
หน้าหลัก Time Out Bangkok
เอดิชันภาษาไทยของมีเดียแพลตฟอร์มระดับโลกที่อัปเดตไลฟ์สไตล์คนเมืองมาตั้งแต่ปี 1968

Things to do
ตอนนี้ประตู The Corner House ได้เปิดต้อนรับทุกคนอย่างเป็นทางการแล้ว โดยนิทรรศการ Capture Bangkok ของพวกเราจะเริ่มจัดแสดงตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม...

Things to do
อีเวนต์น่าสนใจในกรุงเทพฯ ตลอดเดือนสิงหาคมนี้
ก้าวเข้าสู่เดือนสิงหาอย่างเป็นทางการ พร้อมกิจกรรมหลากหลายที่รอให้ทุกคนได้ออกมาใช้เวลาด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตจากศิลปินหลายแนว...

Things to do
กิจกรรมน่าทำในกรุงเทพฯ สุดสัปดาห์นี้ (7 - 10 สิงหาคม)
หากใครที่กำลังเจอเรื่องราวหนักใจ หรือต้องการหากิจกรรมคลายเครียดและให้เวลากับตัวเอง ต้นเดือนสิงหาคมนี้ Time Out ขอชวนทุกคนออกมาเติมพลังกับกิจกรรมดีๆ...

Restaurants
มัดรวมร้านอาหาร Feels Like Home ชวนแม่ออกไปกินข้าว
เท่าที่นึกออก ช่วงวันแม่ในวัยเด็กของผู้เขียนมักจะมีวัฒนธรรมกินข้าวนอกบ้านกันเกือบทุกปี (ซึ่งคิดว่าวัฒนธรรมของบ้านอื่นอาจใกล้เคียงกัน)...

Travel
รวมแลนด์มาร์กต้องห้ามพลาดในไทเป เที่ยวไต้หวันแบบครบจบทั้งอาหาร ธรรมชาติ และแฟชัน
หากพูดถึงทริปเที่ยวใกล้ประเทศไทยที่เดินทางง่าย ใช้เวลาไม่นาน ทั้งยังผสานความทันสมัยกับความคลาสสิกแบบเอเชียไว้ในเมืองเดียว เราจะนึกถึงไทเป...
การโฆษณา
อีเวนต์และกิจกรรมน่าสนใจในกรุงเทพฯ
อัปเดตข่าวล่าสุดจาก Time Out กรุงเทพฯ

Movies
ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) หนังไทยรางวัลเมืองคานส์ พร้อมเข้าฉาย 28 สิงหาคมนี้
‘คนกับผีอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง’
‘คุณเป็นเครื่องดูดฝุ่น จะมีสามีได้ยังไง’
‘เจอผี ผิดหลักอนามัยยิ่งกว่าเจอฝุ่นนะครับ’
เมื่อคนรักที่จากไปกลับมา..ในร่างของเครื่องดูดฝุ่น หากใครที่ได้ยินพล็อตนี้แล้วรู้สึกทั้งแปลกใหม่และน่าสนใจ เตรียมตัวให้พร้อมกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่คุณอาจไม่เคยได้รับชมที่ไหนมาก่อน
ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการหนังไทย ด้วยการคว้ารางวัลยอดเยี่ยม (Grand Prize) จากสายประกวด Critics' Week (Semaine de la Critique) ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 78 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้รับเสียงปรบมือและการตอบรับเชิงบวกจากนักวิจารณ์ชั้นนำจำนวนมาก
Photograph: 185 Films
เมื่อหนังผีผสมรักเล่าเรื่องสังคม
ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) ไม่ใช่เพียงหนังรักธรรมดาที่เล่าเรื่องราวของคู่รักทั่วๆ ไป แต่เป็นภาพยนตร์ที่แอบแฝงไปด้วยการเสียดสีสังคมอย่างแยบยล ทั้งเรื่องมลพิษฝุ่น PM 2.5 ความสัมพันธ์แม่ผัวลูกสะใภ้ ไปจนถึงข้อกฎหมายที่พยายามบังคับใช้กับผี เรื่องราวเล่าถึง ‘มาร์ช’ ชายหนุ่มผู้เสียใจจากการสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักอย่าง ‘แนท’ แต่อยู่ๆ ก็กลับพบว่า ภรรยาของเขาได้กลายเป็นวิญญาณที่เข้าไปสิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นสีแดง นำพามาสู่เรื่องราวความรักของทั้งสองที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งจากคนรอบข้าง ครอบครัวของฝ่ายชาย และระบบที่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องใช้ไฟฟ้า แนทจึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ถึงจะเป็นผี ก็เป็นผีที่ ‘ใช้ได้’ และมีประโยชน์ไม่แพ้กับคนเช่นกัน
การร่วมทุนสร้างโดยผู้ผลิตจากหลายประเทศทั่วโลก
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับและเขียนบทภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ ‘รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค’ จากค่ายหนังอิสระ 185 Films ที่เคยมีผลงานร่วมในหนังคุณภาพอย่าง MEMORIA, Ten Years Thailand และซีรีส์ เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์ โดยโปรเจกต์นี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี โดยมี คัทลียา เผ่าศรีเจริญ และ โสฬส สุขุม เป็นผู้อำนวยการสร้าง พร้อมความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตในหลายประเทศ เช่น Haut les Mains (ฝรั่งเศส), Momo Film Co (สิงคโปร์), และ Mayana Films (เยอรมนี) รวมถึงได้รับทุนสนับสนุนจากหลายองค์กรทั่วโลก อาทิ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สิงคโปร์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และจากไทยโดย สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
‘ใหม่ ดาวิกา’ กลับมาในบทบาทผีอีกครั้ง
หลังจากเคยฝากความประทับใจไว้ในบท ‘แม่นาก’ จากภาพยนตร์ พี่มาก..พระโขนง จากค่ายหนังอารมณ์ดี GTH ครั้งนี้ ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ กลับมาในบทบาทผีอีกครั้ง แต่ในร่างของเครื่องดูดฝุ่น ที่ถึงแม้จะแตกต่างกันในบริบท ทว่าทั้งสองบทบาทต่างสะท้อนความรักระหว่างคนกับวิญญาณ ที่ยังไม่อาจปล่อยวางจากพันธะผูกพันในอดีต นี่จึงถือเป็นสิ่งที่เราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าผีใช้ได้ จะถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผีออกมาให้เราได้ดูในรูปแบบไหน และนอกจากใหม่ ดาวิกา ยังร่วมด้วยนักแสดงนำชื่อดังของไทยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โมสต์-วิศรุต หิมรัตน์, อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน, อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด และบลาบูม-วิศรุต หอมหวน
เตรียมตัวรับประสบการณ์ในการดูหนังรูปแบบใหม่ ไปกับ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่:

