเวทีออสการ์ สร้างความภูมิใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 งานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 33 โดยมีการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรมและสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ซึ่งรางวัลนี้ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดของคนทำหนังไทยทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
Photograph: GDH 559
ผลประกาศก็ออกมาตามที่หลายคนคาด เพราะหลานม่า กวาดไปถึง 9 รางวัลใหญ่ ได้แก่
1. รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture)
โดย บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด
2. รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director)
โดย พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์
3. รางวัลภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม (Best Cultural Promotion Film)
4. รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
โดย บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล
5. รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
โดย แต๋ว – อุษา เสมคำ
6. รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Screenplay)
โดย ทศพล ทิพย์ทินกร และ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์
7. รางวัลบันทึกเสียงและผสมเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound)
โดย รัตม์ ประเสริฐลาภ และ บริษัท กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ จำกัด
8. รางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (Best Original Score)
โดย ใจเทพ ร่าเริงใจ
9. รางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม (Best Film Editing)
โดย ธรรมรัตน์ สุเมธศุภโชค
ไม่เพียงแค่ หลานม่า เท่านั้นที่โดดเด่น หนังจาก GDH อีกเรื่องอย่าง วิมานหนาม ผลงานกำกับของนฤเบศ กูโน ก็ไม่แพ้กัน คว้ารางวัลไปถึง 5 สาขา ได้แก่ รางวัลออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม โดย ชญานุช เสวกวัฒนา, รางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม โดย สองศักดิ์ กมุติรา, รางวัลเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ‘เหมือนวิวาห์’ โดยเจฟ ซาเตอร์, รางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม โดย ธรรมรัตน์ สุเมธศุภโชค และรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม โดยตะวันวาด วนวิทย์
งานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งนี้จึงตอกย้ำว่า หนังไทยยังคงเดินหน้าสร้างผลงานคุณภาพที่ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกจับตามอง และน่าจะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยก้าวต่อไปอย่างมั่นใจในอนาคต