Restaurants
ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) แบรนด์ไอศกรีมที่ฉีกกรอบคัลเจอร์ไทยได้สนุกและอร่อยจริง
คราวแรกที่เห็นแบรนด์ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) แบบผิวเผิน อาจจะเห็นแค่ร้านขายไอศกรีมสีโทนร้อนที่ขายไอศกรีมรสชาติคุ้นเคยอย่างที่เคยกิน และคงจะไม่แปลกใหม่อะไรถ้าการนำเสนอหรือการตั้งคอนเซปต์แบรนด์จะไม่สะดุดตาใครๆ เข้า เช่นหมวกกันน็อกและเสื้อยืดลงยันต์แถมคุมโทนด้วยสีส้มทั้งหมด
จนมาทราบว่า ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) คือโรงงานผลิตไอศกรีมเล็กๆ ตั้งอยู่ในชุมชนย่านพระรามสอง ที่มีความเชื่อมั่นและมีเป้าหมายไว้ก่อนว่า ไอศกรีมต้องมีรสชาติอร่อยจริง เพราะถ้าไม่อร่อยอาจจะโดนต่อยเอาได้ (อย่างหลังเติมเอง)
Photograph: maiaroihaitoi
พวกเขาได้คอนเซปต์มาจากกระแสในโซเชียลมีเดียตามร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มพากันเล่นมุกแปะป้ายกันให้ควั่กว่า ไม่อร่อยให้ต่อยปาก หรือ ไม่อร่อยให้เตะ ฯลฯ แบรนด์ไอศกรีมเล็กๆ อย่างไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) เลยเห็นว่ามีเสน่ห์และมีความขันตรงตามแบบฉบับคัลเจอร์ไทย เลยปิ๊งไอเดียว่า ในเมื่อมีไอศกรีมที่เขามั่นใจว่าอร่อยมากๆ อยู่ -จะดีแค่ไหนกัน- ถ้าเอามุกล้อเลียนพวกนั้นมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ไอศกรีมซะเลย!
Photograph: maiaroihaitoi
ความสนุกของแบรนด์เลยอยู่ตรงนี้… เมื่อได้คอนเซปต์จากกระแสทางโซเชียลมีเดียจนออกมาเป็นชื่อแบรนดิ้งตายตัวว่า ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) ที่เห็นชัด แรกเริ่มพวกเขาปั้นแบรนด์เล็กๆ นี้ด้วยการขายไอศกรีมบนรถเข็น (เหมือนคุณลุงคุณน้าเข็นไอศกรีมคันเล็กๆ ขายตามชุมชนอย่างที่เคยเห็น) โดยเข็นไปขายตามที่ต่างๆ ซึ่งที่แรกคือชุมชนแถวโรงงานย่านพระรามสองพร้อมๆ กับการโปรโมตแบรนด์ลงโซเชียลมีเดียไปด้วย
Photograph: maiaroihaitoi
หลังจากนั้นใครจะคิดว่าผลตอบรับจากที่เขาเคยโปรโมตแบรนดิ้งอย่างเช่นลงคลิปหรืออะไรต่างๆ กลับเป็นไวรัลจนได้รับโอกาสไปออกงานอีเวนต์ตามออฟฟิศหรือไม่ก็ห้างสรรพสินค้ามาเรื่อยๆ ส่วนรสไอศกรีมจะมีรสเบสิกไทยๆ เช่น ช็อกโกแลต ชาไทย และกะทิเป็นเบสต์เซลเลอร์ กินคู่กับขนมปังชาไทย จะราดด้วยซอสพิสตาชิโอ เนยถั่วทีเด็ดของร้าน ท็อปถั่วลิสงคั่วเองหรืออัลมอนด์สไลด์ก็ได้หมด
Photograph: maiaroihaitoi
ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าแบรนด์ไอศกรีมเล็กๆ ที่ฉีกกรอบความคิดสร้างสรรค์เห็นแล้วสนุกสนานและมีความใหม่เอามากๆ คือ เสื้อลงยันต์ ที่สกรีนเหมือนการสักยันต์จริงๆ ว่า อร่อย แคล้วคลาด หมวกแข็งแรงทน หลบทันปลอดภัย ขนมปังของดี ความคอนทราสต์นี้ก็เพื่อไม่ให้ชื่อแบรนด์ดูแข็งกระด้างเกินไป และยังสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างการใช้ Symbolic ที่สื่อกับแบรนด์ให้ดูย้อนแย้ง เช่น ฟัน (แปลว่าถ้าไม่อร่อยอาจจะโดนต่อยฟันหัก) หรือการสวมหมวกกันน็อก (เป็นการกันไว้กลัวคนต่อยเผื่อไม่อร่อยขึ้นมา) ความครีเอตที่แตกต่างและล้อกับวัฒนธรรมไทยนี้เป็นเกราะป้องกันที่ดูสนุกและทำให้คนอยากมีส่วนร่วมด้วยจริงๆ
Photograph: maiaroihaitoi
แต่พวกเขาทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะชื่อหรือคอสตูมที่เป็นวิธีการทางการตลาดที่เรียกกระแสหรืออะไรก็แล้วแต่ ความอร่อยและความคุ้มค่ายังคงเป็น Core Value ประจำแบรนด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าของผู้ผลิตไอศกรีม และไอศกรีมต้องอร่อยจริง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าใช้แบรนด์ที่ชื่อว่า ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) แน่ๆ
Photograph: maiaroihaitoi
ใครที่อยากลองต่อย เอ๊ย! อยากลองความอร่อยและเห็นความครีเอตเจ๋งๆ ตามไปทักทายเขาได้ที่ เอ็มไพร์ทาวเวอร์ คิงเพาเวอร์ ซีคอนสแควร์ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และสีลมคอมเพล็กซ์ได้ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ (สังเกตโลโก้เด็กชายหน้ายิ้มใส่หมวกกันน็อกเอาไว้แล้วก็รีบพุ่งไปเลย)
ติดตามรายละเอียดของแบรนด์ไม่อร่อยให้ต่อย (จริง) ได้ที่ IG: maiaroihaitoi

Things to do
ความเชื่อมนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในนิทรรศการ Across The Universe
‘เราอาจไม่แน่ใจในความกระจ่างชัดของจักรวาล จึงเป็นเหตุผลให้เรายังคงดำรงอยู่’ เป็นบทสรุปของข้อความที่สื่อถึงในนิทรรศการล่าสุดอย่าง Across the Universe ของ โจ-อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ ได้ชัดเจนที่สุด
Photograph: Xspace Gallery
Across the Universe คือนิทรรศการเดี่ยวของ โจ-อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดจิตรกรรมจากฝาผนังในวัดวาอารามหรือฝาผนังในถ้ำของมนุษย์ยุคโบราณที่ผ่านกาลเวลาและความเชื่อ จนนำมาสู่ผลงานภาพวาดเชิงนามธรรมร่วมสมัย ซึ่งเป็นการตีความผ่านภาพวาดโดยผสานทั้งแนวคิดในยุคก่อนและยุคปัจจุบัน
Photograph: Xspace Gallery
แม้ว่าโจเป็นศิลปินที่ทำงานด้านศิลปะหลากหลายแขนง เช่น วาดภาพ ถ่ายภาพ หรืองานศิลปะแนวจัดวาง ฯลฯ แต่ช่วงหลังเขามุ่งความสนใจไปยังการวาดภาพเชิงนามธรรม (Abstract) โดยเป็นการสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับประเด็นที่หลากหลายและมุมมองด้านสุนทรียศาสตร์ ซึ่งนิทรรศการนี้ก็มาจากแนวความเชื่อว่าภาพวาดจิตรกรรมไม่ได้ถูกจำกัดแค่ชิ้นงานหรือวัตถุที่มีไว้สำหรับชมเพียงเท่านั้น แต่มาจากความเชื่อ ประสบการณ์ โดยเฉพาะการดำรงอยู่ของมนุษย์กับภาพวาดในถ้ำหรือจิตรกรรมตามฝาผนังวัด รวมถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับโลกใบนี้ก็ด้วย
Photograph: Xspace Gallery
โดยเขาหยิบผลงานชุด Untitled (The Master) ที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 2024 ครั้งนั้นเป็นการศึกษาจิตรกรรมฝาผนังเพื่อระลึกถึงจิตรกรไทย จนดัดแปลงมาสู่นิทรรศการ Across the Universe ไว้ด้วย แต่คราวนี้เขาสร้างงานชุดนี้ขึ้นมาเล่าเพื่อลงลึกถึงจุดกำเนิดของคำว่า ‘จิตรกรรม’ ซึ่งจิตรกรรมคือสิ่งที่ผนวกรวมกับผู้คน ความเชื่อ การดำรงชีวิต รวมถึงจักรวาลใบนี้จนเป็นหนึ่งเดียวกัน
Photograph: Xspace Gallery
นิทรรศการ Across the Univesre ของโจในครั้งนี้จึงสื่อสารโดยทำให้เกิดพื้นที่แห่งการจินตนาการผ่านภาพวาดที่มีลักษณะของรูปทรง สี และพื้นผิว โดยที่ ‘ไม่เล่าเรื่องตรงไปตรงมา’ หรือยึดโยงกับทฤษฎีตรงเผงอย่างที่เข้าใจ (เพราะการสร้างผลงานแต่ละชิ้นของโจเปรียบเสมือนการไม่ยึดติดตามความเชื่อตายตัว) แต่คือการ ‘ได้เห็น’ ผลงานของเขาถึงปรากฎการณ์บางอย่างทางธรรมชาติ หรือเป็นได้แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่นับจำนวนไม่ได้ อาจจะเป็นท่วงทำนองดนตรีที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และอาจรู้สึกได้ถึงการยิ้มรับกับพระอาทิตย์ยามเช้าไปพร้อมๆ กับการรู้สึกได้ถึงแรงโหมกระพือของพายุท่ามกลางทะเลทราย
Photograph: Xspace Gallery
ความจริงแล้ว ถ้ามองภาพวาดในนิทรรศการให้ดีๆ เสมือนการมองผ่านงานจิตรกรรมของมนุษย์ในยุคโบราณอยู่ก็จริง แต่น่าแปลกตรงที่เขานำภาพวาดเหล่านั้นกลับมาอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งคล้ายกับการพาเราเดินข้ามทะลุมิติกาลเวลาจากยุคก่อนมาสู่ยุคปัจจุบันที่ดูแปลกใหม่เอามากๆ
นิทรรศการ Across The Universe จัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 27 กันยายน ที่ Mini Xspace Gallery ชั้น 2 กรุงเทพฯ เปิดให้บริการ วันจันทร์-เสาร์ เวลา 10.00-17.00 น.

Things to do
โครงการโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ เดินหน้าปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่าสองล้านต้นทั่วกรุงเทพฯ
ครั้งหนึ่ง กรุงเทพมหานครเคยได้รับฉายาว่า ‘เวนิสแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ อย่างภาคภูมิใจ ด้วยภาพคลองขนาบข้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ และทางเดินที่ร่มรื่นเย็นสบาย แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายทศวรรษ ด้วยการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว การขยายถนน รวมถึงแรงกดดันจากเหล่านักลงทุนทางอสังหาริมทรัพย์ ความเขียวขจีเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปทำให้หลังจากช่วงต้นปี 2543 พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองก็เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นเหตุให้ปัจจุบันนี้มหานครของเรากลับกลายเป็นป่าคอนกรีตไปแล้วอย่างเต็มรูปแบบ
แต่สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อแคมเปญ ‘BangkokTree’ ที่อาจกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ เมืองหลวง เพราะ ณ ปัจจุบันนี้ ทางโครงการได้ดำเนินการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่าสองล้านต้น ทั่วกรุงเทพฯ โดยข้อมูลจากกรุงเทพมหานครระบุว่า ได้ดำเนินการปลูกไม้ยืนต้นไปแล้วกว่า 1.1 ล้านต้น ทั้งไม้พุ่ม 690,000 ต้น และไม้เลื้อยหรือคลุมดินกว่า 180,000 ต้น โดยขณะนี้แคมเปญกำลังมุ่งสู่เป้าหมายถัดไปนั่นก็คือ การปลูกต้นไม้ให้ได้ถึงสามล้านต้น
โดยเป้าหมายของ BangkokTree ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ในสวนสาธารณะเพียงอย่างเดียว เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในจุดที่หลายคนนึกไม่ถึง เช่น ที่ดินเปล่า พื้นที่ข้างทางรถไฟ ทางเท้า เกาะกลางถนน ใต้ทางด่วน ใต้รางรถไฟฟ้า พื้นที่ว่างข้างอาคาร รวมถึงริมแม่น้ำลำคลองต่างๆ ด้วย
แคมเปญ ‘BangkokTree’ ได้เริ่มต้นขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2565 โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ออกแบบโครงการปรับโฉมเมืองใหม่ด้วยต้นไม้ และยังกล่าวถึงแถลงการณ์จริงจังในเรื่องการ แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แนวทางการลดความร้อนในเมือง และการเชื่อมโยงคนกรุงเทพฯ กลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 2 ปี เท่านั้น ก็สามารถปลูกต้นไม้ได้มากถึงหนึ่งล้านต้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในวันนี้กรุงเทพฯ ก็กำลังเร่งดำเนินการสู่เป้าหมายต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ
แน่นอนว่า ปัญหาความร้อนและมลภาวะของกรุงเทพฯ ก็ยังคงอยู่กับเรา และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อย่างใด เพราะกรุงเทพฯ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ติดอันดับค่าฝุ่น PM2.5 เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และด้วยเมืองที่เต็มไปด้วยคอนกรีตหนาทึบเช่นนี้ ก็ยิ่งส่งผลให้ระดับความร้อน พุ่งสูงขึ้นแบบทวีคูณ แม้จะฟังดูน่าทึ่งที่พวกเขาสามารถปลูกต้นไม้ได้มากถึงสองล้านต้น ภายในเวลาไม่กี่ปี แต่หัวใจหลักที่แท้จริงแล้ว ‘ขนาด’ และ ‘กลยุทธ์’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการปลูกต้นไม้ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวน แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม ปลูกในพื้นที่ที่ถูกต้อง และต้องดูแลให้รอดด้วย ต้นกล้าเล็กๆ ที่ปลูกอยู่ริมถนนนั้นอาจนับเป็น 1 ต้นไม้บนหน้ากระดาษเอสี่ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่จะช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และให้ร่มเงาแก่เราได้เสมอไป
ลองเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ เมืองตัวอย่างด้านการปลูกต้นไม้ ที่มีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อคน สูงถึง 66 ตารางเมตร ที่มาพร้อมแนวคิดสวนแนวตั้ง และหลังคาสีเขียว ในขณะที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวต่อคนเพียงแค่ 6 ตารางเมตร เท่านั้น นี่ถือเป็นเครื่องเตือนใจว่าการปลูกต้นไม้อย่างเดียว ไม่ได้แปลว่าจะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสีเขียวได้ทันที เราจึงควรมองไปให้ไกลกว่าพื้นดิน เช่น การลองเปลี่ยนดาดฟ้าให้เป็นสวน เปลี่ยนที่รกร้างให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดย่อม หรือเปลี่ยนริมคลองให้กลายเป็นเส้นทางสีเขียวเต็มไปด้วยต้นไม้ นี่อาจเป็นแนวทางที่จะช่วยขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองได้อย่างยั่งยืน
ถึงแม้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะสามารถปลูกต้นไม้จนแตะหลักสามล้านต้นได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะวัดความสำเร็จจริงๆ กลับไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการวัดจากร่มเงาที่อยู่ได้นาน อากาศที่สะอาดกว่า และ ชุมชนที่ไม่รู้สึกว่าร้อนจนเหมือนอยู่ในเตาอบ เพราะกรุงเทพฯ ไม่ได้ต้องการต้นไม้มากขึ้น แต่ต้องการกลยุทธ์สีเขียวที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ การมีส่วนร่วมของผู้คน และความใส่ใจอย่างแท้จริง

Music
รวมพิกัดสถานที่ฟังดนตรีสดในกัวลาลัมเปอร์ สายโซลแจ๊สหรือร็อกก็ไม่ควรพลาด
ร้านที่เรายกมาทั้งหมดนี้คือจุดหมายของสายดนตรีสดตัวจริง เพราะเล่นครบทุกแนวเพลงให้ได้ฟังกันสดๆ ทุกคืน ให้คุณซึมซับบรรยากาศยามค่ำคืนผ่านเสียงดนตรีจากศิลปินตัวจริง เสิร์ฟทั้งบาร์ลับ เวทีเปิด และคาเฟ่ที่กลายร่างเป็นคลับหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
เชื่อว่าใครที่เป็นสายดนตรีต้องหาร้านโดนใจสักที่เวลาไปเที่ยวอย่างแน่นอน สิ่งนี้ตอบโจทย์สุดๆ ด้วยคาแรกเตอร์ที่ต่างกันไปของร้าน บางที่ชวนจิบคราฟต์เบียร์ฟังดนตรีอะคูสติกเบาๆ บางที่คือเวทีดิบเดือดของวงพังก์ยันเที่ยงคืน หรือบางคืนอาจได้เจอดีเจเปิดอีโม ที่สำคัญยังมี เวทีเล็กแต่ใจใหญ่ที่เปิดพื้นที่ให้วงอินดี้ ศิลปินหน้าใหม่ได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ ใครที่อยากเปิดโลกดนตรีแนวใหม่ หรือแค่มองหาร้านที่มีบรรยากาศดี เสียงดี คนฟังดีบอกเลยว่าลิสต์นี้มีครบ!