Travel
ได้รับการสนับสนุน
COMO Metropolitan Singapore โรงแรมใจกลางสิงคโปร์ที่อยากให้ผู้เข้าพักมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ใกล้ช่วงไฮซีซั่นเข้าไปทุกที สายเที่ยวคงปักหมุดที่พักตามไลฟ์สไตล์กันให้วุ่น ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาช่วงเวลาของการพักผ่อนเพื่อบาลานซ์ความสมดุลทั้งกายใจ โรงแรม COMO Metropolitan Singapore อาจเป็นอีกหนึ่งที่พักที่กำลังมองหา
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
COMO Metropolitan Singapore คือโรงแรมที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกของแบรนด์ซิกเนเจอร์อย่าง COMO Group ในสิงคโปร์ ภายใต้ความสะดวกสบายและหรูหราซึ่งครอบคลุมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
การผสมผสานของ COMO Metropolitan Singapore ทุกพื้นที่เด่นด้วยความโมเดิร์น ทั้งโทนสีอ่อนและการใส่ใจรายละเอียดทุกจุด เช่น COMO Hotels and Resorts ช้อปปิ้งแฟชั่นมัลติแบรนด์ Club 21 พื้นที่การดูแลสุขภาพเชิงเวลเนส COMO Shambhala ร้านอาหารนานาชาติร่วมสมัย COMO Cuisine ที่มี COTE Korean Steakhouse และขนมหวานโดยเชฟระดับโลกอย่างเซดริก กรอเลต์ (Cédric Grolet) ถูกรวมไว้ใน COMO Orchard ได้ลงตัว
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
จุดเด่นคือภายใน COMO Orchard ถูกออกแบบโดยกลุ่มสถาปนิกซึ่งเป็นพันธมิตรของ COMO อย่าง Atelier Ikebuchi และ OTTO Studio จากมิลาน ภายใต้การดูแลของสถาปนิกและนักออกแบบชาวอิตาลี เปาโล นาโวเน (Paola Navone) พร้อมศิลปินด้านดิจิทัลชาวนอร์เวย์ โธมัส ฮิลแลนด์ และสถาปนิกชาวนิวยอร์กอย่าง Modellus Novus ที่เชื่อได้เลยว่าเป็นสายตาของนักออกแบบดีไซน์ที่ทันสมัยและหรูหราในคราวเดียว
COMO Politan Singapore เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง
อย่างไรก็ดี สิงคโปร์คือประเทศแถวหน้าของเทรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะแฟชั่น อาหาร แนวทางการดูแลสุขภาพเชิงเวลเนส ฯลฯ หากใครเลือกจองตั๋วมาเที่ยวที่สิงคโปร์อยากแนะนำให้มาช่วงต้นปีเพื่อจะได้เก็บกิจกรรมได้ครบสูตร
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
โดยที่พัก COMO Metropolitan Singapore ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้ครอบคลุม เพราะรายรอบด้วยร้านอาหารชั้นนำหลายแห่งในสิงคโปร์ หรือแหล่งช้อปปิ้ง ที่เที่ยว บาร์ แกลเลอรี ไปจนถึงมิวเซียมที่เดินทางสะดวกสบาย และอยู่ไม่ไกลจากที่พัก
อย่างเรื่องอาหาร สายกินที่ตื่นเช้าอยากแนะนำร้านกาแฟไหหลำดั้งเดิมของสิงคโปร์ ก่อตั้งเมื่อปี 1919 ชื่อว่า Killiney Kopitiam ร้านยอดนิยมของคนท้องถิ่น โดยเฉพาะขนมปังปิ้งราดกะทิและไข่ลวกเหยาะซีอิ๊ว ส่วนมื้อกลางวันจะเลือกออกไปปิกนิกด้วยอาหารที่จัดเตรียมโดยเชฟ COMO Metropolitan Singapore หรือจะแวะไปที่ Pangium ร้านอาหารชาวจีนที่เสิร์ฟสไตล์ Straits พร้อมวิวสวนสวยกว้างๆ หรือจะแวะไปที่ Satay by the Bay ฟู้ดคอร์ตกลางแจ้งพร้อมวิวริมน้ำ ลิ้มรสอาหารสตรีตฟู้ดชื่อดังของสิงคโปร์ เช่น ปีกไก่บาร์บีคิว หรือปูผัดพริกก็ได้
Photograph: Honeycombers
สายกินยังเพลินต่อได้กับร้านอาหารสไตล์เพอรานากันอย่าง Candlenut ร้านแรกของโลกที่ได้รับดาวมิชลิน ตกเย็นย่ำค่ำลองไปเดินเล่นที่ Emerald Hill จิบค็อกเทลคุณภาพที่ No. 5 Emerald Hill หรือบาร์สเปนพร้อมกับทาปาสและไวน์ที่ Que Pasa ส่วนใครสายเบียร์ไปผ่อนคลายในบาร์ Ice-Cold Beer ด้วยบรรยากาศของอาคารสไตล์เพอรานากันทางประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ในช่วงศตวรรษที่ 19
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
หรือใครอยากหลบความวุ่นวายให้ไปที่ Dempsey Hill บริเวณเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยบาร์ ร้านอาหาร และบูติกสุดหรู ซึ่งอยู่ติดกับ Singapore Botanic Gardens จุดเช็กอินนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดที่เหมาะกับการเดินเล่นในช่วงบ่ายเรียกว่า COMO Dempsey ด้วยแหล่งช้อปปิ้งทางเลือกที่ดีที่สุดของสิงคโปร์ เช่น Dover Street Market Singapore และ Kids 21
หรืออยากเปลี่ยนแผนไปเดินเที่ยวเล่นกับการเดินสำรวจเมืองได้ที่ Singapore Botanic Gardens มรดกโลกแห่งแรกของสิงคโปร์จาก UNESCO ไม่ว่าจะชมสวนกล้วยไม้แห่งชาติ (National Orchid Garden) หรือต้น Tembusu ซึ่งปรากฏอยู่บนธนบัตร 5 ดอลลาร์ในสิงคโปร์
Photograph: Hotels.com
ส่วนสายอาร์ตชวนแวะที่พิพิธภัณฑ์เพอนารากัน (Peranakan Museum) และพิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย (Asian Civilisation Museum) ชมเสร็จก็เดินต่ออีก 5 นาทีถึงหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) ชมงานศิลปะสมัยใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมผลงานศิลปินน่าสนใจอย่าง ชอง ซู เปียง (Cheong Soo Pieng) แอนโทนี่ ปุน (Anthony Poon) และโมฮัมหมัด ดิน โมฮัมหมัด ( Mohammad Din Mohammad)
หลังจากใช้เวลากับกิจกรรมที่ชอบจนฉ่ำใจ ใครที่เหนื่อยจากการเดินชิลทั้งวัน ก็ค่อยเรียกแท็กซี่กลับไปพักผ่อนให้เต็มอิ่มได้ที่ COMO Metropolitan Singapore ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ปิดวันด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพที่ COMO Metropolitan Singapore
นอกเหนือจากนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นที่พัก COMO Metropolitan Singapore แน่นอนว่าต้องให้ความสำคัญกับผู้เข้าพักด้วยการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัด Sleep Dreams Wellness Retreat ซึ่ง COMO Metropolitan Singapore ได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับชั้นนำอย่าง ดร. จูเลียน ลิม นักจิตวิทยาด้านการนอนหลับชั้นนำของโลกด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี และเป็นหัวหน้าแห่ง SOMNUS Sleep Wellness ที่สิงคโปร์
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
ที่นี่ผู้เข้าพักได้มีส่วนร่วมในการตรวจสุขภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นชุดตอบแบบสอบถามดิจิทัลที่ใช้เวลาเพียง 20 นาที เพื่อประเมินสุขภาพการนอนหลับและระบุความเสี่ยงต่อปัญหาการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจรวมถึงการปรับพฤติกรรมเล็กน้อย ด้วยการจำกัดการใช้หน้าจอก่อนนอน รวมถึงการปฏิบัติแบบองค์รวม อย่างการทำสมาธิที่ได้แรงบันดาลใจจาก CBT และ MBT เพื่อช่วยปรับรูปแบบการนอนหลับได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ชุดแบบสอบถามนี้ยิ่งมีประสิทธิภาพกับผู้ที่มีอาการเจ็ตแล็กจากการเดินทาง หรือ ‘First Night Effect’ (การนอนหลับในที่ที่ไม่คุ้นเคยเมื่ออยู่ในสถานที่ใหม่)
Photograph: COMO Metropolitan Singapore
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ COMO Metropolitan Singapore ได้เนรมิตวันพักผ่อนที่เหนือกว่าโรงแรมทั่วไป เพื่อชาร์จเอเนอร์จี้พร้อมเติมพลังบวกที่ดีกว่าเดิม
ดูข้อมูลโรงแรม COMO Metropolitan Singapore เพิ่มเติมได้ที่ https://www.comohotels.com/singapore