Movies
ซองแดงแต่งผี อำนาจของชายแทร่ อาจยิ่งใหญ่กว่าเพศไหนๆ?
*ต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์*
อำนาจความเป็นชายมันดูยิ่งใหญ่เกินต้าน แก่นแกนของหนังเรื่องนี้บอกเราแบบนั้น
หลังจาก ซองแดงแต่งผี ของค่าย GDH ร่วมกับ Billkin และ PP Krit Entertainment ได้รับกระแสความนิยมอีกครั้งพร้อมขึ้นชาร์จอันดับหนึ่งทางเน็ตฟลิกซ์ไปเมื่อไม่กี่วัน เรื่องนี้รีเมคจากหนังไต้หวันแนวดราม่าคอมเมดี้ยอดนิยมอย่าง Marry My Dead Body (2022) ที่ได้นักแสดงคู่จิ้นเอาเรื่อง อย่างพีพี-กฤษฏ์ และบิวกิ้น-พุฒิพงศ์ กำกับโดย หมู-ชยนพ บุญประกอบ (แม้บทสัมภาษณ์ของเขาจะบอกว่าทำหนังตลกก็จริง ซึ่งตัวเขาเองเป็นคนไม่ตลก แต่เชื่อเถอะว่าเขาน่ะเหมาะ!) และมีโต้ง-บรรจง คอยเป็นมือโปรดิวเซอร์ให้
หนังดำเนินไปด้วยตัวเอกของเรื่องคือตี่ตี๋ (พีพี-กฤษฏ์) เรื่องใหญ่ดันเกิดเพราะตี่ตี๋โดนรถชนตาย จนไปมาอีท่าไหนไม่รู้ อยู่ๆ อาม่า (ปุ๊-ปิยะมาศ) เกิดอยากให้ตี่ตี๋แต่งงาน แล้วจะแต่งยังไงในเมื่อหลานกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่ตัวละครทั้งหมดจะต้องเจอกับความโกลาหล
Photograph: The Red Envelope
ภารกิจตามหาเจ้าบ่าวจึงเริ่มขึ้น และคนที่เจอกับซองแดงเท่านั้นถึงจะแต่งงานกับตี่ตี๋ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ซองแดงเปล่าๆ แต่มีเศษผมเศษเล็บของตี่ตี๋ใส่รวมกันอยู่ในนั้น แล้วใครจะรู้ว่าวันดีคืนดี เม่น (บิวกิ้น-พุฒิพงศ์) -โจรที่กลับใจอยากเป็นตำรวจ- ดันไปเจอซองแดงตกอยู่บนพื้นห้องของตัวเอง หลังจากนั้นมิตรภาพระหว่างคนกับวิญญาณจึงค่อยๆ ก่อตัว
สำหรับเราเป็นหนังที่เปิดฉากมาก็เห็น ‘ความต่าง’ ที่ยังไม่เปิดใจยอมรับกันระหว่างเม่นและตี่ตี๋ รวมถึงการที่เม่น ‘ผลักไส’ ตี่ตี๋ออกไปโดยที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีเลยด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงน่าสนใจตรงที่หนังแผ่ประเด็นให้เห็นถึงพื้นที่ที่ให้อำนาจของผู้ชายยังดำรงอยู่ และความเชื่อบางอย่างที่ยังลอยวนอยู่กับที่ ซึ่งคนดูท้ายแถวอย่างเราก็แทบนึกไม่ถึง
Photograph: The Red Envelope
อย่างพื้นที่แรกคือ บ้านของตี่ตี๋ ซึ่งพ่อ (สังข์-ธีรวัฒน์) หรือป๊าเป็นหัวหน้าครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ตี่ตี๋ไม่เคยลงรอยกับพ่อตัวเองเลย อาจเพราะตอนเด็กตี่ตี๋ใช้เวลาว่างไปกับงานอดิเรกแบบที่ผู้หญิงเขาทำกัน อย่างเล่นตุ๊กตา เย็บปักถักร้อย ซึ่งเราชอบการโฟกัสไปยังตุ๊กตาคล้ายบัมเบิลบีในเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ที่สวมกระโปรงสั้นระบายสีชมพู ซึ่งมันสื่อถึงความเป็นหญิงที่ซ่อนในคราบผู้ชายได้โดยไม่บกพร่อง แต่นั่นแหละ ตี่ตี๋ก็จะสนิทกับอาม่าเป็นพิเศษ เพราะอาม่ามักจะเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยระหว่างตี่ตี๋กับพ่อ และพร้อมจะเข้าใจตี่ตี๋เสมอ แถมยังมีเพื่อนรู้ใจเป็นหมาพันธุ์ชิสุชื่อตอม่อด้วย
Photograph: The Red Envelope
หรือถ้าพูดถึงพื้นที่อย่าง ค่ายมวย ก็อาจจะนึกถึงภาพของสนามมวยลุมพินี ไม่ก็สนามมวยราชดำเนิน สถานที่ที่ไม่ว่ายังไงก็แสดงออกถึงความเป็นชายทะลุปรอท เรานับถือนักแสดงที่เข้าฉากในค่ายมวยมากๆ โดยเฉพาะเสี่ยโจ้ (จาตุรงค์ มกจ๊ก) ที่รับบทเป็นทั้งเจ้าของค่ายมวยพ่วงเจ้าพ่อค้ายา คนนี้คือตัวตั้งตัวตีของเหตุการณ์อลหม่านทั้งมวล ซึ่งค่ายมวยในเรื่องยังเผยให้เห็นถึงพื้นที่หลบซ่อนของเหล่าเพศที่สาม ที่ถ้าไม่ถูกพูดถึงก็ไม่มีใครรู้
Photograph: The Red Envelope
แต่ฉากที่แสดงให้เห็นว่า ‘พื้นที่แสดงอำนาจความเป็นชาย’ ร่อยหรอลงไปได้ก็คือ ฉากที่เจ๊ก๊อย (ก้อย-อรัชพร) ตำรวจสาวที่เม่นแอบชอบได้ฉายภาพ Power Woman ที่มีความมั่นใจและตัดสินใจเด็ดขาด แต่ฉากนี้อาจจะเห็นความขัดแย้งของตัวละครหน่อยๆ ตรงที่มีความทับซ้อนระหว่างชาย-หญิง แต่แล้วความเป็นหญิงกลับดีดกระโจนก้าวข้ามความเป็นชายออกไปอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว
Photograph: The Red Envelope
แม้แต่สถานที่ที่ไม่แม้แต่จะนึกถึงอย่าง ศาลเจ้า ตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และโชคลาภ ถ้านึกถึงศาลเจ้าก็มักจะนึกถึงสีแดงจัดๆ สิ่งเหล่านี้อาจสื่อถึง ‘สิ่งๆ หนึ่ง’ ที่ไม่มีวันทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากกรอบของวัฒนธรรมประเพณีได้เลย เพราะศาลเจ้าเป็นตัวแทนของความดี การเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่หนังกลับใช้พื้นที่อย่างศาลเจ้าเป็นตัวแทนผ่านนักแสดงตลกอย่างซินแส (แอนนา ชวนชื่น) ที่พลิกภาพลักษณ์อันขลังขรึมของศาลเจ้าให้ดูซอฟต์ลง
Photograph: The Red Envelope
อีกฉากที่ขำขื่นในลำคอและคิดอะไรได้เยอะ เห็นจะเป็นฉากในเกย์คลับที่โชว์พาวเวอร์ด้วยกันเอง (เช่นฉากหน้าประตูทางเข้าผับ หรือกลุ่มแดนเซอร์เหล่า LGBTQA+ เต้นหน้าฟลอร์โชว์ ‘อำนาจ’ ให้เม่นเห็นก็ด้วย) และฉากที่เม่นถือโอกาสลวนลามแรมโบ้ (รัศมีแข) ในการสืบหาของลับบางอย่าง ทำให้เห็นว่าแรมโบ้โดนกระทำโดยที่ไม่ค่อยจะแฟร์สำหรับอีกฝ่ายเท่าไรนัก
Photograph: The Red Envelope
ส่วนอีกพื้นที่ที่เป็นเกราะกำบังความทุกข์ร้อนของคนเช่นที่ สถานีตำรวจ คือพื้นที่แสดงออกของผู้นำและความเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วนี่คือพื้นที่ต้องห้ามที่แม้แต่ความอ่อนแอก็ไม่ควรย่างกราย ใครจะรู้ว่าแวดล้อมรอบตัวเหล่านี้อาจมีผลให้พวกเขารู้สึกว่านี่คือพื้นที่ที่อาจกำลังกดทับบางสิ่งบางอย่างและไม่มีทางเป็นตัวเองได้เลยสักที
Photograph: The Red Envelope
มาถึงตรงนี้ถ้ามองพื้นที่แห่งอำนาจเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา เรากลับเห็นอีกมิติที่ไม่ใช่แค่หนังคอมเมดี้ แต่เราเห็นอีกมิติของตี่ตี๋ซึ่งเขาเป็นคนที่ไม่เคยได้เผยความรู้สึกจริงๆ กับคนรักของตัวเอง เป็นวิญญาณที่ยังค้างคา และยังอยากได้รับการปลดปล่อยอิสรภาพจากพ่อของตัวเอง โดยประเด็นพวกนี้แฝงอยู่ใต้เสียงหัวเราะ (ขื่นๆ) แต่ตี่ตี๋ก็เป็นมากกว่าภาพในอุดมคติของหลายคนซึ่งเติมเต็มบนพื้นที่แห่งความทรงจำของคนดูไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ในไต้หวันจะเปิดกว้างเรื่องเพศที่สามไปกว่าบ้านเราตั้งหลายขุม แต่การฟันฝ่าเพื่อเป็นที่ยอมรับของพวกเขาได้ผ่านการต่อสู้กันอย่างหนัก ซึ่งเห็นได้จากสารคดีของชาว LGBTQA+ ที่ทาง Doc Club เคยนำมาฉายในบ้านเราเมื่อปี 2019
Photograph: The Red Envelope
ท้ายที่สุดแล้วเพศที่สามจะถูกมองหรือเชื่อกันไปต่างๆ ยังไง ขอแค่เรามองเห็นเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งให้ได้ก่อนก็พอ

Things to do
ทำไมแนวคิด 'ภาวะน่าสบาย' ของ Dusit Central Park จึงสำคัญกับพื้นที่แห่งใหม่ใจกลางเมือง
ประโยคที่ว่าแม้จะเป็นสโลแกนของ One Bangkok แต่ก็ปรากฏท่ามกลางย่านการค้าสำคัญในกรุงเทพฯ อย่างสีลมหรือลุมพินีได้กลมกลืน ย่านที่รวมแทบทุกอย่างในละแวกที่เดินไปไม่ไกลเดี๋ยวก็เจอ ซึ่งในย่านนี้กำลังจะผุดแลนด์มาร์กใหม่ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยก่อนหน้านี้ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิต ธานี) ได้ประกาศถึงการสร้างสวนลอยฟ้า หรือ Roof Park ใจกลางเมืองบนพื้นที่มิกซ์ยูสของโครงการ Dusit Central Park
ส่วนที่ใช้คำว่า Roof Park เพราะอยากให้ล้อกับ Central Park ในนิวยอร์ก และ Hyde Park ในลอนดอน โดยคำนึงถึง 3 มิติหลัก เช่น มิติทางเศรษฐกิจในการดึงนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่วนมิติทางสังคมเพื่อชวนคนเข้ามาใช้พื้นที่ตามไลฟ์สไตล์ และมิติทางระบบนิเวศ ที่เน้นไปยังเรื่องการลด PM2.5 และ PM10 หรือแนวคิดการใช้สอยพื้นที่ทางกิจกรรม เช่น มุมสังสรรค์ พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงและเด็ก แม้แต่พื้นที่ในรูปแบบ Amphitheatre (ลานกว้างที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นเหมือนลานอัฒจรรย์) ไว้สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ ดนตรี หรืองานมินิอีเวนต์ต่างๆ
Photograph: Jeff Goldberg/ESTO
ที่น่าสนใจคือแนวคิดการใช้สอยพื้นที่นี้สอดคล้องกับ 'ภาวะน่าสบาย' หรือ Thermal Comfort ซึ่งเป็นแนวคิดย่อยของโครงการฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ด้วย โดยเฉพาะ Amphitheatre ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวโปร่งโล่งบนดาดฟ้า แถมยังเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมซึ่งยังหาได้ยากในกรุงเทพฯ
แล้วถ้าถามว่าทำไมภาวะน่าสบายจึงสำคัญ นั่นอาจเชื่อมโยงไปถึงผลสำรวจอาคารทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ที่มีตึกเยอะรุงรัง) ว่าอาคารส่วนใหญ่จะตั้งอุณหภูมิความร้อนต่ำกว่าความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ที่อยู่ในอาคารอาจรู้สึกไม่สบายตัว หรือเกิดอาการ Sick Building Syndrom ได้ ซึ่งเมื่อนำภาวะน่าสบายของโครงการฯ เข้ามาเป็นตัวเลือกนี้ก็อาจช่วยกำหนดทิศทางลมหรือแสงแดดในระดับที่พอดีต่อพื้นที่บน Roof Park ได้
กลับมาขยายแนวคิดย่อยของโครงการฯ ที่พูดถึงภาวะน่าสบายกันต่อว่ามีความสำคัญต่อการสร้างพื้นที่สาธารณะในแบบ Roof Park อย่างไรบ้าง
Photograph: Jeff Goldberg/ESTO
ภาวะน่าสบาย คือความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมท่ามกลางอากาศที่ไม่พึงประสงค์ หรืออีกนัยหนึ่งคือการออกแบบภูมิอากาศขนาดย่อม (Micro Climat) ในสภาพอากาศเฉพาะพื้นที่หรือจุดย่อยต่างกันไป ที่ประกอบด้วยอุณหภูมิ สภาพอากาศ ความชื้น ลม หรือการกักเก็บความร้อน ยังมีการใช้องค์ประกอบเชิงภูมิสถาปัตย์หรือการจำลองพื้นที่เพื่อทดลองการถ่ายเทของอุณหภูมิหรือที่เรียกในเชิงสถาปัตย์ว่าหลุมหลบภัยทางอากาศอยู่ด้วย
แม้ว่าภาวะน่าสบายจะเป็นแนวคิดย่อยในการออกแบบ Roof Park แล้ว แต่ปัจจัยของภาวะน่าสบายก็มีหลายปัจจัยที่ค่อนข้างซับซ้อนและคิดว่าสำคัญกับการสร้างพื้นที่สาธารณะ หลักๆ จะประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ อุณหภูมิของอากาศ ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมในประเทศเขตร้อนชื้นเช่นที่ไทยควรอยู่ที่ราวๆ 23-29 องศาเซลเซียส ต่อมาเป็นความชื้นสัมพัทธ์ โดยปริมาณความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมต่อภาวะน่าสบายจะอยู่ที่ร้อยละ 30-70
Photograph: dusitcentralpark
ในขณะเดียวกันความชื้นสัมพัทธ์ก็คือการวัดปริมาณของไอน้ำที่อยู่ในอากาศก็ได้ หรือแม้แต่ความเร็วลมที่ปะทะร่างกาย โดยความเร็วลมที่รู้สึกถึงภาวะน่าสบายจะอยู่ที่ไม่เกิน 1 เมตรต่อวินาที ไม่เพียงแค่นั้นยังมีอุณหภูมิของพื้นผิวรอบๆ เช่น กระจกป้องกันความร้อน การออกแบบพื้นที่ใช้งาน เป็นต้น
ถัดไปเป็นองค์ประกอบเชิงภูมิสถาปัตย์ที่ใช้สร้างภาวะน่าสบาย เพื่อสอดรับกับภูมิอากาศขนาดย่อม เช่น แสงแดด ทิศทางของลม ซึ่งการนำแนวคิดย่อยอย่างภาวะน่าสบายมาใช้น่าจะทำให้พื้นที่สีเขียวบน Roof Park เกิดการเคลื่อนไหวต่อทิศทางลมได้ดีขึ้น รวมถึงทิศทางของแสงที่ช่วยบดบังความร้อนในอาคารด้วย
ซึ่งสิ่งที่เป็นองค์ประกอบเชิงภูมิสถาปัตย์ ได้แก่ น้ำ ตัวช่วยในการปรับความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและช่วยปรับอุณหภูมิในบริเวณพื้นที่นั้นๆ ให้สมดุล ถัดมาเป็นพืชพรรณสีเขียว อย่างไม้ยืนต้นที่ช่วยกำหนดทิศทางกระแสลมแถมยังช่วยควบคุมอุณหภูมิที่พัดเข้ามาในพื้นที่ไม่ให้มีกระแสลมแรงเกินไป ต่อไปเป็นพื้นที่เปิดหรือ Open Space ช่วยให้พัดพาความร้อนออกไปได้เร็ว ซึ่งจะแทนที่ด้วยอุณหภูมิอากาศที่พอดีแทน นอกจากนี้ยังรวมถึงวัสดุที่กักเก็บความชื้นและทนความร้อนได้ เช่น กรวด ราวกั้นไม้ระแนง การปูพื้นด้วยพื้นหญ้า ว่ากันไปต่างๆ
Photograph: Jeff Goldberg/ESTO
ส่วนอีกตัวอย่างของภาวะน่าสบายที่น่าสนใจ และเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าเมืองที่ดีคือการออกแบบและแก้ปัญหา นั่นก็คือการสร้างหลุมหลบภัยทางอากาศแบบจำลองที่เคยจัดแสดงในงาน BKK Design Week เมื่อปี 2023 ที่ทาง CEA (Creative Economy Agency) ร่วมมือกับบริษัท ฉมา จำกัด (บริษัทภูมิสถาปนิกที่เน้นเรื่องสังคม) ความพิเศษของหลุมหลบภัยทางอากาศนี้คือการสร้างกระแสลมหมุนเวียนในพาวิลเลียนหรือโดมสีขาวขนาดใหญ่ ที่มีพัดลมขนาดใหญ่ดูดอากาศจากภายนอกผ่านระบบกรองอากาศหลายชั้นเข้ามาในพื้นที่ ไล่ตั้งแต่ไม้คลุมดิน ไม้ยืนต้น จากนั้นกรองด้วยแผ่นกรองฝุ่น และแผ่นกรองความเย็นตามลำดับ เพื่อให้อากาศภายในโดมถ่ายเทหมุนเวียน
ถือเป็นแนวคิดที่ฉลาดไม่น้อย ที่โครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์คนำตัวอย่างของสวนสาธารณะที่ขึ้นชื่อมาปรับใช้กับแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางเมืองที่กำลังจะเปิดในเร็ววัน และถึงแม้เราๆ จะมีสวนสาธารณะทางเลือกอยู่แล้วก็ตาม แต่ไม่แน่ว่าพื้นที่ที่ดูไกลตัวไปมากอย่าง Roof Park อาจเป็นอีกไลฟ์สไตล์คนเมืองให้ออกมาใช้ชีวิตในแบบที่มีทั้งกิจกรรมทางวัฒนธรรม การพบปะ หรือลานนั่งเล่นบนพื้นที่สีเขียว คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า เมืองดีที่ทุกคนรอ…จะเป็นแบบไหน
Photograph: Jeff Goldberg/ESTO