Movies
เมื่อความกลัวมาถึงบทอวสาน รีวิว The Conjuring: Last Rites ปิดตำนานจักรวาลคนเรียกผี
The Conjuring: Last Rites ถือเป็นการปิดตำนานจักรวาล The Conjuring Universe ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ในฐานะหนังปิดไตรภาคหลักที่แฟนหนังสยองขวัญเฝ้ารอ แน่นอนว่าช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จักรวาลนี้คือหนึ่งในแฟรนไชส์หนังผีที่ประสบความสำเร็จที่สุด ทำให้เกิดการขยายเรื่องราวออกไปหลากหลาย ทั้ง Annabelle ตุ๊กตาผีสิงสุดหลอน หรือผีแม่ชีอย่าง The Nun ที่ทำรายได้ทะลุ 200 ล้านเหรียญทั่วโลก และทำให้จักรวาลนี้ยิ่งแข็งแรงมากขึ้น
ต้องบอกเลยว่าใน The Conjuring: Last Rites ภาคนี้เรียกว่าเป็นการปิดฉากจักรวาลคนเรียกผีได้อย่างงดงามมากๆ ตัวหนังผสมผสานทั้งความสยองขวัญและความอบอุ่นได้อย่างลงตัว จุดเด่นสำคัญเลยอยู่ที่การเลือกใช้ ประเด็น ‘ความสัมพันธ์ในครอบครัว’ มาเป็นหัวใจหลัก แฟนๆ ที่ติดตามเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน มาตลอด จะสัมผัสได้ถึงพลังทางอารมณ์ที่หนังถ่ายทอดออกมาได้อย่างหนักแน่น และในด้านความสยองขวัญ หนังก็ยังใส่มาแบบจัดเต็ม ทั้งจังหวะจัมพ์สแกร์ที่ใส่มาแบบพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยจนขาดรสชาติ เรียกได้ว่าลงตัวทั้งความหลอนและการเล่าเรื่องที่ทำให้เราลุ้นเอาใจช่วยตัวละครไปจนถึงฉากสุดท้าย
Photograph: IMDb
เรื่องราวของภาคนี้ เล่าถึง ‘ครอบครัวสเมิร์ล’ ในเพนซิลเวเนียที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเอ็ดและลอร์เรน ที่แม้ทั้งคู่จะพยายามวางมือจากงานปราบผี และหันไปใช้ชีวิตสงบสุขด้วยการบรรยายและให้ความรู้ในคลาสเรียน ที่ดูท่าแล้วก็อาจจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ จนท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ต้องกลับมาเผชิญกับปีศาจร้ายที่ผูกพันกับอดีตของพวกเขาเอง โดยการเล่าเรื่องของภาคนี้จะตัดสลับออกเป็น 2 เส้นเรื่องทั้งครอบครัวสเมิร์ล และครอบครัวอร์เรน
Photograph: IMDb
ในบทเปิดเรื่องคนดูจะได้เห็นการย้อนกลับไปในสมัยที่เอ็ดและลอร์เรน วอร์เรนยังเป็นหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการนักปราบผีใหม่ๆ จนมาพบกับคดี ‘กระจกผีสิง’ ที่ทำพวกเขาเกือบสูญเสีย ‘จูดี้’ ลูกสาวในครรภ์ไป หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทั้งคู่ได้พ่ายแพ้ให้กับวิญญาณร้าย และยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณตนนี้ก็ยังคงตามติดชีวิตและครอบครัววอร์เรนมาตลอดหลายปี ในขณะเดียวกันก็ควบคู่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวสเมิร์ล โดยผู้ชมจะได้เห็นสองเส้นเรื่องนี้ค่อยๆ คลี่คลายและมาบรรจบกันในบทสรุปที่เข้มข้น
Photograph: IMDb
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ผู้เขียนคิดว่าแฟนหนังเดอะคอนเจอริ่งจะต้องประทับใจแน่นอน คือการปูบทบาทของ ‘จูดี้’ ลูกสาวของเอ็ดและลอร์เรน ที่ครั้งนี้ก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญ โดยเราได้เห็นเธอเติบโตขึ้นมาจากภาคแรกๆ จนถึงตอนนี้ที่เธอกำลังจะแต่งงานสร้างครอบครัว ขณะเดียวกันหนังก็เผยให้เห็นว่า จูดี้มีพลังพิเศษบางอย่างที่ถ่ายทอดมาจากแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในครั้งนี้ และยังเป็นการเปิดความเป็นไปได้ที่เธออาจเป็นผู้สืบทอดเรื่องราวของแฟรนไชส์ในภาคต่อๆ ไป
Photograph: IMDb
แม้หนังจะเต็มไปด้วยความหลอนสมการรอคอย แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้น่าจดจำยิ่งกว่าผีคือการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัววอร์เรนได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งความรัก ความสูญเสีย การกล้าที่จะเผชิญหน้าและก้าวข้ามความกลัวไปพร้อมกัน การดำเนินเรื่องในภาคนี้ถูกเล่าออกมาอย่างเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เล่าแบบค่อยเป็นค่อยไปและไม่มีจังหวะให้เราเบือนหน้าหนีเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทุกฉากทุกซีนที่ถูกใส่เข้ามามันชวนให้ลุ้นและติดตามไปตลอดทางว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร
Photograph: IMDb
ที่ต้องพูดถึงแบบขาดไม่ได้เลยคือการแสดงของ ‘วีรา ฟาร์มิกา’ และ ‘แพทริค วิลสัน’ ในบทบาทคู่รักนักปราบผีที่เป็นหัวใจหลักของจักรวาลนี้ ทั้งคู่ยังคงถ่ายทอดเคมีอันทรงพลังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ชมเชื่อได้จริงๆ ว่าพวกเขาผ่านเหตุการณ์หลอนและบททดสอบต่างๆ มาด้วยกันตลอดเส้นทางที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือการตีความตัวละครของทั้งคู่ไม่ได้เป็นเพียง ‘นักล่าผี’ แต่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีความกลัว ความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังเลือกอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นแม้ต้องแลกกับการสูญเสียบางอย่างก็ตาม จึงไม่เกินเลยที่จะบอกว่า ฟาร์มิกาและวิลสันคือเสาหลักสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ The Conjuring แข็งแรงมาตลอดสิบกว่าปี และเป็นสิ่งที่จักรวาลนี้จะขาดไปไม่ได้เลย
Photograph: IMDb
นอกจากนี้ในหนังยังมีการหยิบเอารายละเอียดและองค์ประกอบจากภาคก่อนๆ กลับมาเชื่อมโยงให้แฟนๆ ได้อมยิ้มกันอีกด้วย หากใครที่ได้ทำการบ้านหรือย้อนกลับไปเก็บงานในภาคก่อนๆ จะต้องมีจังหวะที่ถูกใจไปตามๆ กันเพราะหนังได้ใส่อีสเตอร์เอกเอาไว้แบบแน่นๆ รวมถึงคามิโอเซอร์ไพรส์ในช่วงท้ายที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่เป็นการโบกมือลาจักรวาลคนเรียกผีที่สมบูรณ์แบบเอามากๆ
แต่ในขณะเดียวกัน หนังเองก็มีจุดด้อยที่ไม่อาจมองข้ามได้ เริ่มจากการดำเนินเรื่องช่วงต้นที่ค่อนข้างช้า ใช้เวลาไปกับการปูพื้นอดีตและเล่าเหตุการณ์ที่เป็นต้นกำเนิดมากพอสมควร ซึ่งอาจทำให้คนดูบางส่วนรู้สึกยืดเยื้อเกินไป ก่อนที่เรื่องราวจะเร่งเครื่องเข้าสู่ความเข้มข้นในองก์สุดท้าย และเมื่อถึงตอนจบ หนังก็เหมือนจะรีบปิดฉากเกินไปหน่อย บทสรุปถูกขมวดปมจบอย่างรวดเร็ว บทจะปราบผีก็เร่งจบแบบดื้อๆ รวมถึงการปรากฏตัวของผีทั้ง 4 ตัวยังไม่ได้รับการอธิบายที่ชัดเจนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทำให้ทิ้งความค้างคาไว้กับผู้ชม
Photograph: IMDb
ถึงอย่างนั้นก็ตาม The Conjuring: Last Rites ยังคงเป็นการปิดฉากจักรวาลคนเรียกผีที่ทั้งอบอุ่นและสวยงาม แม้จะไม่อาจเทียบเท่าความหลอนของภาคที่หนึ่งและภาคที่สองได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการปิดจบได้อย่างสมบูรณ์และน่าพอใจ โดยเฉพาะกับแฟนๆ ที่ติดตามมากว่า 12 ปี และถึงแม้จะเป็นการปิดตำนาน แต่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุด เพราะทีมผู้สร้างได้ประกาศแล้วว่าจะมีการสานต่อความสยองในรูปแบบซีรีส์ทาง HBO Max โดยได้ แนนซี่ หวู่ (Supernatural) มาเป็นโชว์รันเนอร์ พร้อมด้วย ปีเตอร์ คาร์เมรอน และ แคเมอรอน สไควรส์ จาก WandaVision มารับหน้าที่เขียนบท นั่นหมายความว่าจักรวาลคนเรียกผียังไม่จบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน
รับชม The Conjuring: Last Rites ได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