LGBTQ+
ได้รับการสนับสนุน
ดื่มด่ำไปกับความหลากหลาย
งานไพรด์ในประเทศไทยมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ใหม่ในการเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ประเทศไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้เป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อนุญาตให้มีการสมรสในเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับความรักและความเท่าเทียมที่สร้างความยินดีไปทั่วราชอาณาจักร
ท่ามกลางกระแสการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ ‘ฉลองเบย์ ภูเก็ต’ แบรนด์สุราคราฟต์ บุกเบิกของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงในด้านสปิริตจากอ้อยไทยธรรมชาติ 100% ก็ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดทางแบรนด์ได้เปิดตัว เหล้ารัมรุ่นพิเศษลิมิเต็ดอิดิชั่น เพื่อ เป็นการแสดงพลังสนับสนุนต่อชุมชน LGBTQ+ และเสรีภาพในความรักอย่างเต็มภาคภูมิ
มากไปกว่านั้น ฉลองเบย์ ยังนับเป็นแบรนด์สุราสัญชาติไทยแบรนด์แรกที่สร้างสรรค์ ขวดพิเศษมาเพื่อโอกาสนี้ และต้องการแสดงให้เห็นว่า ทุกการยกแก้ว ทุกขวด และทุกหยด สามารถเป็น ‘ก้าวอันเต็มไปด้วยความหมาย’ ที่พาเราทุกคนไปข้างหน้าได้
และนี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเครื่องดื่มแห่งความภาคภูมิใจนี้

Things to do
จูงเพื่อนรักสัตว์สี่ขาดู 5 หนังคลาสสิก ท่ามกลางบรรยากาศสวนสีเขียว
สำหรับใครที่เบื่อการดูหนังในโรงแบบเดิมๆ หรือไม่อยากนั่งดูจากหน้าจอคอมแบบเหงาๆ SAMA Garden X Skyline Film ขอยกโรงหนังมาไว้ท่ามกลางสวนสีเขียวสุดร่มรื่น ใกล้ตัวเมือง พาทุกคนไปผ่อนคลายในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กับประสบการณ์การดูหนัง แบบใหม่ที่สนุกกว่าที่เคย วันที่ 1-3 สิงหาคมนี้ ณ SAMA Garden at Bitec Buri สเปซสุด Eco ที่ทุกคนสามารถมาพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ และใช้เวลาชิลๆ ได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญยังเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงอีกด้วย!
ภายในงานไม่ได้มีเพียงแค่ฉายหนังท่านั้น แต่ยังมีโซนผ่อนคลายสุดพิเศษจาก Divana สปอนเซอร์ใจดีที่มาพร้อมบริการนวดระหว่างดูหนัง ฟรี 15 นาที สำหรับผู้ที่จองบัตร ล่วงหน้าผ่าน Line: @SAMAgarden (จำกัดเพียง 10 คน ต่อวันเท่านั้น) บัตรราคา 550 บาท พร้อมรับของว่างและเครื่องดื่ม 1 เซต ให้ได้อิ่มอร่อยกันอย่างเพลินๆ
ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่าหนังคลาสสิกทั้ง 5 เรื่องตลอดโปรแกรมนี้จะมีเรื่องอะไรบ้าง!
โปรแกรมฉายหนัง
Photograph: The Intern
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม เวลา 18.30 น. - The Intern
ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดน้ำดีที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการค้นหาแรงบันบาลใจอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เรื่องราวว่าด้วยคุณตาวัยเกษียณอย่าง ‘เบน’ ที่งเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ตัดสินใจเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ด้วยการสมัครเป็นอินเทิร์นที่บริษัทแฟชั่นสุดล้ำ ที่บริหารโดยหญิงสาวรุ่นใหม่ ไฟแรงอย่าง ‘จูลส์’ เบนไม่ได้เรียนรู้แค่โลกใหม่ แต่เขายังกลายเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของคนทั้งออฟฟิศ
Photograph: 10 Things I Hate About You
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 17.30 น. - 10 Things I Hate About You
หนึ่งในหนังรักวัยรุ่นรอมคอมสุดคลาสสิกในดวงใจของใครหลายคน เรื่องราวของ ‘แคท’ สาวสวย ฉลาด หัวขบถ ที่ไม่สนใจเรื่องความรักแม้แต่น้อย แต่ปัญหากลับมาตกอยู่ที่ ‘เบียงกา’ น้องสาวคนเล็กที่อยากมีแฟนแต่ถูกพ่อสั่งห้ามเด็ดขาดจนกว่าพี่สาวอย่างแคทจะมีแฟนก่อน เบียงกาจึงต้องเริ่มแผนการสุดแสบด้วยการวานให้ ‘แพทริก’ หนุ่มแบดบอยประจำโรงเรียน มาจีบแคท เรื่องราววุ่นๆ ปนหวานจึงเริ่มต้นขึ้น
Photograph: Cast Away
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 20.40 น. - Cast Away
การเอาชีวิตรอดท่ามกลางธรรมชาติอันโหดร้าย เรื่องราวของ ‘ชัค’ ผู้บริหารหนุ่ม ที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบกับชีวิตที่ต้องพลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อเครื่องบินที่เขานั่งดันไปตกลงบน เกาะร้างกลางทะเล และมีเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตในไฟล์ทบินนี้ ความเงียบงัน ความโดดเดี่ยว ความหวัง และความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้น จะนำพาให้เขาเอาชีวิตรอด บนเกาะร้างนี้ไปได้อย่างไร
Photograph: Wonder
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม เวลา 17.30 น. - Wonder
เรื่องราวอันแสนอบอุ่นของหัวใจที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ และสร้างแรงบันดาลใจให้ ใครหลายๆ คน เรื่องราวของ ‘ออกัสต์’ เด็กชายผู้เกิดมาพร้อมใบหน้าที่แตกต่างไปจากเด็ก คนอื่นๆ เมื่อออกัสกำลังจะเข้าโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต และต้องเผชิญกับสายตา และความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน ท่ามกลางคำถาม ความกลัว และมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้น จะเป็นอย่างไร
Photograph: The Notebook
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม เวลา 20.40 น. - The Notebook
นี่คือเรื่องราวความรักที่ทั้งงดงามและเจ็บปวดจับใจผู้ชมมาทุกยุคทุกสมัย เรื่องราวความรัก สุดหวานอมขมกลืนของ ‘โนอาห์’ และ ‘ออลลี่’ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ตกหลุมรักกันในช่วง ฤดูร้อนอันแสนโรแมนติก แต่ความรักของพวกเขากลับถูกขัดขวางจากพ่อแม่ของออลลี่เนื่องจาก ฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน และมีเหตุให้โนอาห์ต้องจากลาไปรับใช้ชาติในสงครามโลก ครั้งที่สอง ขณะเดียวกันออลลี่ก็ได้พบกับ ‘แฮมมอนด์ จูเนียร์’ ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมที่เธอพร้อม จะแต่งงานกับเขา ระหว่างรักแรกในอดีตกับชีวิตใหม่ในปัจจุบันเธอจะเลือกอะไร
บัตรราคา 550 บาท (จองบัตรได้ที่นี่) และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: SAMA Garden และ Skyline Film ดูหนังบนดาดฟ้า

Things to do
P.A.P. ครั้งที่ 14 กลับมาอีกครั้ง พบกับเทศกาลศิลปะการแสดงอัดแน่น 4 เดือนเต็ม!
P.A.P. คืออะไร?
P.A.P. คือ Performative Art Project หรือโครงการศิลปะการแสดง จัดโดยหอศิลปกรุงเทพฯ ซึ่งปีนี้เดินทางมาถึงขวบปีที่ 14 แล้ว หมุดหมายของโครงการก็เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด ประสบการณ์จนเกิดบทสนทนาระหว่างศิลปินและผู้ชม ที่สำคัญคือเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะการแสดง
สำหรับปีนี้ โครงการได้มีการแสดงร่วมกับ Blurborders ศิลปินจากหลายประเทศมาแสดงในหัวข้อ HumanTouch มนุษย์สัมผัส รวมถึงการแสดงจาก Bangkok Theatre Festival 2025 โดยเครือข่ายละครกรุงเทพ นับเป็นการแสดง Perfomance Art ที่จุใจลากยาวตั้งแต่สิงหาถึงพฤศจิกา
ศิลปินปีนี้มีใครบ้าง?
ปีนี้กลุ่มศิลปินที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการ P.A.P. 2025 Open Call (การเปิดพื้นที่ให้ศิลปินได้เข้ามารับการสนับสนุนด้านพื้นที่และทุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ P.A.P.) ก็คือ 1. ด้วยความอคติและเกลียดชัง โดย ปฏิพล (มิสโอ๊ต) 2. PainKiller โดย QuackLab / DuckUnit 3. DAYDREAM กับประเด็น Borderless โดย พงศ์ธร เตชะบุญอัคโข และ A440 Sound Lab 4. Blurboders มนุษยสัมผัส โดย Blurboders และศิลปินจาก Bangkok Theatre Festival 2025 ที่ยังรอประกาศผล
ทำไมถึงต้องเป็นการแสดงสดหรือละครเวที?
อันที่จริง ศิลปะแขนงการละครหรือการแสดงสดนั้นมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าควรให้เด็กหรือเยาวชนได้เรียนรู้ด้านนี้ เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจในเรื่องการสื่อสาร เกิดทักษะในการฟังผ่านภาษากายหรือน้ำเสียง รู้จักและกล้าเป็นตัวเอง รวมถึงการสร้างจินตนาการนอกกรอบซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญ หรือถ้าใครเคยดูหนังคลาสสิกฝรั่งเศสเรื่อง Les enfants du paradis ที่ว่าด้วยกลุ่มศิลปินรวมตัวกันแสดงละครใบ้แบบหลบๆ ซ่อนๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การแสดงนั้นบอกถึงการต่อสู้ดิ้นรน ความดิบ จริงใจ ในแบบที่แสดงออกมาตรงๆ ส่วนผู้ชมก็ตัดสินได้เลยว่าจะชอบหรือไม่ เปรียบเช่นโรงละครคือพื้นที่หนึ่งให้ 'มนุษย์' ได้แสดงออกถึงสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียม
แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะแขนงการละครในบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น แม้เมื่อก่อน บุคคลที่อยู่ในวงการนี้ 'ในประเทศไทย' ยังต้องหาที่ทางในการแสดงเพื่อให้เห็นว่าศิลปะแขนงนี้สำคัญ ซึ่งเห็นได้จากศิลปินและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เปิดการแสดงสดยังพื้นที่ต่างๆ เช่นแหล่งวัฒนธรรมอย่างสวนสันติชัยปราการ ย่านบางลำพู แม้แต่ร้านอาหาร เพราะสำหรับพวกเขา การได้มี ‘พื้นที่’ ทำการแสดงอาจจะไม่ต้องมีคำจำกัดความ จนในช่วงหลายปีให้หลัง พวกเขามาจัดแสดงที่ Public Space ใจกลางเมืองเช่นหอศิลปกรุงเทพฯ
ก่อนที่จะเริ่มชมโครงการ P.A.P. #14 กันในอีกสัปดาห์หน้า เราอยากนำเสนอกลุ่มศิลปินทั้ง 4 กลุ่มที่มีความน่าสนใจในแง่ตัวตนของศิลปินผ่านการสำรวจประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้
HumanTouch มนุษยสัมผัส โดย Blurborders ศิลปะแสดงสดแลกเปลี่ยนนานาชาติ 2568
แสดงวันที่ 1-3 สิงหาคม (BACC), 4-13 สิงหาคม (จังหวัดพัทลุง: หมู่บ้านควนอินนอโม, พื้นที่แหล่งขุดดินในตำบลนาโหนด และทุ่งแหลมดินทะเลน้อย)
Photograph: Blurborders International Performance Art
โครงการ Blurborders International Performance Art eXchange ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2018 ถึงปัจจุบัน และดำเนินต่อไปเช่นทุกปี โดยปักหลักจัดแสดงที่หอศิลปกรุงเทพฯ รวมถึงต่างจังหวัด ซึ่งจะเน้นการแสดงสดที่จังหวัดพัทลุง โดยศิลปินขับเคลื่อนกิจกรรมนี้มากว่าทศวรรษที่ถือคติไม่เพิกเฉยต่อสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะของมนุษย์ด้วยกัน
ปีนี้ Blurborders หรือศิลปะแสดงสดแลกเปลี่ยนนานาชาติ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ P.A.P. #14 ที่ผ่านการคัดสรรจากหอศิลปกรุงเทพฯ และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม และสถาบันศิลปะแสดงสดแห่งอาร์เจนตินา นอกจากนั้นยังเชิญศิลปินจากญี่ปุ่น โปแลนด์ ไอร์แลนด์ แคนาดา อิตาลี สเปน และไทย โดยปีนี้มี จุมพล อภิสุข ศิลปินเพอร์ฟอร์มานซ์ยุคแรกๆ ของไทยมาร่วมเป็นศิลปินรับเชิญใน Blurborders ด้วย
ติดตามรายละเอียดและรอบการแสดงได้ที่ Blur borders
ด้วยความอคติและเกลียดชัง With Pessimistic and Hateful โดย ปฏิพล (มิสโอ๊ต)
แสดงวันที่ 22-24 และ 29-31 สิงหาคม 2568
Photograph: Miss Theatre
*การแสดงมีฉากเปลือยและการนำเสนอประเด็นความรุนแรงในครอบครัว*
นี่คือการแสดงแนว Text Based / Documentary / Musical Performance สามสิ่งนี้ที่มิสโอ๊ตรวมกันประกอบสร้างตัวตนและการมีอยู่ของคนทรานส์ งานนี้จึงเกิดขึ้นจากศาสตร์ของความไม่พอดีหรือความไม่เข้าพวก เช่น ทำไมฉันต้องโมโหกับโลกใบนี้ขนาดนี้ ทำไมพวกเราถึงจำเป็นต้องมีแต่ความอคติและความเกลียดชัง ผ่านศาสตร์การละคร เวที และบทเพลง
ติดตามรายละเอียดและจองบัตรได้ที่ https://tally.so/r/mKA2P7
และ MissTheatre
PainKiller: Test02 ส่วนเสริมมนุษย์ โดย QuackLab / DuckUnit
แสดงวันที่ 19-21 และ 26-28 กันยายน 2568
Photograph: The PainKiller
เชิญสำรวจกายภาพและความรู้สึกไปกับ PainKiller: Test02 ส่วนเสริมมนุษย์ เป็นผลงานชิ้นที่ 3 ในซีรีส์การแสดง PainKiller ที่พัฒนาจาก Test01 และ Test1.5: สนามเจ็บเล่น จะพาผู้ร่วมทดสอบไปสำรวจความรู้สึก ความเจ็บปวดของมนุษย์ที่ทั้งถูกผลิต ถูกปลูกฝังโดยที่อาจจะไม่รู้ตัว ทำการแสดงโดย แมค-ธงชัย พิมาพันธุ์ศรี และ โน้ต-ลภนภัทร ดวงพลอย จาก QuackLab / DuckUnit
ติดตามรายละเอียดและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://tally.so/r/w4YxBr
และ The PainKiller Project
DAYDREAM - The Music Cycle for Bangkok Retreat, Emptiness and Trance
โดย พงศ์ธร เตชะบุญอัคโข และ A440 SOUND LAB
แสดงวันที่ 14-26 ตุลาคม 2568
Photograph: bookpongtorn
คุณฝันกลางวันครั้งสุดท้ายเมื่อไร? นี่คือโปรเจกต์ศิลปะเสียงและดนตรีแนวร่วมสมัย รวมองค์ประกอบรอบตัวด้วยประสบการณ์แบบอิมเมอร์ซีฟ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการร่วมสร้างสรรค์ระหว่าง Pongtorn Techaboonakho และ A440 Sound Lab และศิลปินรับเชิญอีก 4 ท่าน ที่เปิดมุมมองใหม่ผ่าน Sound Installation เป็นพื้นที่สำหรับฝันกลางวัน หลบหนีจากความเร่งรีบ เป็นประตูบานเล็กที่จะพากลับสู่พื้นที่แห่งการพักใจ หรือพื้นที่สำหรับการฝันกลางวันจริงๆ
ติดตามรายละเอียดและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ DAYDREAM, A440 Sound Lab, A440 Sound Lab
เทศกาลละครกรุงเทพ 2025 (Bangkok Theatre Festival 2025) โดยเครือข่ายละครกรุงเทพ
แสดงวันที่ 8-23 พฤศจิกายน 2568
Photograph: BACC
เทศกาลละครกรุงเทพเป็นความร่วมมือของประชาคมบางลำพู เครือข่ายละครกรุงเทพ และพันธมิตร โดยมี Festival Director คือ อิ๋ว-ปานรัตน กริชชาญชัย และ ปั๊ม-เศรษฐ์สิริ นิรันดร เป้าหมายหลักของเทศกาลไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการกรุยทางให้ศิลปิน นักเรียน นักศึกษา หรือใครที่สนใจศิลปะด้านการแสดง ได้มีพื้นที่ของการพบปะ และขยายความหมายของศิลปะการแสดงให้คนเห็นถึงความสำคัญในศิลปะแขนงนี้ โดยในช่วงตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ทีมงานเทศกาลละครกรุงเทพมีการปรับตัว ลองผิดลองถูก และยังคงให้ความสำคัญกับการคัดสรรผลงาน รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินหน้าใหม่และขยายจำนวนพื้นที่จัดแสดงไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ในเวลาเดียวกัน
ติดตามรายละเอียดและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Bangkok Theatre Festival
ล็อกวันว่างแล้วไปชมการแสดงจากเหล่าศิลปินคัดสรรได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ติดตามรายละเอียดโครงการศิลปะการแสดงได้ที่ BACC
การโฆษณา
เผื่อคุณจะพลาดสิ่งนี้ไป...