Sports and fitness
ชวนลองกีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดมันส์กับยิมปีนผาจำลองในกรุงเทพฯ มือใหม่มือเก๋าก็ลองได้หมด
กระแสปีนผาในกรุงเทพฯ กำลังร้อนฉ่า กีฬาสุดเอ็กซ์ตรีมนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับสายปีนผาจริงจังอีกต่อไป ซึ่งตอนนี้มีทั้งยิมปีนผาแบบ Bouldering (คือการปีนผาเตี้ยๆ โดยไม่ใช้เชือก) และยิมปีนผาเปิดอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ใครที่อยากลองความท้าทาย ทั้งได้โฟกัสสมาธิ และได้เจอเพื่อนใหม่ๆ บอกเลยว่ากีฬานี้ได้ฟีลมันส์กว่าคลาสออกกำลังกายทั่วไปตั้งเยอะ
ไม่ว่าจะมือใหม่หัดปีน หรือใครอยากหาไอเดียไว้ออกเดตเก๋ๆ หรือเป็นนักปีนสายแข็งอยู่แล้ว ก็มั่นใจหายห่วง เพราะปักหมุดแหล่งปีนผาไว้ที่กรุงเทพฯ ให้แล้ว

Movies
รีวิว Twinless หนังดราม่าคอมเมดี้ที่ทำให้คุณต้องร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมกัน
เจมส์ สวีนีย์ กลับมาอีกครั้งหลังจาก Straight Up หนังอินดี้สุดเฉียบที่ทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ที่พูดตรงและแทงใจดำ คราวนี้เขาไม่เพียงแต่นั่งแท่นผู้กำกับ แต่ยังลงมาร่วมแสดงเองในผลงานล่าสุดอย่าง Twinless รักฉันรักแฝดฉันด้วย ที่เพิ่งเปิดตัวใน เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ปี 2025 และสร้างแรงกระเพื่อมไม่น้อย เพราะคว้าไปถึงสองรางวัลใหญ่ รางวัลพิเศษด้านการแสดง ที่มอบให้ ดีแลน โอไบรอัน และ รางวัลขวัญใจผู้ชม ในสายหนังอเมริกัน แค่ชื่อ ดีแลน โอไบรอัน ก็พอจะการันตีได้แล้วว่า นี่ไม่ใช่แค่หนังอินดี้เล็กๆ สำหรับคนวงในอีกต่อไป แต่เป็นผลงานที่กล้าตั้งคำถามเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์ และความเปราะบางของมนุษย์ ด้วยโทนเรื่องที่ทั้งขมขื่นและขบขันในเวลาเดียวกัน
ใครที่ดูแค่เทรลเลอร์ อาจเผลอคิดว่านี่คือหนัง Coming-of-age ชายรักชายแบบน่ารักๆ ที่มีกลิ่นอายสืบสวนเล็กๆ จากการตายของฝาแฝด แต่จริงๆ แล้ว สวีนีย์ เลือกเล่าในโทน คอมเมดี้ดราม่า ที่ทั้งจิกกัด เจ็บแสบ และชวนให้หัวเราะไม่ออก เพราะสิ่งที่หนังพูดถึงไม่ใช่แค่การเดตหรือ Coming out แต่คือการสูญเสีย ความเหงา และคำถามที่ว่า ความสัมพันธ์แบบไหน จะมาแทนสายใยของฝาแฝดได้
เรื่องราวเริ่มต้นจาก โรมัน หนุ่มที่เพิ่งเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต เขาตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับคนที่เคยเสียฝาแฝด เพื่อหาที่พึ่งทางใจและระบายความรู้สึก ที่นั่นเขาได้พบกับ เดนนิส ชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในชีวิตของโรมัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างซับซ้อน ทั้งอบอุ่นและเปราะบาง ตัวหนังมีการหักมุมที่ทำให้ผู้ชมอึ้งกันตามๆ ไป แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างเต็มอิ่ม
**ต่อจากนี้จะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์**
แฝดสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
Photograph: House Samyan
หัวใจของเรื่องคือ โรมัน และ ร็อคกี้ (ดีแลน โอไบรอัน) ฝาแฝดชายที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่กลับเติมเต็มกันอย่างลงตัว ร็อคกี้ (พี่ชาย) เป็นเกย์ที่มั่นใจ ประสบความสำเร็จ เป็นคนเก่งที่ใครๆ ก็รัก ส่วนโรมัน (น้องชาย) เป็นตัวแทนของชายแท้ที่ไม่ฉลาด (Dump Straight) เขามักจะตั้งคำถามเรื่องง่ายๆ ที่หลายคนรู้ เขามีความเป็นผู้นำน้อยกว่า เข้าสังคมไม่เก่ง ไม่เป็นที่รักของผู้คน มีความแข็งแรงทางกายภาพแต่เปราะบางด้านอารมณ์ และไม่ถนัดในการสื่อสาร ในประโยค ‘I’m not the sharpest tool in the box’ ที่โรมันพูดคือการตอกย้ำความไม่มั่นใจนั้นอย่างเจ็บปวด การแสดงของ ดีแลน โอไบรอัน นั้นถือว่าสมกับรางวัลที่ได้ เพราะเขาสามารถถ่ายทอดตัวละครที่มีความเป็นผู้หญิงและความเป็นชายออกมาได้อย่างแยบยล จนทำให้เราแทบไม่เชื่อเลยว่าเป็นคนเดียวกันที่แสดงทั้งสองบท
การสูญเสียร็อคกี้จึงไม่ใช่แค่การเสียพี่ชาย แต่คือการเสีย ‘อีกครึ่งหนึ่ง’ ที่ทำให้โรมันต้องเหลืออยู่ลำพังจาก เรา กลายเป็นแค่ ฉัน และนี่คือความโหดร้ายของสายใยของฝาแฝด (Twin bond) ที่หนังถ่ายทอดออกมา
อีกตัวละครที่ขโมยซีนคือ เดนนิส (เจมส์ สวีนีย์) หนุ่มฉลาด ขี้เล่น มีอารมณ์ขัน แต่ในอีกแง่ก็มีความ Clingy จนน่าหมั่นไส้และน่าหลงใหลไปพร้อมกัน ต่อมาตัวหนังก็ได้เฉลยว่า เขาเคยมีความสัมพันธ์กับร็อคกี้มาก่อนและเป็นคนที่ทำให้ร็อคกี้ต้องเสียชีวิต ความลับที่กลายเป็นแผลลึก และอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงติดพันกับโรมันอย่างเหนียวแน่น และการที่ผู้กำกับลงมาแสดงเองในบทบาทนี้ช่วยให้ผู้ชมเข้าถึงบุคลิกของตัวละครได้ง่ายขึ้น และทำให้เรื่องราวดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ตัวละครที่เข้ามาเป็นสีสันในเรื่องคือ มาร์ซี (ไอชลิง ฟรานคอยซี) เธอนำเสนอภาพสาวพลังบวก ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่อย่าหลงภาพลักษณ์ สาวสวยใสไร้สมอง ของเธอ เพราะจริงๆ แล้วเธอทำให้เราเห็นว่าภายใต้เสียงหัวเราะที่ดูใสซื่อ กลับซ่อนความฉลาดทางอารมณ์ที่เป็นกาวสำคัญของเรื่อง และเป็นคนที่ทำให้ทั้งโรมันและเดนนิสได้เห็นจุดบอดของตัวเอง มาร์ซีจึงเป็นตัวละครที่เข้ามาเติมเติมเสียงหัวเราะในช่วงที่หนังตึงเครียดได้อย่างผ่อนคลาย แต่ก็พร้อมจะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในเวลาเดียวกัน หนังใช้เธอเพื่อบอกเราว่า ‘แม้คนที่ถูกมองข้ามที่สุด ก็อาจมีคำตอบที่ฉลาดที่สุด’
Split Screen ห้องโรงแรม ภาพที่เล่าแทนใจ
Photograph: House Samyan
แม้หนังไม่ได้โชว์วิชวลใหญ่โต แต่การเลือกใช้สีและมุมกล้องก็ทรงพลังพอจะทำให้บรรยากาศโดดเดี่ยวชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการใช้โทนสีเย็นหม่นที่ห่อหุ้มความเศร้าไว้ตลอดทั้งเรื่อง อีกหนึ่งลูกเล่นที่เด่นมากคือ Split screen ในฉากวันเกิด ที่ตัดสลับเป็นสองจอ และนำเสนอเรื่องราวของทั้งสองคน โรมันชายแท้ที่พยายามจีบสาว กับเดนนิสเกย์หนุ่มที่ไขว่คว้าความรักจากผู้ชายที่ปรารถนา ภาพนี้จึงสะท้อนทั้งเพศวิถี ความสัมพันธ์ และแรงกดดันทางสังคมได้ชัดเจนและบรรจบกันอย่างลงตัว
ฉากโรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ เพราะมันเป็นทั้งที่หลบภัยและที่เปิดเผยความจริง โรมันระบายความเศร้า ขณะที่เดนนิสสารภาพเรื่องที่ปิดบังมาตลอด ทำให้ห้องนี้กลายเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อและความเปราะบางของทั้งคู่
โลกอินดี้ในกรอบวัฒนธรรมป๊อป และความจริงในสังคมเกย์
Photograph: House Samyan
Twinless ใช้สัญญะและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมร่วมสมัยสะท้อนสังคมของคนรุ่นใหม่และชุมชนเกย์อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น การใช้เกม The Sims เกมจำลองชีวิตที่โด่งดังในยุคมิลเลนเนียลและเจนซี โรมันใช้เกมนี้เป็นเครื่องมือหลีกหนีโลกความจริง สร้างตัวละครที่เป็นผู้ตามและให้พี่ชายเป็นผู้ดูแลหาเงิน แม้ในชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยปัญหา เกมก็สะท้อนปัญหาเหล่านั้นอย่างชัดเจน
หรือแม้กระทั่ง Gaybait การส่งสัญญาณกำกวมของชายแท้จนชาวเกย์ตีความไปไกล เช่น ฉากที่ โรมันเผลอบอกว่าเคยจูบผู้ชายมาก่อน ทำให้เดนนิสคิดไปไกลเกินจริง นอกจากนี้ยังมีการแสดงออกถึง รสนิยมทางเพศ (Fetish) ของ เดนนิส เช่น การคลั่งใคล้เท้า (foot fetish) หรือการที่เขามีอารณ์ต่อฝาแฝด (Twincest) ซึ่งสะท้อนความแตกต่างที่สังคมทั่วไปอาจไม่ยอมรับ
ประโยคที่กลายเป็นไอคอนิกอย่าง ‘I thought Gen Z is supposed to be nice’ ได้เสียดสีภาพจำที่ว่าคนรุ่น Gen Z เปิดกว้างและยอมรับความต่าง แต่ความจริงแล้วอคติและการเหยียดยังคงอยู่ในทุกเจเนอเรชัน ตัวหนังได้ใช้สัญลักษณ์เหล่านี้ถักทอระหว่างความสนุก ความเจ็บปวด และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม
ปมจากครอบครัว
Photograph: House Samyan
อีกหนึ่งเลเยอร์สำคัญคือความสัมพันธ์กับแม่ ที่มักเข้าข้างร็อคกี้มากกว่า ทำให้โรมันรู้สึกด้อยค่าและโหยหาการยอมรับ การพบเดนนิสจึงเป็นเหมือน ‘จิ๊กซอว์ชิ้นใหม่’ ที่จะมาแทนร็อคกี้ แต่ก็เป็นการแทนที่ที่ไม่เฮลตี้ดีนัก เพราะมันเกิดจากบาดแผลและการยึดติดมากกว่าความรักที่แท้จริง
ตลอดทั้งเรื่อง โรมันกับเดนนิสเหมือนคนละขั้ว พูดไม่ตรงกัน คิดไม่เหมือนกัน แต่ในตอนท้ายกลับเกิดโมเมนต์ที่ทั้งคู่เผลอหลุดประโยคเดียวกันออกมาพร้อมกันอย่างน่าประหลาดใจ มันทั้งทำให้ขนลุก และชวนตั้งคำถามว่า ที่จริงแล้วพวกเขา เข้ากันแล้วจริงๆ หรือเป็นเพียงจังหวะบังเอิญที่ตรงกันพอดี? นี่แหละคือเสน่ห์ของ Twinless หนังที่ไม่เร่งเร้าหรือยัดเยียดคำตอบ แต่เลือกเปิดพื้นที่ให้ความกำกวม ความเหงา และความไม่แน่นอน สิ่งที่หลายคนอาจคุ้นเคยดีในชีวิตจริงที่เล่าผ่านทุกองค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้
Twinless รักฉันรักแฝดฉันด้วย เข้าฉายแล้ววันนี้ ที่ House Samyan เท่านั้น