LGBTQ+
ได้รับการสนับสนุน
ดื่มด่ำไปกับความหลากหลาย
งานไพรด์ในประเทศไทยมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ใหม่ในการเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
ฉลองเทศกาลดนตรีระดับโลก! ที่ Bangkok World Music Day 2025 ที่ One Bangkok และ Alliance Française Bangkok 14 มิ.ย.นี้ ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะ “เทศกาลดนตรีกรุงเทพ ’68” (Bangkok World Music Day ’25) กำลังจะมาสร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกครั้งในวันที่...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
Pride Film Festival เฉลิมฉลองเดือนไพรด์ด้วยหนังคุณภาพ ที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนพิเศษสำหรับชุมชน LGBTQIA+ และ Kimpton Maa-Lai Bangkok ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเฉลิมฉลองด้วยการจัด Pride Film Festival ปีที่ 5 ขึ้นในวันที่ 13 -...

Travel
ได้รับการสนับสนุน
ยกระดับทริปเที่ยวมาเก๊า กับ 48 ชั่วโมงในโรงแรมสุดหรู THE KARL LAGERFELD MACAU
ทริปมาเก๊าครั้งนี้ เราได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมเดอะ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาเก๊า (THE KARL LAGERFELD MACAU) โรงแรมห้าดาวในเครือแกรนด์ ลิสบัว พาเลซ รีสอร์ต มาเก๊า...

Things to do
THAIFEX - ANUGA ASIA: มหกรรมอาหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย - แปซิฟิก
โลกของอาหารในวันนี้มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่ก็หายไปเร็วยิ่งกว่าสูตรอาหารบน TikTok เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกจานและทุกครัว นวัตกรรมที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง...
รีวิวร้านอาหารและคาเฟ่ในกรุงเทพฯ

Restaurants
Gordon Ramsay Bread Street Kitchen & Bar ICONSIAM
หลายปีหลังจากกระแสความนิยมของรายการทำอาหารที่พุ่งสูงขึ้น เชฟหลายคนได้กลายเป็นขวัญใจของคนรักอาหารทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ เชฟกอร์ดอน แรมซีย์...

Restaurants
Tapori
เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสตรีตฟู้ดที่พ่วงมากับรถเข็น หรือตลาดที่มีผู้คนชุกชุม...

Restaurants
โสมะ
ตั้งแต่ร้านอาหารไทยได้รับรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะมิชลินไกด์ Thailand’s Favourite Restaurant หรือ The Worlds 50 Best Restaurants...

Restaurants
Olivetto
สาวกพาสต้าทั้งหลายคงคุ้นชินกับเบคอนในคาโบนารา หรือแซลมอนย่างในซอสเพสโต้ ราวกับเป็นสูตรสำเร็จของเมนูเส้นยอดนิยมจากอิตาลี...

Restaurants
Bisou
Bisou แกสโตรไวน์บาร์สไตล์ฝรั่งเศสเปิดใหม่ล่าสุด ย่านหลังสวน เสิร์ฟจริตปาริเซียงสุดเท่และเซ็กซี่...
รีวิวบาร์ในกรุงเทพฯ
Bars
Lost in Thaislation
ข้าวมันไก่ ผัดไทย หมูสับเกี้ยมบ๊วย ข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งหมดนี้คือชื่อเมนูค็อกเทลของร้าน Lost in Thaislation บาร์ใหม่ย่านทองหล่อโดย ‘ฝาเบียร์ - สุชาดา...
Bars
#FindTheLockerRoom
แม้จะเป็นที่รู้จักจากรางวัลการันตีคุณภาพมากมายทั้งที่มอบให้ร้านและบาร์เทนเดอร์แต่ก็ยังยืนหนึ่งเรื่องการเป็น ‘บาร์ลับ’ อยู่ดี สำหรับ...
Bars
Falcon Secret Bar
ตอนที่ร้าน Marie Guimar (มารี กีร์มาร์) ร้านอาหารไทยบนชั้น 28 ของโรงแรม Wyndham Bangkok Queen Convention Centre เปิดใหม่ๆ...
บทสัมภาษณ์ล่าสุด

Movies
มาร์ค วีนส์ กับชีวิตที่ดำเนินด้วย “อาหาร” จากยูทูปเบอร์สู่รายการ Food Affair ทาง HBO
ด้วยจำนวนผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนในช่องยูทูป ถ้าเราจะเรียก มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ผู้นี้ว่าเป็นศาสนดาแห่งอาหารก็คงจะไม่เกินจริง...

Movies
คุยกับ ทิลด้า สวินตัน และ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ กับผลงานภาพยนตร์ Memoria
ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับหนังแนวอินดี้ ที่ได้นักแสดงชาวอังกฤษฝีมือดีเบอร์ต้นๆ ของวงการมาร่วมงานด้วย...

Restaurants
เชฟแพม-พิชญา: “โพทงเป็นเหมือนบ้านหลังแรกของความเป็นตัวเรา”
เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะรู้จัก เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ ในฐานะเชฟอาหารยุโรปมากความสามารถ...
แนะนำโรงแรมทั่วกรุงเทพฯ

Travel
Kimpton Kitalay Samui
ใครอยากหนีไปพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็อยากเจอบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้รู้สึกได้มาพักผ่อน เราว่าอาจจะชอบรีสอร์ทแห่งใหม่ Kimpton Kitalay Samui (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย)...

Hotels
Capella Bangkok
โรงแรมคาเพลลา (Capella) แห่งแรกในประเทศไทยตั้งอยู่บนที่ดินผืนงามริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนเจริญกรุง ให้บริการห้องพัก ห้องสวีท และวิลลา 101 ห้อง...

Hotels
W Bangkok
ถ้าจะบอกว่า W Bangkok คือหนึ่งในโรงแรมหรูที่เท่ที่สุด คูลที่สุด ฮิปที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คงไม่ผิด ตั้งแต่สถานที่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ แยกสาทร...

Hotels
Sindhorn Kempinski Hotel
สินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนเขียวชอุ่มของสินธรวิลเลจ ใกล้กับโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok และห้าง Velaa เป็นโรงแรมเคมปินสกี้แห่งที่ 2...

Hotels
Kimpton Maa-Lai Bangkok
โรงแรมแห่งแรกจากแบรนด์ Kimpton ที่เข้ามาเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและการผสมผสานกันอย่างลงตัวของทุกองค์ประกอบ...
Quick Meal: ดูคลิปเมนูทำง่ายจากร้านดังทั่วกรุงเทพฯ

Restaurants
พล่ากุ้งอบวุ้นเส้น
Time Out: Quick Meal คลิปนี้ ชวนเชฟเรณู หอมสมบัติ จากร้าน Saffron โรงแรม Banyan Tree กรุงเทพฯ หนึ่งในร้านอาหารที่ร่วมฉลองครบรอบ 25 ปีเบียร์ช้าง ในงาน Time Out...