Things to do
เปลี่ยนโฉมสะพานเขียวเชื่อมสวนเบญฯและสวนลุมฯ ต้อนรับปอดแห่งใหม่ใจกลางเมือง
แม้สวนลุมพินีที่เราๆ คุ้นเคยจะเพิ่งฉลองครบรอบ 100 ปีไปหมาดๆ แต่ปีนี้มีเรื่องเซอร์ไพรส์กว่าคือจะมีการยกเครื่องทางเข้าสวนลุม หลังจากพื้นที่ทางฝั่งถนนวิทยุ (สารสิน) พื้นที่เดิมของออฟฟิศและสมาคมแบดมินตันซึ่งใช้งานมานานกว่า 40 ปี กำลังจะถูกเปลี่ยนโฉมเป็นประตูบานใหม่ที่มีทางเดินเชื่อมสะพานเขียวไปจนถึงสวนเบญจกิติ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เชื่อมสวนใหญ่ทั้งสองของกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน
โดยการดีไซน์ที่ดูล้ำแถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีทางเดินยาวให้คนเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานได้สะดวกขึ้น ก่อนหน้านี้มีภาพจำลองที่ปล่อยออกมาซึ่งเห็นแล้วโมเดิร์นสุดๆ แทบอยากจะใส่รองเท้าออกไปวิ่งทันที แต่ยังคงต้องรอดูก่อนว่าสวนแห่งใหม่จะสวยสมกับที่เห็นในภาพขนาดไหน
Photograph: Bangkok Metropolitan Administration
สำหรับชาวกรุงเทพฯ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทั้งสวนเบญจกิติและสวนลุมพินีถือเป็นปอดใหญ่ของเมืองที่กำลังจะเชื่อมถึงกัน เหมือนกับเป็นการผนึกสองปอดเข้าด้วยกันเพื่อให้มีพื้นที่หายใจได้อย่างสดชื่นยิ่งขึ้น และยังมีพื้นที่ให้ได้พักผ่อน ทำกิจกรรม หรือไปนั่งเล่นหย่อนกายสบายใจ ซึ่งในอนาคตที่นี่ไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับวิ่งหรือเดินเล่นเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ กลางเมืองที่ใครก็อยากหลบหนีความวุ่นวาย (คราวต่อไปถ้าจะชวนเพื่อนให้ลองชวนใหม่ว่า “ไปเจอกันที่สวนฯ แล้วกันนะ”)
โครงการปรับปรุงสวนในครั้งนี้ได้มีการริเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ตอนนี้โครงการมีความคืบหน้าประมาณ 10%) ซึ่งมีเป้าหมายเสร็จสิ้นโครงการในเดือนพฤษภาคมปีหน้า เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว สวนแห่งใหม่นี้จะมีทางเดินที่กว้างขึ้น มีทางปั่นจักรยานได้ราบรื่น และยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวแสนร่มรื่นให้นั่งพักผ่อนได้อีกเพียบ
“นี่ไม่ใช่แค่การปรับปรุงสวนเพียงอย่างเดียว แต่คือการมอบพื้นที่สีเขียวที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับโลกให้แก่ชาวกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา” สานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวไว้อย่างตรงใจ
Photograph: Bangkok Metropolitan Administration
คงต้องรอดูว่า จากที่คนส่วนใหญ่มักจะนัดเจอกันตามห้างฯ ต่อไปอาจต้องเปลี่ยนแผนมาเจอกันที่สวนแห่งใหม่นี้ก็ได้ เพราะการเผยโฉมใหม่ของสวนลุมฯ เหมือนกับการคืนสิ่งล้ำค่าให้แก่ผู้คน ด้วยพื้นที่ที่ชวนให้ออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งท่ามกลางสวนที่เชื่อมถึงกัน เพื่อเติมพลังกายพลังใจจนอาจกลายเป็น ‘หัวใจท่ามกลางพื้นที่สีเขียว’ ของกรุงเทพฯ ไปเลยก็ได้
อัปเดตความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่ กรุงเทพมหานคร

Things to do
ออกไปจิบค็อกเทลสุดคลาสสิกได้ที่งาน Negroni Week 22–28 กันยายนนี้
วนกลับมาอีกครั้งกับงาน Negroni Week 2025 พร้อมบาร์ทั่วไทยอีกกว่า 239 แห่ง คราวนี้บาร์แต่ละแห่งต่างหยิบสูตรค็อกเทลคลาสสิกที่มีจิน แคมปารี และเวอร์มุธ ซึ่งบางร้านครีเอตการเสิร์ฟแบบรมควัน บางร้านก็เสิร์ฟแบบใสแจ๋วราวกับคริสตัล บางร้านครีเอตโดยการเพิ่มโซดาเป็นส่วนผสม หรือบางร้านเสิร์ฟแบบเรียบง่ายบนก้อนน้ำแข็ง เหมือนอย่างที่เคานต์คามิลโล เนโกรนี ชอบดื่มสมัยเขาอยู่ที่ฟลอเรนซ์
งาน Negroni Week เริ่มจัดขึ้นในปี 2013 โดยความร่วมมือกับองค์กรการกุศล นั่นแปลว่าค็อกเทลทุกแก้วที่ดื่มก็เท่ากับการได้ร่วมสนับสนุนสิ่งดีๆ พร้อมกันไปด้วย โดยปีนี้ทาง Negroni Week จะมอบรายได้ให้แก่ Slow Food องค์กรที่ทำงานด้านความยั่งยืนซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมอาหารของท้องถิ่น ฉะนั้นยืนยันได้เลยว่า งานนี้จึงไม่ได้มีดีแค่ถ่ายรูปแก้วสวยๆ เอาไว้อวดบนโซเชียลแน่นอน
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ ‘เนโกรนี’ น่าสนใจก็คือ รสชาติที่ไม่เคยจืดชืดและไม่มีอะไรมากลบเกลื่อน ทุกแก้วต่างเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ อย่าง Campari ที่มีความขมเฝื่อน หรือจินที่เพิ่มความ ‘เข้ม’ และ ‘คม’ เวอร์มุธที่ช่วยให้บาลานซ์อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นค็อกเทลที่มีความสมดุลเท่าๆ กัน
ซึ่งเครื่องดื่มแต่ละแก้วต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง อย่างมาร์ตินี่ก็จะออกแนวเท่หน่อย โมฮีโตมีลุคที่ดูแล้วสดใส ส่วนโอลด์แฟชั่นก็มักจะทำให้นึกถึงลุคเคร่งขรึมแบบคุณพ่อ แต่ถ้าเป็นเนโกรนีละก็ มันจะทั้งขม ทั้งสดใส มีลุคเพลย์บอยขี้เล่น แต่ก็ยังอยู่ในร่องในรอย เหมือนอย่างเพื่อนที่นัดกันแล้วชอบมาสาย แต่เมื่อมาถึงทีไรก็จะมีเรื่องเด็ดๆ มาเล่าให้ฟังทุกครั้ง ไม่แปลกใจเลยว่าทั้งหมดนี้ทำไมจึงต้องมีสัปดาห์เนโกรนีอันแสนพิเศษในตัวของมันเอง
เพราะฉะนั้น หากคุณนับไม่ได้ว่าเมื่อปีก่อนดื่มไปแล้วกี่แก้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก งั้นปีนี้ถือเป็นการเริ่มใหม่ไปเลยแล้วกัน อย่าลืมออกไปตามหาเนโกรนีแก้วโปรด แล้วเฉลิมฉลองให้กับความจริงที่ว่า แค่เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมง่ายๆ ก็ทำให้รู้สึกพิเศษขึ้นมาได้ทันที
งาน Negroni Week 2025 มีบาร์เข้าร่วมกว่า 239 แห่งทั่วประเทศ จัดวันที่ 22–28 กันยายนนี้ (ดูรายชื่อบาร์ทั้งหมดได้ที่ www.negroniweek.com/find)

Music
Bakery Music x Smallroom โปรเจกต์คอลแลปส์ครั้งสำคัญ ของวงการเพลงไทย
สาวกเพลงอินดี้และแฟนเพลงไทยมีเรื่องให้ตื่นเต้นกันอีกครั้ง เมื่อสองค่ายเพลงที่ถือเป็นตำนานในวงการอย่าง Bakery Music และ Smallroom เตรียมเปิดโปรเจกต์คอลแลปส์ครั้งสำคัญในชื่อ ‘THE BAKING ROOM Bakery Music in Smallroom Sound’ ที่จะนำ 9 บทเพลงในตำนานจาก Bakery Music มาถ่ายทอดใหม่ในสไตล์ของศิลปิน Smallroom รวมทั้งหมด 9 ศิลปิน
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา งาน BOYdPOD Our Songs Together Concert ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ พาทุกคนย้อนวันวานไปกับบทเพลงฮิตที่ถูกถ่ายทอดขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความคิดถึงที่ยังสดใหม่สำหรับแฟนเพลงทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก๋า เมื่อสองเพื่อนซี้จากยุคเบเกอรี่อย่าง บอย โกสิยพงษ์ และ ป๊อด ธนชัย ได้กลับมาขึ้นเวทีร่วมกันอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดบทเพลงที่เป็นเสมือนตัวแทนแห่งความทรงจำในช่วงเวลาสำคัญของแฟนเพลงชาวไทย
ค่าย Bakery Music ได้รับการจดจำในฐานะผู้บุกเบิกค่ายเพลงทางเลือกไทย ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์เพลงไทยในยุค 90s ก่อตั้งโดยบอย โกสิยพงษ์, สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์, สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และสาลินี ปันยารชุน แม้ปัจจุบันค่ายจะปิดตัวลงไปแล้ว แต่บทเพลงจากศิลปินในสังกัดยังคงถูกเปิดฟังและถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ด้าน Smallroom แม้จะเป็นค่ายรุ่นน้อง แต่ก็ถือเป็นห้องเล็กๆ ที่ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ผลงาน คุณภาพ เพราะตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา Smallroom ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคือค่ายที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปินอินดี้ได้เติบโตและเฉิดฉายในตลาดเพลงไทยมากมาย โดยศิลปินชื่อดังอย่าง Tattoo Colour, Polycat, Dept, The Richman Toy, Greasy Café, Slur, TOFU, Television off และ WAV. ล้วนแจ้งเกิดจากบ้านหลังนี้
โปรเจกต์นี้ถือเป็นโอกาสให้ผู้ฟังได้สัมผัสบทเพลงอมตะของ Bakery Music ผ่านมุมมองทางดนตรีที่สดใหม่จาก Smallroom ซึ่งเป็นค่ายที่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพและการผลักดันศิลปินอินดี้สู่สายตาคนฟังมาอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อเพลงและศิลปินที่จะเข้าร่วมโปรเจกต์ แต่เชื่อได้ว่านี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการเพลงไทยอย่างแน่นอน
การโฆษณา
เผื่อคุณจะพลาดสิ่งนี้ไป...

Travel
ได้รับการสนับสนุน
COMO Metropolitan Singapore โรงแรมใจกลางสิงคโปร์ที่อยากให้ผู้เข้าพักมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ใกล้ช่วงไฮซีซั่นเข้าไปทุกที สายเที่ยวคงปักหมุดที่พักตามไลฟ์สไตล์กันให้วุ่น ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาช่วงเวลาของการพักผ่อนเพื่อบาลานซ์ความสมดุลทั้งกายใจ โรงแรม COMO...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
ไม่ใช่แค่ Private Club แต่นี่คือคอมมูนิตี้ที่ความคิดสร้างสรรค์มาบรรจบกันอย่างไร้ขอบเขต
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่พร้อมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครีเอทีฟสุดคึกคักไปจนถึงคลับไพรเวทสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่นี่มีพื้นที่ให้กับทุกไลฟ์สไตล์ และ JAI...

Travel
ได้รับการสนับสนุน
สัมผัสประสบการณ์ที่เป็นได้มากกว่าโรงแรม ที่ COMO Metropolitan Singapore
ว่ากันว่า สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในหมุดหมายลำดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวไทยเลือกที่จะไปพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะด้วยการเดินทางที่ง่าย การท่องเที่ยวที่สะดวก...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
พาแม่เดินชมสวนดอกไม้กว่า 1 ล้านดอก ที่งาน ‘The Mall Lifestore Women Inspired’
วันแม่ปีนี้ ถ้าใครที่ยังไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปไหน เราขอชวนทุกคนพาคุณแม่ไปชมมหัศจรรย์สวนดอกไม้กลางห้าง กับ ‘The Mall Lifestore Women Inspired’...

LGBTQ+
ได้รับการสนับสนุน
ดื่มด่ำไปกับความหลากหลาย
งานไพรด์ในประเทศไทยมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ใหม่ในการเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567...
รีวิวร้านอาหารและคาเฟ่ในกรุงเทพฯ

Restaurants
Gordon Ramsay Bread Street Kitchen & Bar ICONSIAM
หลายปีหลังจากกระแสความนิยมของรายการทำอาหารที่พุ่งสูงขึ้น เชฟหลายคนได้กลายเป็นขวัญใจของคนรักอาหารทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ เชฟกอร์ดอน แรมซีย์...

Restaurants
Tapori
เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสตรีตฟู้ดที่พ่วงมากับรถเข็น หรือตลาดที่มีผู้คนชุกชุม...

Restaurants
โสมะ
ตั้งแต่ร้านอาหารไทยได้รับรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะมิชลินไกด์ Thailand’s Favourite Restaurant หรือ The Worlds 50 Best Restaurants...

Restaurants
Olivetto
สาวกพาสต้าทั้งหลายคงคุ้นชินกับเบคอนในคาโบนารา หรือแซลมอนย่างในซอสเพสโต้ ราวกับเป็นสูตรสำเร็จของเมนูเส้นยอดนิยมจากอิตาลี...

Restaurants
Bisou
Bisou แกสโตรไวน์บาร์สไตล์ฝรั่งเศสเปิดใหม่ล่าสุด ย่านหลังสวน เสิร์ฟจริตปาริเซียงสุดเท่และเซ็กซี่...
บทสัมภาษณ์ล่าสุด

Art
พบกับ Taylor Srirat เจ้าของช่องพอดแคสต์ ‘House of TayTay’
ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้...

Restaurants
พูดคุยกับ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์’ ผู้ผลักดันกฎหมายใหม่ว่าด้วยอนาคตสุราไทย
ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง...

Movies
มาร์ค วีนส์ กับชีวิตที่ดำเนินด้วย “อาหาร” จากยูทูปเบอร์สู่รายการ Food Affair ทาง HBO
ด้วยจำนวนผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนในช่องยูทูป ถ้าเราจะเรียก มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ผู้นี้ว่าเป็นศาสนดาแห่งอาหารก็คงจะไม่เกินจริง...
รีวิวบาร์ในกรุงเทพฯ
Bars
Lost in Thaislation
ข้าวมันไก่ ผัดไทย หมูสับเกี้ยมบ๊วย ข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งหมดนี้คือชื่อเมนูค็อกเทลของร้าน Lost in Thaislation บาร์ใหม่ย่านทองหล่อโดย ‘ฝาเบียร์ - สุชาดา...
Bars
#FindTheLockerRoom
แม้จะเป็นที่รู้จักจากรางวัลการันตีคุณภาพมากมายทั้งที่มอบให้ร้านและบาร์เทนเดอร์แต่ก็ยังยืนหนึ่งเรื่องการเป็น ‘บาร์ลับ’ อยู่ดี สำหรับ...
Bars
Falcon Secret Bar
ตอนที่ร้าน Marie Guimar (มารี กีร์มาร์) ร้านอาหารไทยบนชั้น 28 ของโรงแรม Wyndham Bangkok Queen Convention Centre เปิดใหม่ๆ...
แนะนำโรงแรมทั่วกรุงเทพฯ

Travel
Kimpton Kitalay Samui
ใครอยากหนีไปพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็อยากเจอบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้รู้สึกได้มาพักผ่อน เราว่าอาจจะชอบรีสอร์ทแห่งใหม่ Kimpton Kitalay Samui (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย)...

Hotels
Capella Bangkok
โรงแรมคาเพลลา (Capella) แห่งแรกในประเทศไทยตั้งอยู่บนที่ดินผืนงามริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนเจริญกรุง ให้บริการห้องพัก ห้องสวีท และวิลลา 101 ห้อง...

Hotels
W Bangkok
ถ้าจะบอกว่า W Bangkok คือหนึ่งในโรงแรมหรูที่เท่ที่สุด คูลที่สุด ฮิปที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คงไม่ผิด ตั้งแต่สถานที่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ แยกสาทร...

Hotels
Sindhorn Kempinski Hotel
สินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนเขียวชอุ่มของสินธรวิลเลจ ใกล้กับโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok และห้าง Velaa เป็นโรงแรมเคมปินสกี้แห่งที่ 2...

Hotels
Kimpton Maa-Lai Bangkok
โรงแรมแห่งแรกจากแบรนด์ Kimpton ที่เข้ามาเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและการผสมผสานกันอย่างลงตัวของทุกองค์ประกอบ...
Quick Meal: ดูคลิปเมนูทำง่ายจากร้านดังทั่วกรุงเทพฯ

Restaurants
พล่ากุ้งอบวุ้นเส้น
Time Out: Quick Meal คลิปนี้ ชวนเชฟเรณู หอมสมบัติ จากร้าน Saffron โรงแรม Banyan Tree กรุงเทพฯ หนึ่งในร้านอาหารที่ร่วมฉลองครบรอบ 25 ปีเบียร์ช้าง ในงาน Time Out...


